ตอนที่ 27 ดูเหมือนเจ้าจะมีความแข็งแกร่งอยู่บ้าง
ตอนที่ 27 ดูเหมือนเจ้าจะมีความแข็งแกร่งอยู่บ้าง
ผู้บ่มเพาะหนุ่มสะพายดาบสองเล่มไว้บนหลัง ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มอยู่เสมอ
ในบรรดาสาวกของนิกายเสินกังที่อยู่ในช่วงกลั่นลมปราณ มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีท่าทางเช่นนี้
โอวหยางห่าว! ศิษย์อันดับ 4 ฝ่ายในของนิกายเสินกัง
ห้าปีหลังจากที่เขาเข้าร่วมนิกาย ระดับการบ่มเพาะของเขาก็พัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จนกลายมาเป็นผู้บำเพ็ญช่วงกลั่นลมปราณขั้นที่ 8
และสิ่งที่คนผู้นี้ชื่นชอบก็คือเขาสามารถฆ่าผู้บำเพ็ญสายมารได้ตามที่ต้องการ โดยไม่ต้องมีความเมตตาเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่นิกายสายธรรมทั้งห้าร่วมมือกันกำจัดผู้บำเพ็ญสายมารอย่างนิกายอู๋จี๋ สาวกสามอันดับแรกของนิกายอู๋จี๋ก็ต้องเสียชีวิตลงด้วยน้ำมือของโอวหยางห่าวคนนี้
มากเสียจนสาวกที่เหลือของนิกายอู๋จี๋เกิดความเคียดแค้น และกล่าวว่าพวกเขาจะต้องเป็นผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐานให้ได้ เพื่อจะได้กลับมาสังหารโอวหยางห่าวคนนี้
หากพบผู้บำเพ็ญสายธรรมที่อยู่ในช่วงสร้างฐานราก พวกเขายังอาจจะมีโอกาสรอดชีวิตมากกว่าเจอโอหยางห่าวคนนี้ !
ขนาดผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่ของนิกายเสินกังยังยกย่องโอวหยางห่าวผู้นี้ไม่ขาดปาก และยังสัญญาว่าตราบใดที่โอวหยางห่าวประสบความสำเร็จในการทะลวงเข้าสู่ช่วงสร้างรากฐานได้ เขาจะยอมรับโอวหยางห่าวเป็นศิษย์สายตรงของเขาทันที!
อาจกล่าวได้ว่าโอวหยางห่าวนั้นเป็นเหมือนดาวรุ่งพุ่งแรงของนิกายเสินกังเลยก็ว่าได้
เขาเชื่อว่าแม้แต่สาวกที่อยู่ในช่วงกลั่นลมปราณตรงหน้าเขาทั้งสามคนนี้ ก็ไม่สามารถเอาชนะเขาได้
และการที่ชายผู้นี้ มาที่ตรอกไท่ผิงด้วยตนเอง เป็นไปได้ว่าเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อซื้อสินค้าอย่างแน่นอน
แต่ฉู่เสวียนไม่กลัวโอวหยางห่าว
ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา การฆ่าโอวหยางห่าวนั้นไม่ใช่เรื่องยาก
แต่สิ่งที่เขากังวลคือมีคนอื่นติดตามโอวหยางห่าวหรือไม่
เพราะมันคงจะลำบากมากถ้ามีผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐานจากนิกายเสินกังแอบซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเขา
หลังจากที่ไตร่ตรองอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ฉู่เสวียนก็ตัดสินใจที่จะอยู่ต่อและลงมือตามโอกาส
จุ๊บ จุ๊บ
โอวหยางห่าวมีเป้าหมายที่ชัดเจน เขาได้ตรงมาที่โรงน้ำชาทันที
เมื่อผู้บ่มเพาะคนหนึ่งเดินออกจากโรงน้ำชา เขาเห็นโอวหยางห่าวก็จำได้ จึงรีบเข้าไปทักทายทันที "โอวหยางห่าว?!"
โอวหยางห่าวเลิกคิ้ว เขามองมาที่ชายคนนี้แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม "เจ้ารู้ไหม ว่าเจ้าได้ทำลายบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ไป?”
ผู้บ่มเพาะผู้นั้นตกตะลึง ก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไรออกมา โอวหยางห่าวก็ชักดาบออกมาทันที
แสงดาบอันเย็นยะเยือกส่องประกายออกมา ในพริบตาขาของชายผู้นั้นก็ถูกตัดออก
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเกี่ยวข้องอะไรกับผู้บำเพ็ญสายมารหรือไม่ แต่ข้าจะเก็บเจ้าไว้เพื่อสอบสวนในภายหลัง”
โอวหยางห่าวเพิกเฉยต่อผู้บำเพ็ญที่ร่ำไห้ซึ่งล้มลงไปกับพื้น แต่เขากลับรีบวิ่งเข้าไปในโรงน้ำชาอย่างรวดเร็ว
เฉินเกอและเว่ยหัวรอคอยการมาถึงของจางเฉิง ดังนั้นพวกเขาจึงเฝ้าดูและระแวดระวังทุกทิศทุกทางอยู่เสมอ
เสียงที่เกิดขึ้นตรงประตูโรงน้ำชา ดังไปถึงหูพวกเขาตามธรรมชาติ
“โอวหยางห่าว! ทั้งสองมองหน้ากันและตกใจ
จากนั้นพวกเขาก็ลุกขึ้นยืนทันทีและรีบกระโดดออกไปนอกทางหน้าต่างข้างๆ
แต่ฉู่เสวียนยังนั่งอยู่ในท่าเดิมอย่างไม่สะทกสะท้านใดๆ และยังคงดื่มชาอยู่
หลังจากที่เขาหายใจเข้าออกเพียงไม่กี่ครั้ง โอหยางห่าวก็เดินมาถึงชั้นสองของโรงน้ำชาแล้ว
สายตาของเขากวาดมองผู้บ่มเพาะแต่ละคนอย่างละเอียกถี่ถ้วน
“ท่านกำลังดูอะไรอยู่?” ผู้บ่มเพาะคนหนึ่งที่ดูใจร้อน ได้ตะโกนขึ้นมาเสียงดัง
โอวหยางห่าวไม่พูดอะไรและชักดาบออกมาทันที
เมื่อแสงเย็นยะเยือกจากดาบของโอวหยางห่าวผ่านไป แขนขวาของผู้บ่มเพาะคนนั้นก็ถูกตัดออกทันที
ท่ามกลางเสียงโอดครวญด้วยความเจ็บปวดของอีกฝ่าย โอวหยางห่าวก็ได้พูดออกมาอย่างใจเย็น "ข้า โอวหยางห่าวแห่งนิกายเสินกัง กำลังมาตามล่าหาพวกเศษเดนของนิกายอู๋จี๋ เมื่อกี้พวกเจ้าเห็นใครออกไปบ้างไหม"
เขาชี้ดาบของเขาไปที่ไหล่อีกข้างของชายผู้นั้น
ดูเหมือนจะบอกว่าถ้าเจ้าไม่ตอบ แขนอีกข้างของเจ้าก็จะถูกตัดออกเช่นกัน
ผู้บ่มเพาะโชคร้ายคนนั้นจึงตะโกนออกมาอย่างรวดเร็วด้วยความหวาดกลัว "ใช่! มีคนสองคนกระโดดออกไปนอกหน้าต่าง! พวกเขาวิ่งไปทางทิศใต้!"
โอวหยางห่าวขมวดคิ้วและรีบวิ่งไปที่หน้าต่างทันที
แน่นอนว่าเขาก็ทันได้เห็นร่างสองร่างที่กำลังเอาอาวุธเวทย์มนตร์ที่บินได้ออกมา และกำลังเตรียมที่จะหลบหนี
โอหยางห่าวจึงรีบเอาดาบบังเหินออกมาทันที เขารีบกระโดนขึ้นแล้วไล่ตามไป
ผู้บำเพ็ญทั้งหมดในโรงน้ำชาต่างก็ตกตะลึงกับสถานการณ์นี้
ทุกคนเริ่มพูดคุยกันทันทีว่าโอวหยางห่าวคนนี้เป็นใคร เหตุใดถึงกล้ามาวางอำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้
แต่หลังจากที่รู้ตัวตนของโอวหยางห่าว พวกเขาก็หวาดกลัวจนหายใจไม่ออก และเงียบปากทันที
นี่คือศิษย์อัจฉริยะของนิกายเสิงกังที่อยู่ในช่วงกลั่นลมปราณ นอกจากนี้เขายังได้รับการยกย่องจากผู้อาวุโสของนิกายเสินกัง และเกือบจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศิษย์สายตรงอีกด้วย
ด้วยสถานะเช่นนี้ ใครจะกล้ายั่วยุเขา?
ผู้บ่มเพาะที่แขนขาดก็ทนความเจ็บปวดและรีบห้ามเลือดอย่างรวดเร็ว
เขาทำได้เพียงกล้ำกลืนฝืนทน ยอมกัดฟันเป็นคนใบ้และกลืนคำสาปแช่งทั้งหมดที่มีลงไปทันที
ฉู่เสวียนนั่งอยู่ที่เดิมเพื่อรอดูสถานการณ์ต่อ แต่ก็ไม่เห็นว่ามีผู้บ่มเพาะคนใดมากับโอวหยางห่าวคนนี้เลย
เขาลูบคางอย่างครุ่นคิด "ดูเหมือนว่าโอวหยางห่าวจะมาคนเดียวสินะ เช่นนั้นนี่ก็ไม่ต่างจากแกะอ้วนตัวใหญ่ล่ะสิ ... "
ฉู่เสวียนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วควบคุมดาบบังเหินให้แอบติดตามเขาไปอย่างช้าๆ
กลางอากาศ มีร่างสามร่างกำลังไล่ตามกันอยู่
อาวุธเวทย์มนตร์บินได้ของเฉินเกอและเว่ยหัวเป็นเพียงอาวุธเวทย์มนตร์ระดับกลางเท่านั้น
แต่โอวหยางห่าวเป็นศิษย์อัจฉริยะของนิกายเสินกังที่อยู่ในช่วงกลั่นลมปราณ อีกทั้งเขายังได้รับการยกย่องจากผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้นเขาจึงมีอาวุธเวทมนตร์บินได้ระดับสูงอยู่ในมือโดยธรรมชาติ
อาวุธเวทย์มนตร์บินได้ของเขาจึงมีคุณภาพสูงกว่าของทั้งสองเป็นอย่างมาก
ส่งผลให้ในไม่ช้าเฉินเกอและเว่ยหัวก็ถูกโอวหยางห่าวตามทันอย่างรวดเร็ว
“เศษเดนแห่งนิกายอู๋จี๋ พวกเขาคงจะทนทุกข์ทรมานกับการที่ต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ!” โอวหยางห่าวยังคงมีรอยยิ้มอันอบอุ่นบนใบหน้า แต่น้ำเสียงของเขาช่างเย็นชาอย่างยิ่ง
เขาประสานนิ้วและแทงไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง
ฉึก ฉึก ฉึก
นิ้วจิตวิญญาณที่เหมือนดาบเล็กๆ หลายเล่มได้ถูกยิงออกมา
นี่คือเทคนิคระดับกลางที่มีชื่อเสียงของผู้บำเพ็ญช่วงกลั่นลมปราณของนิกายเสินกังที่เรียกว่า "นิ้วดาบวิญญาณ"
ข้อดีของเทคนิคนี้คือใช้พลังวิญญาณน้อย มีระยะการโจมตีที่ไกลและรวดเร็ว แต่ข้อเสียคือพลังของมันอยู่แค่ระดับปานกลางเท่านั้น
แต่หากว่าเอาเทคนิคนี้มาใช้ในสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดอย่างแน่นอน
ทันใดนั้น นิ้วดาบวิญญาณก็พุ่งเข้ามาราวกับห่าฝน
ม่านตาของทั้งสองแคบลงทันที พวกเขาพยายามที่จะหลบหลีกการโจมตีอย่างเต็มที่
แต่ก็สามารถหลบเลี่ยงได้เพียงบางส่วนเท่านั้น
มันจึงส่งผลให้การเคลื่อนไหวของพวกเขาค่อยๆ ช้าลง และในไม่ช้าพวกเขาก็ไม่สามารถหลบหนีได้
พวกเขาจึงต้องรวบรวมพลังหยินขึ้นมาเป็นโล่เล็กๆ เพื่อกำบังข้างหลังของพวกเขาเท่านั้น
นี่คือโล่ซวนหมิง ซึ่งเป็นหนึ่งในวิชาป้องกันที่สาวกช่วงกลั่นลมปราณของนิกายอู๋จี๋ต้องฝึกฝนทุกคน
แต่ท้ายที่สุดพวกเขายังเป็นเพียงผู้บำเพ็ญช่วงกลั่นลมปราณขั้น 4 เท่านั้น จะไปเทียบกับโอวหยางห่าวที่เป็นถึงผู้บำเพ็ญช่วงกลั่นลมปราณขั้น 8 ได้อย่างไร
โล่ซวนหมิงจึงต้านทานพลังของนิ้วดาบวิญญาณได้เพียงไม่กี่ครั้ง ก่อนที่มันจะพังทลายลงในทันที
นิ้วดาบจิตวิญญาณที่เหลือจึงได้พุ่งเข้ามาโจมตีพวกเขาทั้งสองอย่างไร้ความปราณี ทำให้ไม่สามารถควบคุมอาวุธเวทย์มนตร์บินได้ ส่งผลให้ทั้งสองต้องตกลงไปที่พื้น
ทั้งสองคนกระอักเลือดออกมา ส่วนอาวุธเวทย์มนตร์บินได้ก็ตกลงไปที่พื้นแล้วหักเป็นสองส่วน
โอวหยางห่าวเองก็ได้ควบคุมอาวุธเวทย์มนตร์บินได้ให้เหาะลงไปที่พื้น
สักพักหนึ่ง ณ ทุ่งโล่งในป่า
โอวหยางห่าวมองไปที่เฉินเกอและเว่ยหัวที่มีใบหน้าซีดเชียวแล้วยิ้มออกมา
เขาโยนถุงผ้าเปื้อนเลือดในมือของเขาลงมาตรงหน้าของทั้งสอง จากนั้นหัวของผู้บ่มเพาะคนหนึ่งก็กลิ้งออกมาจากถุงผ้า
ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่น นี่คือหัวของจางเฉิง เขาถูกฆ่าตายไปแล้ว...
“ข้าออกไปทำภารกิจและพบกับชายคนนี้ เขาพูดจาฉะฉานจริงๆ และไม่ยอมบอกข้าว่าพวกเจ้ายังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว ข้าจึงตัดแขนขาของเขาออก แล้วโยนเข้าไปในรังมด ปล่อยให้เขาถูกมดเป็นหมื่นๆ ตัวกัดเพื่อให้เขายอมบอกข้า” โอวหยางห่าวพูดเบา ๆ
เฉินเกอและเว่ยหัวรู้สึกสิ้นหวังเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเห็นหัวของจางเฉิงที่ถูกตัดออกมาจากบ่าเช่นนี้
“เจ้าสองคนอ่อนแอมาก ไม่สามารถแม้แต่จะหลบเลี่ยงนิ้วดาบวิญญาณของข้าได้ เช่นนั้นข้าก็จะไม่ทำอะไรพวกเจ้า แค่จะพาพวกเจ้ากลับไปที่นิกายของข้า คงจะเป็นการดีกว่าที่จะฆ่าพวกเจ้า” เขายิ้มออกมา ก่อนจะชักดาบออกมาจากด้านหลัง
ทว่าในเวลานี้ ก็มีลมแรงก็พัดเข้ามา
การแสดงออกของโอหยางห่าวเปลี่ยนไปเล็กน้อย และทันใดนั้นเขาก็ชักดาบออกมาและฟันออกไปที่ข้างหลังของเขา
เซี้ยง!
ทันใดนั้นหินก้อนหนึ่งก็ถูกเขาฟันจนขาดครึ่ง
แต่คนที่เดินมาหาเขาคือผู้บ่มเพาะหน้าขาวมีที่ใบหน้างดงามราวกับหยก
อย่างไรก็ตาม ภายใต้ใบหน้าที่นุ่มนวลนั้น กลับเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ฉุนเฉียว
และการปรากฏตัวของผู้บ่มเพาะหน้าขาวคนนี้ ก็ทำให้เฉินเกอและเว่ยหัวตกตะลึงเช่นกัน
มีคนมาช่วยพวกเขาจริงๆหรือ?
“เจ้าดูเหมือนจะมีความแข็งแกร่งอยู่บ้าง เจ้าเป็นเศษเดนคนไหนของนิกายอู๋จี๋อย่างนั้นหรือ” โอวหยางห่าวมองไปที่ฉู่เสวียนสักสองสามครั้งแล้วถามออกมาทันที
เขารู้สึกถึงภัยคุกคามจากผู้บ่มเพาะหน้าขาวคนนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายจะต้องไม่น้อยกว่าเขาอย่างแน่นอน