Chapter 57: จัดฉาก
หนังสือสูงราว ๆ ครึ่งหนึ่งของตัวคนและหนักเป็นตันวางอยู่บนที่วางหนังสือแบบพิเศษโดยฉินหรานเพื่อเปิดอ่าน ฉินหรานเปิดหน้าหนังสือและจดโน้ตเป็นระยะ ๆ รอบตัวเขาเต็มไปด้วยหนังสือเป็นร้อยเล่ม หนังสือพวกนี้ถูกวางทิ้งไว้บนพื้นข้างตู้หนังสือแต่ไม่ได้เสียหาย ฉินหรานหยิบจับอย่างระมัดระวัง
เขาไม่ใช่คนที่ชอบทำลายหนังสือ นอกจากนี้ เขายังทำข้อตกลงกับบรรณารักษ์ไว้ด้วย เขาสามารถเข้ามาอ่านหนังสือทุกเล่มที่ชั้นใต้ดินของห้องสมุดได้ตราบเท่าที่ไม่ทำให้หนังสือเสียหาย ไม่อย่างนั้นแล้ว ต่อให้มีจดหมายแนะนำตัวจากสถานีตำรวจจ เขาก็จะถูกไล่ออกไปจากห้องสมุดและต้องจ่ายค่าชดเชยความเสียหายที่เขาก่อขึ้นด้วย
สัปดาห์ที่ผ่านมา ฉินหรานทำตัวดีมาก เขาอาจจะไม่ได้เก็บหนังสือกลับเข้าที่เดิม แต่เขาหมดแรงจากการอ่านหนังสือ ดวงตาของเขาแดงก่ำตัดกับใบหน้าซีดขาว ไม่มีใครสามารถโทษเขาได้จริง ๆ
ในสัปดาห์นี้เขาไม่ได้พักผ่อนเพียงพอ ใครจะมาบ่นเรื่องที่เขาไม่ยกหนังสือหนักอึ้งพวกนี้เข้าที่เดิมอีก?
ฉินหรานพลิกหน้าสุดท้ายของหนังสือ อ่านจบแล้ว
เขาค่อย ๆ ย้ายหนังสือตรงหน้าลงไปวางบนพื้นแล้วหยิบเล่มสุดท้ายที่ยังไม่ได้อ่านขึ้นมาวางบนแท่นแทน ก่อนที่จะเริ่มอ่านต่อฉินหรานนวดขมับเล็กน้อยเพื่อคลายความเมื่อยล้า
หนังสือเล่มหนักพวกนี้มีจำนวนหน้าไม่เยอะ เหตุผลก็คือหนังสือพวกนี้ถูกทำขึ้นในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรม ทักษะการผลิตหนังสือที่ถดถอยทำให้คนเลือกที่จะเก็บรักษาหนังสือไว้ในลักษณะนี้ พวกเขาจำต้องใช้กระดาษที่ผลิตขึ้นเอง แต่ละหน้าหนาหลายมิลลิเมตร หนังสือทั้งเล่มหนาแค่ห้าสิบถึงหกสิบหน้า
นั่นคือเล่มเดียวนะ แต่รวมกันเป็นร้อยเล่ม เบ็ดเสร็จก็ห้าพันถึงหกพันหน้า แค่คิดว่าต้องอ่านทั้งหมดนั่นก็ยิ่งกว่าคำว่าน่ากลัวเสียอีก
โดยเฉพาะเมื่อแต่ละเล่มก็พูดถึงคนละเรื่อง ประวัติศาสตร์ ศาสนา มนุษยวิทยา ธรณีวิทยา และตำนานและเรื่องลึกลับอีกมากมาย
อย่างกับจับฉ่ายหม้อใหญ่
กระทั่งฉินหรานทู้อาศัยในโลกยุคที่มีข้อมูลมากเกินไปก็ยังคิดว่ามันน่าปวดหัวเมื่อต้องอ่านข้อมูลความรู้ที่ไม่ได้มีการจัดระเบียบนี้ แต่เขาก็ยังต้องอ่านทั้งหมดนี้ เขาต้องทำให้สายลับที่ตามหาสมบัติเชื่อว่าเขาเจอที่ซ่อนของขุมทรัพย์นี้แล้ว
แค่ชื่อเสียงของเขาอย่างเดียวนั้นไม่พอ เขาต้องมีการกระทำ และการอ่านหนังสือเก่า เหล่านี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น การจดข้อมูลจากในหนังสือก็เป็นอีกการกระทำหนึ่ง
แล้วสายลับเหล่านั้นจะสังเกตเห็นการกระทำเหล่านี้ของฉินหรานไหม?
ฉินหรานเชื่อว่าเห็น
สายลับได้ข้อมูลเกี่ยวกับสมบัติของศาสนจักรแห่งอรุณรุ่งมาจากไหนตั้งแต่แรก?
มันมาจากหนังสือ หรือผ่านรหัสลับที่สืบทอดมาในตระกูล หรืออาจจะมีคนบอกพวกมัน
แต่ไม่ว่าพวกมันจะได้ข้อมูลมาจากไหน เพื่อที่จะยืนยันความถูกต้องของแหล่งข้อมูล พวกมันก็ต้องรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม
จะมีที่ไหนดีไปกว่าห้องสมุดที่มีหนังสือทุกเล่มที่เคยมีตีพิมพ์?
ก็เหมือนฉินหราน พวกมันก็ต้องคอยระวังไม่ให้คนอื่นรู้เรื่องนี้
ฉินหรานรู้ว่าใครเป็นเจ้าของที่แท้จริงของห้องสมุดนี้ที่มีชื่ออยู่ภายใต้การครอบครองของเทศบาลเมืองแต่จริง ๆ ไม่ใช่ สายลับได้แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลที่มีแทรกซึมอยู่ทุกหนแห่ง
สารวัตรจอห์นหายตัวไปหนึ่งสัปดาห์แล้ว และการหายตัวไปของเขาควรจะก่อให้เกิดความวุ่นวายในเมือง แต่ว่า เมื่อเทศบางเมืองออกคำสั่งลับออกมา ความวุ่นวายทั้งหมดก็ถูกกดเอาไว้
"จอห์นถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจลับสุดยอด" ประโยคง่าย ๆ ประโยคเดียวเพียงพอที่จะกำจัดทุกข้อสงสัย แม้แต่ฉินหรานเองยังเกือบจะถูกหลอกไปด้วยถ้าเขาไม่รู้มาก่อนว่าจอห์นไปไหน
ส่วนเลส์ชูเดอร์นั้นไม่เหมือนกัน เขามุ่งความสนใจไปที่ความเคลื่อนไหวของแก๊งต่าง ๆ รอบเมือง วุ่นวายกับการจัดการกับพวกนั้นไม่หยุด เขามีความเที่ยงธรรม แต่ก็มีจิตวิญญาณแห่งการแข่งขัน และเขากำลังแข่งกับจอห์น
ฉินหรานปฏิเสธที่จะให้ความเห็นในเรื่องนี้ และคอยระวังระไวสายลับมากขึ้น
คำสั่งง่าย ๆ นั้นสามารถเบี่ยงเบ่นความสนใจของเลส์ชูเดอร์ให้ไปวุ่นวายอยู่กับพวกแก๊ง เป็นอีกครั้งที่ยืนยันได้ว่าตัวตนของคนเบื้องหลังซับซ้อน
และอันที่จริง ฉินหรานรู้สึกเหมือนว่าตัวเองถูกจับตามองตลอดเวลาตั้งแต่วันแรกที่ย่างเท้าเข้ามาในห้องสมุด
ระดับความฉลาดที่ดีเกินไปของเขาทำให้เขารู้สึกได้ทันทีว่าถูกจับตามองจากสายลับในเงามืด พวกมันซ่อนตัวได้ดีมากแต่ฉินหรานมีความฉลาดในระดับ D ก็ดังนั้นมันจึงชัดเจนไปกว่านี้ไม่ได้แล้วสำหรับเขา แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ทำอะไรวู่วาม เขารู้ว่าคนที่จับตามองเขาอยู่เป็นแค่หนึ่งในลูกน้องของคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้เท่านั้น
ฉินหรานสามารถบอกได้จากความรู้สึกว่าถูกจ้องมองตลอดเวลานั้นมาจากผู้ชายคนนั้น เขาสูงประมาณสองเมตร แม้ว่าเขาจะนั่งอยู่ที่โต๊ะและก้มตัวลงเขาก็ยังดูประหลาดในสายตาคนอื่น เสื้อโค้ทตัวนอกตัวใหญ่ไม่สามารถปิดบังร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่ด้านใต้นั่นมิดชิด และแขนของเขาก็ยังใหญ่กว่าคนทั่วไป มันมากพอที่จะบอกความสามารถในการต่อสู้ของเขาได้
ตัดสินจากวิธีที่เขาซ่อนตัวในเงา เขาน่าจะมีสกิล [อำพราง] ในระดับเริ่มต้น
แม้ว่าฉินหรานจะไม่สามารถยืนยันได้ว่าคนผู้นี้รู้เทคนิคการจู่โจมแบบพิเศษใดหรือไม่ ร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแถมยังมีสกิล [อำพราง] ก็ทำให้ฉินหรานนึกถึงกุนเธอร์สัน แม้ว่าคนผู้นี้จะไม่ได้แข็งแกร่งเท่าอัศวินคนสุดท้าย
ฉินหรานรู้ว่าเขาไม่ควรประมาทศัตรู ที่สำคัญที่สุด เขาอยากรู้ว่าอีวานคนนั้นมีลูกน้องแบบนี้มากน้อยแค่ไหน
คำถามนี้วนอยู่ในสมองของเขามาสัปดาห์หนึ่งแล้ว เพราะว่ามันอาจเป็นจุดตัดสินว่าแผนการของเขาจะสำเร็จหรือไม่
ชายผู้นั้นไม่ได้ดูเหมือนคนที่ชอบเสี่ยงอันตราย ต่อให้ฉินหรานจะมั่นใจว่าจะเอาชนะได้ แต่ก็อาจจะมีคนอื่น ๆ ถัดจากผู้ชายคนนี้อีก ถ้าเขามีผู้ช่วยแค่คนสองคนก็คงยังพอจัดการได้ แต่ถ้าเป็นสี่ห้าคน? หรือมากกว่านั้น?
แม้ว่าการที่คนผู้นั้นรับสวาร์โกหรือลู่ชานเข้าเป็นพวกจะบ่งบอกว่าเขาขาดคนมีฝีมือ แต่ใครจะยืนยันได้ว่านี่ไม่ใช่ข้อมูลเท็จที่พวกมันตั้งใจปล่อยออกมา? นี่เป็นเหตุผลให้ฉินหรานระมัดระวังมากขึ้น
ฉินหรานไม่เพียงแค่อ่านหนังสือทั้งหมดอย่างละเอียด เขายังจดโน้ตด้วย ต่อให้สายลับจะตามอ่านหนังสือทั้งหมดมันก็ไม่สามารถบอกได้ว่าฉินหรานจดอะไรลงไปบ้าง
แม้ว่านี่จะเป็นแค่การแสดงละคร ฉินหรานก็ยังพยายามเล่นให้สมบทบาทที่สุด
...
เมื่อฟ้ามืดลง บรรณารักษ์ก็เดินมาบอก "คุณครับ พวกเรากำลังจะปิดทำการวันนี้แล้วครับ!"
"โอ้ ได้ครับ ผมกำลังจะเสร็จแล้ว อีกครู่เดียว" ฉินหรานตอบขณะเขียนบางอย่างลงในสมุดโน้ตอย่างรวดเร็ว หลังจากเสร็จแล้วเขาก็ยิ้มให้บรรณารักษ์ และพูดว่า "ขอบคุณมากสำหรับสัปดาห์ที่ผ่านมา!"
"เป็นอย่างไรบ้างครับ? คุณหาสิ่งที่ต้องการเจอหรือเปล่า?"
"แน่นอน เจอสิ ผมเจอข้อมูลดี ๆ เพียบเลย วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ผมจะมาที่นี่แล้ว ขอบคุณอีกครั้งที่อำนวยความสะดวกให้ครับ"
"ทางเรายินดีที่ได้ให้บริการคุณที่นี่ครับ"
หลังจากพูดคุยตามมารยาทเล็กน้อย ฉินหรานก็ขอตัวจากบรรณารักษ์ และตามคนที่มาส่งเขาออกจากห้องสมุดชั้นใต้ดินและส่งเขาขึ้นรถม้าจากไป พอ ฉินหรานออกไป บรรณารักษ์ก็กระโดดขึ้นรถม้าออกไปจากห้องสมุดเช่นกัน
สิบนาทีต่อมา รถม้าก็มาถึงท้ายตรอกแห่งหนึ่งบนถนนการค้า หลังจากถูกตรวจค้นถึงสามรอบ ในที่สุดบรรณารักษ์ก็ถูกพาเข้าไปถึงในห้องมืดห้องหนึ่งโดยผู้ชายสูงสองเมตรที่ฉินหรานเห็นในห้องสมุด
"นายท่าน!" บรรณารักษ์โค้งตัวทำความเคารพร่างในเงามืด
"เป็นยังไงบ้าง?" เสียงเข้มงวดดังออกมาจากความมืด
"ฉินหรานอ่านหนังสือทั้งหมดที่เกี่ยวกับศาสนจักรแห่งอรุณรุ่ง เขาน่าจะเจออะไรบางอย่าง เขาจดทุกอย่างลงในสมุดโน้ดที่พกติดตัว เราควรจะส่งใครสักคนไปเอาสมุดนั่นมา!" บรรณารักษ์รายงานสิ่งที่เขาพบและให้คำแนะนำ แต่ดูเหมือนว่าจะระคายหูผู้อยู่ในเงามืดผู้นั้น
"แกคิดว่าฉันต้องรับคำสั่งจากแกเหรอ?" ร่างนั้นพูดเบา ๆ
บรรณารักษ์มีเหงื่อเย็น ๆ พรั่งพรูทันที
"นะ..นายท่าน ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้นครับ!" บรรณารักษ์คุกเข่าลงบนพื้น เนื้อตัวสั่นเทา เขารู้ตัวตนของคนในเงา หัวใจเขาแทบหยุดเต้นด้วยความกลัว การขอร้องไม่มีประโยชน์สำหรับเขา
"่ทรูต!" ร่างนั้นตะโกนเรียกเสียงดัง และจากนั้นก็คิดอะไรบางอย่าง
ชายสูงสองเมตรคนนั้นเดินเข้ามาในห้องและคว้าคอบรรณารักษ์ เขากำมือเบา ๆ แล้ว กระดูกคอของบรรณารักษ์ก็หัก เสียงดังชัดเจน ร่างของบรรณารักษ์ค่อย ๆ เย็นลงและถูกโยนออกไปนอกห้อง
ร่างในเงาไม่แม้แต่จะมองดูกระบวนการนั้น เหมือนกับเขาไม่ได้เป็นผู้สั่งการการตายของบรรณารักษ์ สำหรับเขา การตายของบรรณารักษ์ก็เหมือน ๆ กับการตายของแมลงวันตัวหนึ่ง เขาไม่ได้โหดเหี้ยมเช่นนี้เป็นปกติ แต่ว่าเป็นเพราะถูกทรยศ
"สวาร์โก ลู่ชาน!" ร่างในเงามืดเอ่ยชื่อทั้งสองด้วยเสียงต่ำ ตามแหล่งข่าวของเขา สองคนนี้เปลี่ยนไปอยู่ฝ่ายเดียวกับนักสืบแล้ว
ทำไม?
เพราะว่านักสืบคนนั้นมีโอกาสพาพวกมันไปหาสมบัติของศาสนจักรแห่งอรุณรุ่งได้มากกว่าสินะ
สองคนนั้นโลภมากและคนในเงาก็รู้ดี เขมักจะใช้วิธีการนี้ควบคุมทั้งสองคนนั้นและเขาคิดว่าเขาทำได้ดีจนกระทั่งถูกตบหน้าด้วยการทรยศของคนทั้งคู่ เขาสาบานว่าเขาจะทำให้คนทั้งคู่ได้รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อทรยศเขา แต่เขาก็ยังโทษคนที่ทำให้คนทั้งคู่เปลี่ยนใจ
"ฉินหราน!" เขาพูดเสียงเย็นก่อนที่จะออกคำสั่งสองสามคำ
ค่ำคืนเงียบงันเต็มไปด้วยโทสะเดือดดาลของเขา