ตอนที่แล้วตอนที่ 7 เรียนรู้สกิลแม่ไม้มวยไทย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 9 ภารกิจสุดท้าย

ตอนที่ 8 หนึ่งเดือนต่อมา


วันนี้ก็เหมือนวันทำงานที่แสนจะธรรมดาของนภัสสร เธอเดินเข้าประตูบริษัทวอร์เท็กซ์ อินเตอร์แอคทีฟพร้อมกับแก้วกาแฟในมือเช่นเคย เมื่อถึงชั้นทำงานหญิงสาวนั่งลงที่เก้าอี้ประจำตำแหน่งพลางอ้าปากหาวอย่างง่วงงุน

จากนั้นทำการวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะ ก่อนจะทำการเปิดไฟล์รายงานข้อมูลของตัวเกมขึ้นมาอ่านเหมือนทุกครั้ง เธอกวาดสายตาอ่านข้อมูลต่างๆ อาทิเช่น ยอดผู้เล่นสูงสุดต่อชั่วโมง ยอดบัญชีผู้เล่นใหม่ ข้อมูลเลเวลสูงสุดของผู้เล่น ณ ปัจจุบัน ด้วยอาการง่วงเหงาหาวนอน

เมื่อไล่อ่านมาถึงบรรทัดรายงานจำนวนผู้เล่นที่พบเควสต์ลับซึ่งเป็นวิธีการปลดล็อกเนื้อเรื่องหลักของเกม นภัสสรก็เลือกที่จะเลื่อนสายตาผ่านมันไปแบบเร็วๆ เหมือนอย่างที่เคย

แต่ในขณะที่สายตาของเธอกำลังเลื่อนผ่านมันไปเหมือนทุกครั้ง หญิงสาวก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่เปลี่ยนไป

นภัสสรขยี้ตาพร้อมกับเลื่อนสายตากลับมาอ่านข้อมูลในรายงานอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าตัวเลขที่มันเคยเป็นเลขศูนย์อยู่ตลอด ในเวลานี้มันได้เปลี่ยนเป็นเลขหนึ่งเสียแล้ว นั่นทำให้เธอตาสว่างขึ้นมาทันที หญิงสาวไม่รอช้ารีบมุ่งตรงสู่ห้องทำงานของหัวหน้าด้วยอาการแตกตื่น

“ดร.คะ! ดร.คะ! มีข่าวด่วนมาแจ้งค่ะ!”

เลขาสาววิ่งมาหยุดอยู่ที่โต๊ะทำงานของดร.ภาคิน พัฒนศิริ ผู้เป็นหัวหน้านักพัฒนาและเจ้าของโปรเจคเกม Legends of Odyssey

ชายวัยกลางคนใบหน้าคมเข้มสวมแว่นทรงเหลี่ยมเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอคอมพิวเตอร์และเอ่ยถามด้วยสีหน้าสงสัย “มีเรื่องอะไรเหรอครับ? วิ่งหน้าตาแตกตื่นมาเชียว”

“ตอนนี้มีผู้เล่นที่สามารถปลดล็อกเควสต์ลับของเกมที่ ดร.ซ่อนเอาไว้ได้สำเร็จแล้วค่ะ!” เลขาสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“จริงเหรอครับ?” ดร.ภาคินมีสีหน้าตกใจเล็กน้อยก่อนลงมือเปิดไฟล์รายงานข้อมูลเกมจากคอมพิวเตอร์ ชายวัยกลางคนใช้สายตาอ่านข้อมูลอย่างถี่ถ้วนก่อนจะเอ่ยขึ้น

“ใช้ชื่อในเกมว่าก้องภพสินะ ดูเหมือนเพิ่งสมัครไอดีได้ไม่นานก็สามารถปลดล็อกเควสต์ลับของเกมได้เลย” ดร.ภาคินลูบคางขณะจ้องมองข้อมูลรายงานอย่างตั้งใจ “น่าสนใจจริงๆ”

“ใช่ค่ะ และรายงานก็เพิ่งส่งมาเมื่อสองชั่วโมงก่อนนี้เองค่ะ แปลว่าตอนนี้ผู้เล่นคนนี้ก็น่าจะกำลังฝึกฝนวิชาอยู่”

ดร.ภาคินที่มีสีหน้าพึงพอใจหันมากล่าวกับหญิงสาว “ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยคอยติดตามเรื่องนี้ให้ผมด้วย ถ้ามีอะไรคืบหน้าก็มารายงานผมได้ทันที”

“รับทราบค่ะ” หญิงสาวพยักหน้ารับคำสั่งและในขณะที่เธอกำลังจะเอี้ยวตัวหันหลังกลับก็ได้เอ่ยทักขึ้นมา

“ว่าแต่...ดร.พักผ่อนบ้างก็ดีนะคะ ตรงนี้มันคล้ำหมดแล้ว” เลขาสาวใช้นิ้วชี้ไปที่ขอบตาของตัวเองพร้อมกับส่งรอยยิ้มให้อีกฝ่ายก่อนจะเดินออกจากห้องไป

เมื่อหญิงสาวเดินออกไป ดร.ภาคินทำการถอดแว่นตา จากนั้นวางมันลงบนโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยข้อมูลและแผนผังในการพัฒนาตัวเกมด้วยท่าทางเหนื่อยล้า เนื่องจากเขาต้องการรีบอัพแพทช์ใหม่ของตัวเกมให้ได้เร็วที่สุดจึงโหมทำงานจนไม่ได้นอนมาตั้งแต่เมื่อคืน

เขาหมุนเก้าอี้ไปทางหน้าต่างที่เป็นกระจกใสบานใหญ่ เผยให้เห็นวิวทิวทัศน์จากตึกสูงระฟ้า

“เวลานั้นใกล้เข้ามาแล้วสินะ” ชายวัยกลางคนพึมพำเบาๆ กับตัวเองด้วยใบหน้าที่เหมือนกำลังครุ่นคิดบางสิ่งในใจ

......

แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องผ่านใบไม้ลงมาที่ลานกว้างหลังเรือนของพระยาพิชิต โดยที่ในเวลานี้มีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังยืนฝึกซ้อมการเตะต้นกล้วย

ก้องภพยืนประจันหน้ากับต้นกล้วยด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะออกแรงฟาดหน้าแข้งใส่เป้าหมาย และทันทีที่หน้าแข้งของเขาปะทะกับต้นกล้วย มันได้เกิดดาเมจคริติคอลพร้อมกับการที่ต้นกล้วยหักเป็นสองท่อน

[ผู้เล่น ก้องภพ ทำการ ล้มต้นกล้วยต้นที่ 924 ได้สำเร็จ]

[ทักษะการเตะ เลื่อนระดับเป็นขั้นที่ 90]

หลังจากการฝึกฝนอย่างหนักตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ก้องภพรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นในทุกส่วนของร่างกาย เขาสามารถหักต้นกล้วยเป็นสองท่อนด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว มันช่างง่ายดายและเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคิดว่าจะทำได้ในช่วงแรกของการฝึกฝน

พระยาพิชิตที่ยืนมองอยู่ไม่ไกลนักพยักหน้าพอใจ สีหน้าและแววตาแสดงออกถึงความภูมิใจในตัวลูกศิษย์ จากนั้นได้เอ่ยกับชายหนุ่ม

“ดูเหมือนว่าเอ็งพร้อมแล้วสำหรับบทเรียนต่อไป”

“บทเรียนต่อไปเหรอครับอาจารย์?” ก้องภพหันกลับมาถามด้วยความสงสัย

พระยาพิชิตไม่ได้ตอบอะไรนอกจากส่งเสียงเรียกบ่าวที่อยู่ในเรือน

“ไอ้เข้มเอ๊ย ออกมาหาข้าหน่อย”

ครู่ต่อมาชายหนุ่มผิวคล้ำสูงโปร่งรูปร่างกำยำก็ได้รีบวิ่งเข้ามาที่ลานฝึกพร้อมกับขานรับพระยาพิชิต

“มีอันใดให้กระผมรับใช้หรือขอรับ”

พระยาพิชิตที่อยู่ในท่ายืนเอามือไพล่หลังมองชายหนุ่มตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่งราวกับกำลังพินิจพิเคราะห์บางสิ่งในใจก่อนจะเอ่ยปากพูดอย่างช้าๆ

“ตั้งแต่บัดนี้ไป เอ็งจงเป็นคู่ฝึกให้กับเจ้าก้องภพ”

เข้มเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจแต่ก็พยักหน้าน้อมรับคำสั่งของพระยาพิชิตแต่โดยดี

“ขอรับท่านพระยา”

“ดี” พระยาพิชิตกล่าวสั้นๆ ด้วยสีหน้าพึงพอใจก่อนจะหันกลับมาหาก้องภพ “ได้ยินแล้วใช่หรือไม่เจ้าก้องภพ หน้าที่ของเอ็งในวันนี้คือประลองกับไอ้เข้ม โดยมีเงื่อนไขว่าเอ็งจักต้องไม่แพ้จนกว่าเวลาประลองจักครบสิบนาที”

เมื่อได้ฟังคำพูดของอาจารย์ ชายหนุ่มก็ได้ขมวดคิ้วทันที “หมายความว่ายังไงครับ? นี่อาจารย์คิดว่าผมจะแพ้เหรอ?”

ก้องภพที่ฝึกฝนมาตลอดทั้งเดือนย่อมมีความมั่นใจในทักษะของตัวเองอยู่เต็มเปี่ยมและนั่นทำให้เขาคิดว่าบ่าวรับใช้แค่คนเดียวคงจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ยากเกินไปสำหรับเขา

“หึๆ เช่นนั้นเอ็งก็ลองดูเถิด”

พระยาพิชิตหัวเราะในลำคอพลางวาดมือในอากาศ จากนั้นได้เกิดวงกลมเรืองแสงสีขาว ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณสิบเมตรขึ้นมาล้อมรอบตัวก้องภพและเข้มเอาไว้พร้อมกับข้อความแจ้งเตือนของระบบปรากฏขึ้นมา

[เตรียมการประลอง]

ก้องภพอ่านข้อความแจ้งเตือนและสังเกตว่าทั้งเขาและเข้มต่างมีหลอดพลังชีวิตปรากฏขึ้นที่เหนือศีรษะ พร้อมทั้งตัวเลขกำกับว่า 100/100 จากนั้นไม่กี่อึดใจต่อมาข้อความของระบบก็เปลี่ยนเป็นตัวเลขที่นับถอยหลัง

[3]

[2]

[1]

[เริ่มการประลอง!]

หน้าต่างแจ้งเตือนเปลี่ยนเป็นนาฬิกาจับเวลา

[เวลาในการประลอง 0 : 01]

ในเวลานี้คนทั้งคู่ทำการตั้งการ์ดพร้อมกับโยกตัวซ้ายขวาเพื่อดูเชิงของอีกฝ่าย และเมื่อเห็นว่าคู่ต่อสู้เอาแต่ดูเชิงไม่ยอมโจมตีสักที ก้องภพที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมจึงเปิดฉากพุ่งเข้าโจมตีก่อน เขาโยกตัวเข้าหาพร้อมกับปล่อยหมัดตรงที่มั่นใจว่าแรงพอจะน็อกอีกฝ่ายได้ในหมัดเดียว

ทว่าเมื่อหมัดของเขาถูกปล่อยออกไป เข้มกลับเอี้ยวตัวไปด้านหลังเพื่อหลบหลีกหมัดของเขาได้อย่างง่ายดาย และนั่นทำให้ก้องภพตกตะลึงไม่น้อย

แต่ก้องภพไม่หยุดแค่นั้น เขายังทำการออกหมัดซ้ายตามไปเพื่อหวังผลโจมตีเข้าที่ใบหน้าของอีกฝ่าย ซึ่งแน่นอนว่าเข้มก็ยังสามารถยกแขนขึ้นมากันหมัดนั้นได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำราวกับอ่านการโจมตีของก้องภพออก

ทำไมเหมือนรู้เลยว่าเราจะโจมตีแบบไหน? หรือว่าจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ?

ก้องภพเริ่มรู้สึกแปลกใจเมื่ออีกฝ่ายสามารถป้องกันการโจมตีของตัวเองได้อย่างง่ายดาย เขาจึงลองเพิ่มความเร็วในการโจมตี ออกหมัดขวาและซ้ายสลับกันอย่างรวดเร็วโดยหวังไม่ให้อีกฝ่ายมองการโจมตีของเขาออก

ทว่าเข้มก็ยังสามารถหลบหลีกและป้องกันได้ทุกครั้ง โดยทุกๆ การเคลื่อนไหวของเขาเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบและไม่มีการพลาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว

อะไรกันฟะ? ออกหมัดรัวขนาดนี้ก็ยังสามารถรับการโจมตีได้ทุกครั้ง หมัดเรามันมองออกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอไง?

ความประหลาดใจของก้องภพกลับกลายเป็นความหงุดหงิด เขาพยายามทำให้การโจมตีซับซ้อนยิ่งขึ้น รวมไปถึงการเคลื่อนไหวที่หลากหลายเพื่อหวังทำให้เข้มหลบการโจมตีของเขาไม่ได้

ทว่าผลลัพธ์ที่ออกมายังคงเดิม นั่นก็คือเข้มยังสามารถอ่านการเคลื่อนไหวและหลบหลีกการโจมตีได้ทุกครั้ง

นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย ขนาดแค่บ่าวในเรือนของอาจารย์เรายังสู้ไม่ได้เลยเหรอ?  

ก้องภพที่อยู่ในท่าตั้งการ์ดเริ่มรู้สึกใจเสีย เขากำหมัดแน่นด้วยความหงุดหงิดพลางเริ่มคิดในหัวอย่างเหม่อลอย และในเสี้ยววินาทีนั้นเอง ความเจ็บปวดก็ได้แผ่ซ่านไปทั้งเอวด้านซ้ายพร้อมกับข้อความแจ้งเตือนของระบบแสดงขึ้นมา

[ผู้เล่น ก้องภพ พลังชีวิต 90/100]

เป็นเพราะในเวลานี้ เข้มได้เริ่มโจมตีสวนกลับแล้ว เขาใช้หน้าแข้งขวาฟาดเข้าที่สีข้างของก้องภพ นั่นจึงทำให้ก้องภพที่กำลังเหม่อลอยได้สติคืนมาทันที เขาพยายามตั้งท่าเพื่อเตรียมรับการโจมตีครั้งต่อไป แต่ก็ดูเหมือนไม่ทันการณ์เสียแล้ว เพราะในเวลานี้หมัดขวาของเข้มได้พุ่งตามเข้ามาที่ใบหน้าของเขา

[ผู้เล่น ก้องภพ พลังชีวิต 75/100]

ก้องภพพยายามตั้งหลักเพื่อเตรียมกลับมาสู้อีกครั้ง ทว่าเข้มก็ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ตั้งตัวเลยแม้แต่น้อยจัดการใช้เข่าซ้ายกระแทกเข้าที่ลำตัวของก้องภพ

[ผู้เล่น ก้องภพ พลังชีวิต 60/100]

ก้องภพถูกเข้มไล่โจมตีอยู่ฝ่ายเดียวพร้อมกับจำนวนเลือดที่ลดลงอย่างต่อเนื่องโดยที่เขาไม่มีโอกาสที่จะตอบโต้เลยแม้แต่น้อย และหลังจากที่ถูกอีกฝ่ายไล่ต้อนด้วยการออกอาวุธอย่างไม่หยุดยั้ง ระบบก็ได้แสดงข้อความแจ้งเตือนครั้งใหม่ขึ้นมา

[ผู้เล่น ก้องภพ พ่ายแพ้การประลอง]

[เวลาในการประลอง 3 : 28]

หลังจากสิ้นสุดการประลอง พระยาพิชิตที่ยืนดูการต่อสู้อยู่ในระยะไม่ใกล้ไม่ไกลได้ก้าวเข้ามาหาลูกศิษย์ที่ตอนนี้กำลังนอนกองกับพื้นพร้อมกับเอ่ยปากขึ้นช้าๆ “เป็นอย่างไรล่ะเจ้าก้องภพ ยังคิดว่าตัวเองเก่งกาจพอจักชนะไอ้เข้มอีกหรือไม่?”

ก้องภพลุกขึ้นมาด้วยท่าทางทุลักทุเลก่อนจะก้มหัวและตอบกลับอาจารย์ด้วยน้ำเสียงเคอะเขิน “ไม่แล้วครับอาจารย์”

“ฮึๆ เช่นนั้นก็ดีแล้ว จงจำให้ขึ้นใจว่าในการต่อสู้นั้นเอ็งไม่ควรประมาทผู้ใดแม้ว่าอีกฝ่ายจักดูด้อยกว่าเอ็งสักเพียงใด มิเช่นนั้นมันจักนำความฉิบหายมาสู่ตัวเอ็งเช่นนี้แล”

“ครับอาจารย์ ต่อไปนี้ผมจะไม่ประมาทอีกแล้วครับ” ชายหนุ่มโน้มตัวน้อมรับคำสอนของอาจารย์อย่างว่านอนสอนง่าย

พระยาพิชิตพยักหน้าพลางหันไปมองเข้ม “ส่วนเอ็ง วันนี้ทำได้ดีมาก กระบวนท่าการออกอาวุธยังคงแข็งแกร่งดั่งคำสอนที่ข้ามอบให้ ถือว่าไม่เสียชื่อบ่าวในเรือนข้า”

“ขอบพระคุณขอรับท่านพระยา” เข้มโน้มตัวทำความเคารพพระยาพิชิตอย่างนอบน้อม

“เอาล่ะ ข้าจักไปเอนหลังบนเรือน” พระยาพิชิตเอ่ยพลางหันมามองก้องภพอีกครั้ง “เอ็งจงตั้งใจฝึกกับไอ้เข้มต่อไป เมื่อใดที่สู้กับมันได้ครบสิบนาทีจึงจักถือว่าผ่านเงื่อนไขของข้า”

“ครับอาจารย์”

เมื่อกล่าวจบพระยาพิชิตจึงเดินเอามือไพล่หลังกลับไปที่เรือนพลางพูดพึมพำกับตัวเองด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ฮึ ให้ไอ้เข้มมันสอนเชิงมวยเอ็งแล้วกันนะเจ้าก้องภพ”

เมื่อพระยาพิชิตเดินจากไป ทั้งก้องภพและเข้มก็เริ่มต้นประลองมวยกันอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าทุกครั้งจะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของก้องภพอยู่เสมอ จนเมื่อมาถึงครั้งที่ห้าของการประลอง และผลลัพธ์ยังคงจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของก้องภพอีกเช่นเคย

“อะไรกันเนี่ย ทำไมฉันถึงสู้นายไม่ได้สักที” ก้องภพทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นด้วยความท้อแท้

เมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่าย เข้มจึงนั่งลงเช่นกัน “อย่าเพิ่งถอดใจไปเลยขอรับ การต่อสู้นั้นจักต้องสะสมประสบการณ์กับคู่ต่อสู้มากมายหลากหลายรูปแบบถึงจักอ่านทางการโจมตีออก ตัวกระผมเองกว่าจักเก่งกล้าเยี่ยงนี้ก็ต้องฝึกกับท่านพระยามาไม่น้อยเลยขอรับ”

เมื่อได้ฟังคำพูดของอีกฝ่ายก้องภพก็ทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “ก็ถูกของนายแฮะ ฉันคงต้องพยายามอีกเยอะเลยแหละ ว่าแต่...ฉันยังไม่ค่อยรู้เรื่องของอาจารย์เลย นายช่วยเล่าเรื่องของอาจารย์ให้ฉันฟังหน่อยสิ” ก้องภพถามด้วยใบหน้าอยากรู้อยากเห็น

“กระผมเป็นเพียงบ่าวรับใช้หาได้รู้อันใดมากมายดอกขอรับ”

“รู้แค่ไหนก็เล่าแค่นั้นแหละ เล่ามาเลยฉันอยากฟัง” ก้องภพจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็นเต็มเปี่ยม

เมื่อเห็นท่าทางเซ้าซี้ของอีกฝ่าย เข้มจึงยอมรับคำขอในที่สุด “ขะ...เข้าใจแล้วขอรับ” ชายหนุ่มหยักหน้าก่อนจะกระแอมให้ลำคอโล่งเพื่อเริ่มเล่าให้ฟัง

“ท่านพระยาเติบโตมาในสำนักมวยไทยของบิดาที่เป็นทั้งเจ้าของสำนักและเป็นอาจารย์สอนวิชาให้ท่านพระยาตั้งแต่เด็กๆ เมื่อท่านพระยาเข้าสู่วัยหนุ่มก็ได้ออกตระเวนประลองเชิงมวยกับสำนักมวยต่างๆ จนชื่อเสียงของท่านพระยาโด่งดังถึงหูเจ้าเมืองอโยธยา ท่านจึงถูกเรียกเข้ารับราชการ จากนั้นด้วยความสามารถด้านการต่อสู้อันเก่งกาจของท่านพระยาจึงสร้างความดีความชอบอยู่หลายครา ทำให้ท่านได้รับการแต่งตั้งเป็น ‘พระยาพิชิต’ ดำรงตำแหน่งคุมกองทัพหลักของเมืองอโยธยา”

“กระทั่งเมื่อโลกนี้ถูกราชาจอมมารนามว่า ดาร์กทาลอส สร้างความโกลาหลจนนำไปสู่การรวมตัวของ 10 หัวเมืองใหญ่ ท่านพระยาก็ได้เป็นผู้นำกองทัพเข้าต่อสู้และปราบปรามกองทัพของมัน อีกทั้งท่านพระยายังเป็นหนึ่งในสี่นักรบในตำนานที่ได้ต่อกรกับดาร์กทาลอส ก่อนจักสังหารมันลงได้ในที่สุด นำความสงบสุขคืนสู่โลกนี้ และหลังจากนั้นชาวเมืองทั้งหลายก็ยิ่งศรัทธาในตัวท่านพระยาจึงได้ตั้งสมญานามให้ท่านใหม่ว่า ‘พระยาพิชิตสงคราม’”

“ตามที่กระผมทราบก็มีเพียงเท่านี้ คงจักไม่ได้ช่วยให้ท่านก้องภพทราบสักเท่าใดดอกขอรับ”

“เหอะๆ” ก้องภพหัวเราะแห้งพลางคิดในใจ

นี่ขนาดไม่ค่อยไม่รู้เรื่องของอาจารย์นะ ถ้ารู้ทุกเรื่องจะขนาดไหนกันฟะเนี่ย?

“แต่ว่าอาจารย์ในตอนนี้ดูไม่เหมือนนักรบในตำนานสักเท่าไรเลยนะ”

“จักคิดเช่นนั้นก็มิแปลกดอกขอรับ หลังจากท่านปราบราชาจอมมารได้สำเร็จ ท่านก็เลือกที่จักวางมือแล้วกลับมาอยู่ที่เรือนกับภริยาและลูกสาวอย่างเรียบง่าย ทิ้งภาพของนักรบอันเก่งกาจไว้เพียงเบื้องหลัง”

“อื้มๆ อย่างนั้นเองสินะ” ชายหนุ่มลูบคางพลางคิดบางอย่างในใจ

ขนาดบ่าวในเรือนอาจารย์ยังเก่งขนาดนี้ แล้วอาจารย์ที่เป็นถึงนักรบในตำนานจะเก่งขนาดไหนกันนะ? คาดเดาไม่ออกเลยจริงๆ เราเองก็ชักอยากจะรีบฝึกให้เก่งแบบนั้นบ้างแล้วสิ...

เมื่อได้ฟังเรื่องราวของพระยาพิชิต ความรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังเมื่อครู่ก็ได้หายไปจากใจก้องภพและมันได้ถูกแทนที่ด้วยความมุ่งมั่นที่เต็มเปี่ยม

ก้องภพลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางกระตือรือร้นพร้อมเอ่ยกับชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้าง “ถ้างั้นเรากลับมาฝึกกันต่อเถอะ”

“ขอรับ” เข้มกล่าวตอบรับพร้อมกับลุกขึ้นยืนทันที

หลังจากนั้นชายหนุ่มทั้งสองก็เริ่มตั้งท่าเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ครั้งใหม่ที่จะเริ่มต้นอีกครั้ง และไม่นานจากนั้นข้อความแจ้งเตือนของระบบก็ได้แสดงขึ้นมา

[เริ่มการประลอง!]

5 2 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด