ตอนที่แล้วบทที่ 31 นักตกปลาส่งของแล้ว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 33 ไปหาผู้อำนวยการ

บทที่ 32 ครูจางอีกคน


หลังจากหลิวหยางวางสายไปได้ไม่นาน สุยวาก็โทรมาอีกคน

เป้าหมายชัดเจน คือ ขอผัก

“ซูจิ้งถ่ายวิดีโอเด็กๆ กินข้าวไป มีหลายคนส่งข้อความมาขอให้เอาผักไปให้หน่อย สะดวกเมื่อไหร่ เอามาอีกเยอะๆ หน่อย”

“เอ่อ…” หลัวอี้หางรู้สึกลำบากใจ ถ้าโทรมาเร็วกว่านี้หน่อยคงตอบตกลงแล้ว แต่พอดีเพิ่งตกลงกับหลิวหยางไป ว่าพรุ่งนี้ต้องไปเก็บเห็ดเฉาหลิงเลยไม่ว่างเลย

หรือว่า… ลากใครมาช่วยงานดี?

“พอดีเพิ่งนัดกับหลิวหยางไปว่าจะมาเก็บเห็ดจูหลิงวันมะรืน พรุ่งนี้ต้องยุ่งอยู่กับการขุดเห็ด ไม่มีเวลาเลย หรือไม่ก็มาวันมะรืนแทน ต้องการเท่าไหร่ก็มาหาเก็บเอาเองละกัน”

“โอเค เดี๋ยวฉันเอาขาแกะมา” สุยวาตอบตกลงทันที น้ำเสียงฟังดูร่าเริง แถมจะเอาขาแกะมาด้วย คงกะจะมาพักผ่อนกันด้วย

งั้นก็พักผ่อนกันไปเลย “เอาภรรยาและลูกๆ มาด้วย เอาเหล้ามาด้วยนะ บนเขาหาซื้อไม่ได้”

“ไม่ต้องให้บอก น่าไว้ใจได้” สุยวาตอบอย่างมั่นใจ

สุดท้าย หลัวอี้หางก็เล่าเรื่องการจัดอันดับของเห็ดจูหลิงให้ฟัง และขอให้สุยวาช่วยหน่อย

เมื่อรู้ว่าเห็ดจูหลิงนั้นได้รับการจัดอันดับเป็นระดับพิเศษ สุยวาก็ขอให้หลัวอี้หางช่วยบ้าง

ทั้งสองคนตอบตกลงและวางสาย

ขณะที่หลัวอี้หางเก็บร้านเดินกลับบ้าน ก็ได้รับโทรศัพท์สายที่สาม

คราวนี้เป็นครูจาง

พอรับสายแล้วได้ฟังเรื่องราว หลัวอี้หางก็ประหลาดใจ “อะไรกัน กินหมดแล้วเหรอ? ไวจัง”

“ไม่ๆ ยังไม่หมด แต่กำลังจะหมดแล้ว…”

โอเค กำลังจะหมด ไม่ใช่ว่าหมดแล้ว

และก็ไม่ใช่หมดเพราะกินอย่างเดียวด้วย

ครูจางกับภรรยาเมื่อรับผักชุดนี้กลับไป พบว่าผักดีกว่าชุดก่อนหน้านี้อีก

ก็แน่นอนอยู่แล้ว เพราะได้รับพลังจากธรรมชาตินานขึ้น ผักก็เลยดีกว่าเดิม

จากนั้นทั้งคู่คิดว่าแบ่งความสุขให้คนอื่นดีกว่า ก็เลยแบ่งผักออกเป็นสามส่วน เก็บไว้กินเองส่วนหนึ่ง อีกสองส่วนส่งไปให้พ่อแม่ทั้งสองฝ่าย

จากผัก 20 กิโลกรัมเหลือเพียงหนึ่งในสาม ภายในสองวันแม้จะประหยัดกินก็เหลือเพียงเล็กน้อย

ก็เลยต้องสั่งเพิ่มอีก

แม้ว่าเพิ่งจะกินไปได้ไม่ถึงสัปดาห์ แต่พวกเขาสองคนก็เลิกไม่ได้แล้ว โชคดีที่รายได้ดี ไม่งั้นคงกินแบบนี้ไม่ไหว

แต่ปัญหาคือ หลัวอี้หางต้องไปเก็บเห็ดจูหลิงในสองวันต่อจากนี้ ไม่ได้ตั้งร้าน และไม่มีเวลาส่งผักให้ครูจาง

หรือว่า… เลี้ยงหมูตัวเดียวก็เลี้ยง สองตัวก็เลี้ยงซะเลย นับรวมกันไปเลยดีกว่า

“ขอโทษนะครับ ครูจาง สองสามวันต่อจากนี้ผมไม่มีเวลาเลย หรือจะมาวันมะรืนดีครับ วันเสาร์ วันหยุด ครูพาครอบครัวมาพักผ่อนบนเขา แล้วมาเก็บผักเอง”

“เอ่อ… จะดีเหรอครับ?” ครูจางมีท่าทีสนใจ แต่ก็รู้สึกว่ายังไม่สนิทกันพอ เพราะเพิ่งเจอกันแค่สองสามครั้งเอง

“ไม่เห็นมีอะไรไม่ดีเลยครับ ผมไม่มีเวลาจริงๆ และวันเสาร์นั้นจะมีหลายคน มันจะคึกคักมาก ครั้งที่แล้วครูเคยเจอคนอ้วนคนนั้นแล้วใช่ไหมครับ คราวนี้ก็มีเพื่อนที่เป็นหมอที่โรงพยาบาลเมืองมาด้วย”

หลัวอี้หางเชิญชวนอย่างอบอุ่น ครูจางจึงปฏิเสธไม่ออก และคิดว่ามาที่นี่หลายเดือนแล้ว ยังไม่ได้พาภรรยาออกไปเที่ยวเลย

จึงตอบตกลงไป

ตกลงกันว่าจะมาในวันเสาร์ หลัวอี้หางก็วางสาย

จริงๆ แล้ว แม้ว่าจะไม่มีเวลาในวันเสาร์ วันอาทิตย์ไปส่งผักก็ได้ แต่หลัวอี้หางคิดว่าครูจางคนนี้ตั้งแต่ที่เพิ่งรู้จักกันก็ให้ความไว้วางใจเขามาก แม้จะดูไร้เดียงสา แต่เป็นคนดี และที่สำคัญคือ เป็นคนที่รักภรรยามากเหมือนกับตัวเขาเอง

อาจจะได้เป็นเพื่อนกัน เลยอยากสานสัมพันธ์ไว้

จริงๆ แล้ว ไม่ได้ตั้งใจจะลากใครมาช่วยหรอก

ว่าด้วยเรื่องของครูจาง

พอตกเย็น กลับถึงบ้านก็เล่าเรื่องที่ตอบรับคำเชิญไปบ้านหลัวอี้หางในวันมะรืน

ซึ่งก็คือวันเสาร์ ให้ภรรยาฟัง

สิ่งที่ได้รับกลับมาคือเสียงบ่นจากคุณนายจาง “คุณนี่นะ คิดจะไปบ้านคนอื่น แต่ไม่ถาม

เลยว่าบ้านเขามีใครอยู่บ้าง มีเด็กไหม มีใครไปด้วย และต้องเอาของขวัญไปกี่ชุด เอา

อะไรไปดี ไม่รู้อะไรเลย เห้อ ปวดหัว”

“ฮ่าๆๆ” ครูจางได้แต่หัวเราะแห้งๆ ไม่พูดอะไร เพราะเขาไม่ได้คิดอะไรมากขนาดนั้นจริงๆ

แม้ว่าคุณนายจางจะบ่นสามี และกังวลว่าจะเอาของขวัญอะไรไป แต่ก็ยังรู้สึกตื่นเต้นกับการไปเที่ยวในครั้งนี้อยู่ดี

ภูเขาสีเขียว น้ำใส เมฆขาว ท้องฟ้าสีฟ้า หมู่บ้านบนเขา นาขั้นบันได คงจะได้ถ่ายรูปสวยๆ แน่นอน

และการได้เก็บผักอร่อยๆ ด้วยตัวเอง อาจจะได้รู้จักเพื่อนใหม่อีกด้วย

มันต้องสนุกแน่ๆ

หลังจากนั้น คุณนายจางก็ไปทำอาหารในครัว เพื่อเตรียมอาหารกลางวันสำหรับพรุ่งนี้

ในเมื่อจะได้ผักสดมาใหม่ ก็ไม่ต้องประหยัดของในบ้านอีกแล้ว เธอตั้งใจว่าจะไม่กินข้าวในโรงอาหารอีกต่อไป

ทั้งคืนผ่านไปอย่างไม่มีอะไร

ตอนเที่ยงวันถัดมา หลังเลิกเรียน คุณนายจางกลับไปที่ห้องทำงาน หยิบกล่องข้าวออกจากกระเป๋าและรีบไปโรงอาหาร

แม้ว่าเธอจะเตรียมข้าวกลางวันมา แต่ต้องใช้ไมโครเวฟของโรงอาหารอุ่น

ก็เลยต้องไปที่นั่น

มีคนรออุ่นข้าวเยอะ ต้องรอสักพัก

หลังจากคุณนายจางอุ่นข้าวเสร็จแล้วเดินเข้าไปในโรงอาหาร ก็สายไปหน่อยแล้ว

โรงอาหารของโรงเรียนมัธยมหมายเลขสามใหญ่มาก มีโต๊ะยาวสำหรับ 8 คน ทำจากสแตนเลสเรียงเป็นแถวหลายสิบโต๊ะ

สามารถรองรับคนได้หลายร้อยคนพร้อมกัน

และนี่ยังแค่ชั้นแรก เพราะชั้นสองยังมีโรงอาหารเล็กที่มีห้องส่วนตัวไว้สำหรับครูอาจารย์

แต่ชั้นสองมีผู้บริหารเยอะ ครูแถวหน้าห้องเรียนอย่างพวกคุณนายจางไม่ค่อยอยากไปที่นั่น

คุณนายจางถือกล่องข้าวไว้ เดินหาที่นั่งรอบๆ

แล้วก็เห็นคนคุ้นเคย

เธอตรงไปยังโต๊ะยาวสำหรับ 8 คน ซึ่งมีคนมานั่งแล้ว 7 คน โดยมีที่ว่างไว้ให้เธอ

ที่นั่นมีครูผู้หญิง 6 คน จากกลุ่มครูชั้นมัธยมปลาย และมีนักเรียนหญิงอีกคนหนึ่ง

เธอคือหลิวซินซิน หัวหน้าห้องของชั้นมัธยมปลายปี 3 ห้อง 3

เด็กสาวมีมารยาทดีมาก เมื่อเห็นคุณนายจางเดินมาก็รีบลุกขึ้นแล้วกล่าวทักทาย “สวัสดีค่ะ ครูจาง”

เป็นเรื่องน่าทึ่ง เพราะคุณนายจางก็แซ่จางเหมือนกัน แถ

มยังเป็นครูอีกด้วย และที่น่าตลกกว่านั้นคือ ทั้งสองคนมีชื่อที่ออกเสียงเหมือนกันเป๊ะ

ครูจางผู้ชายชื่อว่า จางเยว่ ส่วนครูจางผู้หญิงชื่อว่า จางเยว่

ทั้งสองคนก็ได้รู้จักกันเพราะชื่อเรียกที่เหมือนกันนี่เอง

คุณนายจางยิ้มทักหลิวซินซินและกล่าวสวัสดีกับครูคนอื่นๆ ก่อนจะวางกล่องข้าวลง

บนโต๊ะแล้วนั่งลง จากนั้นเธอก็เห็นถาดอาหารของหลิวซินซินที่แทบจะไม่ได้กินอะไร

เลย “ซินซิน กินไม่ลงอีกแล้วเหรอ?”

หลิวซินซินส่ายหน้า แล้วก้มหน้าพูดเบาๆ “ไม่อยากกินค่ะ”

“เฮ้อ เด็กคนนี้” ครูชวีที่นั่งข้างๆ หลิวซินซินขมวดคิ้วอย่างกังวล

หลิวซินซินเป็นเด็กที่ครูสวีรักมาก เด็กสาวเป็นคนมีวินัย เชื่อฟัง มีมารยาท และเรียนเก่ง เรียกได้ว่าเป็นว่าที่นักเรียนมหาวิทยาลัยชิงหัวหรือปักกิ่งแน่นอน

แต่เธอเป็นเด็กที่คิดมาก ตอนนี้ใกล้สอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ความเครียดสูงจนกินข้าวไม่ลง

คุณนายจางก็เคยประสบปัญหากินอาหารไม่ลงเพราะต้องกินยา จึงเข้าใจความรู้สึกที่ทั้งๆ ที่ท้องว่างแต่กลับกินอะไรไม่ลง

เธอจึงเปิดกล่องข้าวของตัวเองแล้วเลื่อนมันไปทางหลิวซินซิน “ซินซิน ลองกินของครูหน่อยไหม”

หลิวซินซินตั้งใจจะปฏิเสธ แต่พอเปิดกล่องข้าวออก กลิ่นหอมเข้มข้นก็ลอยขึ้นมาเตะ

จมูก ทำให้เธอกลืนน้ำลายอย่างไม่รู้ตัว และคำปฏิเสธก็ถูกกลืนกลับไป

“ขอบคุณค่ะ ครูจาง”

ก่อนที่หลิวซินซินจะได้ตอบตกลง คุณนายจางก็หยิบช้อนขึ้นมาแล้วตักอาหารสอง

ช้อนโต๊ะใส่ลงในถาดอาหารของเธอด้วยความกระตือรือร้น

ครูชวีและครูคนอื่นๆ ที่ได้กลิ่นหอมก็หันมามองด้วยความสนใจ “ครูจาง วันนี้เอาข้าวมา

กินด้วยเหรอ หอมมาก ฝีมือดีจริงๆ”

ครูอีกคนที่นั่งตรงข้ามคุณนายจางเอ่ยชม จากนั้นก็สังเกตเห็นอาหารในกล่องข้าว

เอ่อ… จะพูดยังไงดี

กล่องข้าวสองชั้น ชั้นหนึ่งเป็นข้าว อีกชั้นหนึ่งมีสองอย่าง คือ ไข่เจียวมะเขือเทศและ

คึ่นช่ายผัดเต้าหู้แห้ง

ถ้าดูจากรูปลักษณ์ ก็เป็นแค่อาหารธรรมดา เป็นอาหารที่สุกแล้ว แต่ไม่ได้ดูดีกว่า

อาหารที่เชฟมืออาชีพของโรงอาหารทำเลย

แต่ทำไมถึงหอมขนาดนี้นะ?

ช่วยโหวตให้ด้วยนะครับ!!!

ไม่มีแล้ว!!!

ไม่มีสักใบเลย!!!###

(จบบท)

5 2 โหวต
Article Rating
2 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด