ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 2 ถูกขับไล่ออกจากบ้าน

บทที่ 1 การเปลี่ยนแปลง


“ตื่นสิ ตื่นเร็วๆ!” เสียงที่เต็มไปด้วยความกังวลดึง “ฟางเสิ่น” กลับมาจากอาการสับสน

“หนุ่มน้อย เป็นอะไรหรือเปล่า เดินมาดีๆ อยู่ๆ ทำไมถึงได้ยืนแข็งทื่อ ไม่ขยับเลยล่ะ?” ชายชราที่ยืนอยู่ตรงหน้าฟางเสิ่นถามด้วยความเป็นห่วง

จากคำพูดของชายชรานั้น ฟางเสิ่นได้รู้ว่าจู่ๆ ตัวเองเกิดอาการนิ่งค้างขณะเดินอยู่บนถนน สีหน้าซีดเผือด ร่างกายเซไปเซมาเหมือนคนเป็นลมแดด โชคดีที่ชายชราผู้นี้จิตใจดีช่วยพยุงเขามาที่ม้านั่งใต้ร่มไม้ไม่ไกลนัก

“ขอบคุณมากครับคุณลุง” แม้ว่าในหัวของเขายังรู้สึกสับสนวุ่นวายอยู่ แต่ฟางเสิ่นก็พยายามลุกขึ้นและกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ

“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ไม่เป็นอะไรก็ดี” ชายชราส่ายมือ เดินจากไปอย่างช้าๆ เมื่อเห็นว่าฟางเสิ่นไม่เป็นไรแล้วก็รู้สึกโล่งใจ ขณะเดินจากไปเขายังบ่นพึมพำว่า “กลางวันแสกๆ กลับมีฟ้าร้องเสียงดังขนาดนั้น เด็กหนุ่มสมัยนี้สุขภาพไม่ดีเอาเสียเลย...”

ฟางเสิ่นส่ายหัวพลางยิ้มขมขื่น ก่อนจะนั่งลงอีกครั้ง

เมื่อครู่เอง ท้องฟ้าเกิดมีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นโดยไม่มีสัญญาณเตือน เสียงดังจนทำให้สัญญาณกันขโมยของรถยนต์รอบๆ ดังขึ้นพร้อมกัน ในตอนนั้นฟางเสิ่นเหมือนถูกทำให้ตกใจจนยืนนิ่งไม่ขยับ

ทันใดนั้น ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงก็พลันเกิดขึ้นในสมอง เหมือนมีมีดกรีดข้างใน ฟางเสิ่นร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด ร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น หดตัวงอเหมือนลูกบอล โชคดีที่สถานที่นี้ค่อนข้างเปลี่ยว มีเพียงคนชราบางคนที่ออกมาเดินเล่น ไม่มีคนผ่านไปมามากนัก ไม่เช่นนั้นหากใครมาเห็นเขาในสภาพนี้ คงถูกส่งเข้าโรงพยาบาลแน่ๆ

เวลาผ่านไปสักระยะ ความเจ็บปวดก็ค่อยๆ บรรเทาลง จากนั้นความทรงจำที่กระจัดกระจายก็ค่อยๆ ไหลเข้ามาในสมองของฟางเสิ่น

แท้จริงแล้ว ฟ้าร้องครั้งนั้นนำพาวิญญาณของอีกโลกหนึ่งที่แตกสลายเข้ามาสิงในร่างของฟางเสิ่น ทำให้เขาสูญเสียการควบคุมร่างกายไปชั่วขณะ

ความทรงจำมากมายหลั่งไหลเข้ามา นั่นเป็นความทรงจำที่มากกว่าที่ฟางเสิ่นมีหลายเท่านัก วิญญาณของอีกโลกมาจากโลกที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ มีวิธีการฝึกฝนมากมายที่ทำให้ผู้ฝึกแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก อายุขัยก็ยืนยาว วิญญาณนั้นมีอายุอย่างน้อยหลายร้อยปี ประสบการณ์ชีวิตไม่สามารถเทียบกับฟางเสิ่นที่อายุเพียง 21 ปีได้เลย หากจิตสำนึกของวิญญาณนี้ยังอยู่ ฟางเสิ่นคงถูกกลืนกินไปแล้ว

แสงดาบเงากระบี่ ภูเขาศพทะเลเลือด นั่นคือการต่อสู้ตลอดชีวิต การฝ่าฟันสู่จุดสูงสุดอย่างไม่หยุดยั้ง

“ฉัน...ยังเป็นตัวฉันอยู่ไหม?” แม้ว่าวิญญาณที่เข้ามาจะหายไปแล้ว แต่ความทรงจำหลายร้อยปีที่หลงเหลืออยู่ทำให้ฟางเสิ่นรู้สึกสับสนชั่วขณะ เขาไม่แน่ใจว่าเป็นตัวเขาเองหรือเป็นวิญญาณนั้นกันแน่ เหมือนกับเรื่องเล่าของ “จวงโจว” (นักปราชญ์จีนโบราณ) ที่เคยฝันว่าตัวเองเป็นผีเสื้อ แล้วตื่นขึ้นมาพบว่าไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นจวงโจวที่ฝันว่าเป็นผีเสื้อ หรือผีเสื้อที่ฝันว่าตัวเองเป็นจวงโจวกันแน่

เมื่อได้สัมผัสกับความทรงจำเหล่านั้น ฟางเสิ่นก็หลั่งน้ำตาออกมาอย่างไม่รู้ตัว

ในความสับสน ราวกับว่าเขามีชีวิตอีกชีวิตหนึ่งที่ยิ่งใหญ่อลังการ เต็มไปด้วยความแปลกประหลาด มีทั้งสุขและทุกข์เกินบรรยาย หลากหลายรสชาติของชีวิตที่ไม่อาจบรรยายได้

วิญญาณของฟางเสิ่นยังคงเป็นตัวเขาเอง ความทรงจำของคนอื่นที่เข้ามาในร่างหลังจากถูกล้างและจัดระเบียบใหม่ก็แยกออกไป ฟางเสิ่นมองความทรงจำเหล่านี้เหมือนกำลังดูภาพยนตร์ แต่ประสบการณ์ที่รุนแรงนี้กลับทำให้มุมมองและคุณค่าของชีวิตเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก สิ่งที่เคยทุ่มเทเพื่อให้ได้มาดูกลายเป็นเรื่องไม่สำคัญอีกต่อไป ทุกอย่างจางหายไปในพริบตาเดียว

ความคิดบางอย่างของตัวเองเมื่อมองย้อนกลับไปตอนนี้ มันช่างไร้เดียงสาและน่าหัวเราะเพียงใด

ครอบครัวที่แสนจะเย็นชานั้น มีอะไรที่ควรค่าแก่การยึดติดอีกเล่า?

“ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง~” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของฟางเสิ่น

เขาค้ำตัวลุกขึ้น พิงกับพนักม้านั่ง สูดลมหายใจยาวหนึ่งครั้ง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาดู เมื่อเห็นชื่อที่แสดงบนหน้าจอ ความโกรธพลันแลบผ่านในดวงตา แต่แล้วกลับเรียบเฉยสงบลงอย่างรวดเร็ว เขากดรับสาย

“คุณชายเสิ่น คิดได้หรือยัง? ยังไงก็ให้คำตอบสักหน่อยเถอะ ครึ่งเดือนแล้วนะ อย่าให้พวกเราที่เป็นคนวิ่งเต้นลำบากใจไปมากกว่านี้เลย” เสียงที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยันและดูถูกดังมาจากในโทรศัพท์ โดยไม่มีความรู้สึกเกรงใจหรือให้เกียรติเลยแม้แต่น้อย

“รู้แล้ว” ฟางเสิ่นพูดเสียงเรียบ มือเขาเลื่อนนิ้วไปที่ปุ่มวางสายแล้วแล้วตัดสายไป

“เล่นตัวอะไรกัน คิดว่าตัวเองเป็นคุณชายสูงศักดิ์อะไรนักหนา” “หลินจือหรง” พูดพลางทำหน้าบึ้งเมื่อได้ยินเสียง “ตู๊ดๆๆ” จากปลายสาย เขายังคิดจะพูดเสียดสีอีกสองสามคำ แต่ฟางเสิ่นกลับวางสายไปแล้ว

“ตอบมาแค่คำว่า ‘รู้แล้ว’ นี่มันหมายความว่ายังไงวะ? อัปจนตกต่ำขนาดนี้แล้วยังไม่รู้จักเจียมตัว นี่มันโง่จริงๆ” คำตอบแบบไม่ใยดีจากฟางเสิ่นทำให้หลินจือหรงโมโหมาก ยิ่งไปกว่านั้นคือเขายังไม่ได้คำตอบตามที่ต้องการ เมื่อเขาโทรกลับไปอีกครั้ง ก็พบว่าฟางเสิ่นปิดเครื่องไปแล้ว หลินจือหรงโกรธจนขว้างโทรศัพท์ลงพื้นอย่างแรง

“หยิ่งไปก็แค่นั้นแหละ ออกจากตระกูลฟางมาแล้ว ฉันอยากจะเห็นนักนายจะโอหังได้อีกนานแค่ไหน?” หลินจือหรงค่อยๆ สงบลง มองไปที่เอกสารบนโต๊ะ ก่อนจะเผยรอยยิ้มเย็นเยียบเจ้าเล่ห์ออกมา ราวกับงูพิษที่ทำให้ผู้คนรู้สึกขนลุก

ตระกูลฟางคือหนึ่งในตระกูลใหญ่ของมณฑลหลินไห่ มีทรัพย์สินนับไม่ถ้วน และมีเครือข่ายความสัมพันธ์กว้างขวางในแวดวงการเมืองและธุรกิจ อิทธิพลไม่ธรรมดา

ฟางเสิ่นเป็นทายาทรุ่นที่สามของตระกูลฟาง เรียกได้ว่าเป็นคุณชายของตระกูลก็ไม่ผิดนัก แต่ตระกูลฟางไม่ใช่ตระกูลที่มีสมาชิกน้อย ทว่ามีสมาชิกมากมาย รุ่นพ่อของฟางเสิ่นมีพี่น้องถึงเจ็ดคน ส่วนรุ่นของฟางเสิ่นมีทายาทโดยสายเลือดมากถึงสิบสองคน นี่ยังไม่นับรวมสาขาย่อยๆ ของตระกูล ตระกูลฟางที่มีประวัติยาวนานนี้ หากนับรวมสมาชิกทั้งหมดก็มีมากถึงหลายร้อยคน ฟางเสิ่นในฐานะหนึ่งในรุ่นที่สามของตระกูลเป็นคนที่ไม่มีความโดดเด่นใดๆ จึงไม่เป็นที่สนใจ

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้อาวุโสของตระกูลสุขภาพไม่ดีนัก จึงวางมือจากการบริหาร ตระกูลจึงเกิดการแก่งแย่งแข่งขันกันทั้งในที่ลับและที่แจ้ง พื้นที่ของฟางเสิ่นก็ยิ่งถูกบีบแคบลงเรื่อยๆ

บิดาของฟางเสิ่น “ฟางเจี้ยนเซิน” เป็นลูกคนที่ห้าในตระกูล มีความสำเร็จในธุรกิจมากมาย ทรัพย์สินภายใต้ชื่อเขาสูงถึงพันล้านหยวน แต่เมื่อหกปีก่อน ฟางเจี้ยนเซินและภรรยาเดินทางไปต่างประเทศเพื่อทำธุรกิจ ทว่าเกิดอุบัติเหตุทางเครื่องบินเสียชีวิต ทิ้งให้ฟางเสิ่นและน้องชายที่ยังเรียนอยู่มัธยม “ชื่อฟางจือสิง” พึ่งพาอาศัยกันและกัน

พอพ่อแม่จากไป โลกก็โหดร้ายขึ้นมาก สมาชิกในตระกูลอ้างว่าฟางเสิ่นและฟางจือสิงยังเด็ก จึงยึดทรัพย์สินของครอบครัวเขาไป หากไม่เกรงใจผู้อาวุโส คงแย่งชิงกันจนสองพี่น้องนี้ต้องตายไปแล้ว

ฟางเสิ่นจดจำใบหน้าของคนพวกนั้นได้อย่างแม่นยำ เขาจึงตั้งมาตรฐานให้ตัวเองสูงที่สุดมาตลอด ขยันหมั่นเพียร ไม่พึ่งพาอิทธิพลของตระกูล สอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังของประเทศ “มหาวิทยาลัยหลินไห่” และอีกเพียงปีเดียวก็จะสำเร็จการศึกษาและสามารถเข้าควบคุมธุรกิจของพ่อได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ในที่สุดคนพวกนั้นก็อดทนรอไม่ไหว

หลังจากเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า ฟางเสิ่นเดินกลับไปยังหอพักของมหาวิทยาลัยหลินไห่ อาบน้ำชำระเหงื่อบนร่างกาย เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ หลักจากเสร็จแล้วในกระจกสะท้อนภาพฟางเสิ่นที่ดูองอาจสง่างามขึ้นกว่าแต่ก่อน แฝงไว้ด้วยความน่าเกรงขามบางอย่าง นั่นเป็นผลมาจากวิญญาณอีกโลกที่ค่อยๆ ส่งอิทธิพลอย่างช้าๆ ทำให้ฟางเสิ่นค่อยๆ เปลี่ยนไป เหมือนดักแด้ที่กำลังกลายเป็นผีเสื้อ

“ฟางเสิ่น ไปกินข้าวกันไหม?” เพื่อนในห้องพักชวนเขา

“ไม่ล่ะ ฉันมีธุระ” ฟางเสิ่นตอบ แล้วเดินออกไปข้างนอกโบกแท็กซี่คันหนึ่ง

“ไปฟางกรุ๊ป”

จบบท

5 1 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด