ตอนที่ 28 หญิงเหี้ยมไร้คำพูด
ตอนที่ 28 หญิงเหี้ยมไร้คำพูด
เหล้าเข้มข้นทั้งถ้วยใหญ่เทลงมาจากหัวของเยี่ยเมิ่งเยียนไหลลงมาตามใบหน้าเปรอะเปื้อน ก่อนที่จะไหลลงตามแก้มจนเปียกชุ่มถึงเสื้อที่หน้าอก
ในชั่วขณะนี้!
เยี่ยเมิ่งเยียนดูอับอายและน่าสมเพชราวกับไก่ตกน้ำ!
ความโกรธแค้นในใจพุ่งพล่าน นางเงยหน้ามองไปที่ทางเข้าห้องจัดเลี้ยง
และทันใดนั้นก็ได้เห็นหญิงสาวที่งดงามยิ่งนัก ร่างสวมชุดสีขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะ ผมสีเงินพลิ้วไหว ก้าวเข้ามาในแสงจันทร์
เยี่ยเมิ่งเยียนรู้สึกราวกับถูกน้ำเย็นสาดเข้าที่หัวอีกครั้ง
ความโกรธเกรี้ยวที่ลุกโชนในใจของนางค่อยๆ ถูกกดทับด้วยความอับอาย เมื่อลู่เสวี่ยเหยาค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ทีละก้าว
ห้องโถงเงียบสงัดราวกับหยุดนิ่ง อากาศเหมือนจะหยุดเคลื่อนไหว มีเพียงเสียงฝีเท้าของลู่เสวี่ยเหยาที่สะท้อนกลับมาเท่านั้น
ทุกคนในห้องต่างสังเกตได้ว่าเป้าหมายของลู่เสวี่ยเหยาคือเยี่ยเมิ่งเยียน
สีหน้าของฉู่เทียนหยางดูเคร่งเครียดอย่างยิ่ง ริมฝีปากขยับเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีความกล้าที่จะเอ่ยอะไรออกมา
เยี่ยเมิ่งเยียนมองดูลู่เสวี่ยเหยาที่เข้ามาใกล้เรื่อยๆ นิ้วทั้งสิบที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อบีบแน่นจนเกิดเสียงกร๊อบกรอบ
นางพยายามเปล่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก “ลู่…”
ทันใดนั้นลู่เสวี่ยเหยาไม่พูดอะไรแม้แต่น้อย นางใช้เท้ากระทืบเยี่ยเมิ่งเยียนลงกับพื้น
“ชอบดื่มเหล้าหรือ? ดี งั้นดื่มนี่ไปก่อน!”
ลู่เสวี่ยเหยาหยิบถังเหล้าขนาดใหญ่จากบนโต๊ะ และเทเหล้าใส่เยี่ยเมิ่งเยียนโดยไม่รีรอ
เหล้าเข้มข้นราวกับฝนห่าใหญ่ไหลทะลักลงมา
“แค่ก แค่ก”
เยี่ยเมิ่งเยียนพยายามดิ้นรน แต่ก็ไร้ผล เหล้าไม่เพียงไหลลงคอ แต่ยังเข้าไปในปอด ทำให้นางไออย่างรุนแรง
ฉู่เทียนหยางลุกขึ้นยืนอย่างลังเล ก่อนเอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “พี่… พี่สะใภ้”
แต่!
เขาเพิ่งพูดได้แค่สองคำ
ปัง!
ฉู่เทียนหยางถูกตบกระเด็นไปในทันที รอยฝ่ามือสีแดงสดปรากฏบนใบหน้าของเขา
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าตั้งใจจะทำกับข้าแบบเดียวกับที่ทำกับจางอันเยว่ใช่หรือไม่?”
ลู่เสวี่ยเหยาบีบคอเยี่ยเมิ่งเยียนแล้วลากนางขึ้นมาจากพื้นราวกับยกไก่ที่ตกน้ำ
เยี่ยเมิ่งเยียนตกตะลึง ไม่กล้าพูดอะไรเพราะกลัวว่าคำนั้นอาจทำให้ลู่เสวี่ยเหยาโกรธมากกว่าเดิม
นางกลัว! กลัวอย่างแท้จริงว่าลู่เสวี่ยเหยาอาจจะบีบคอนางจนตาย!
เมื่อมองดูท่าทางหวาดกลัวของเยี่ยเมิ่งเยียนนี้ลู่เสวี่ยเหยายิ้มเย็นชา
“หลิงอวิ๋นพูดถูกแล้ว เจ้าก็แค่ไก่ดินโคลนตัวหนึ่ง คิดจริง ๆ หรือว่าจะกลายเป็นนกฟีนิกซ์ได้?”
ความอับอาย!
อับอายอย่างแท้จริง!
และเป็นการอับอายต่อหน้าคนจำนวนมาก ที่ก่อนหน้านี้ทุกคนล้วนยำเกรงนางเยี่ยเมิ่งเยียน
ศักดิ์ศรีของนางถูกเหยียบย่ำลงไปในฝุ่นผง
ดวงตาของเยี่ยเมิ่งเยียนแดงก่ำ ภายในจิตใจของนางแตกสลายและบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง
นางแผดเสียงกรีดร้องอย่างเกรี้ยวกราด “ลู่เสวี่ยเหยา เจ้ากดขี่ข้าเกินไปแล้ว!”
“ใช่ แล้วเจ้าจะทำอะไร?”
ลู่เสวี่ยเหยาตบหน้าของนางอย่างแรง แต่ยังไม่พึงใจ นางจึงพลิกมือกลับมาตบอีกข้างของเยี่ยเมิ่งเยียน
“เพี๊ยะ!”
ผู้คนรอบๆ ต่างรู้สึกราวกับถูกตบหน้าไปด้วย ทุกคนรู้สึกแสบลวกที่ใบหน้า
แต่ใครจะกล้าออกเสียง?
นางคนนี้คือว่าที่นายหญิงแห่งตระกูลฉู่! ไม่เห็นหรือว่าแม้แต่ฉู่เทียนหยางยังถูกตบกระเด็นไปแล้ว?
ปัง!
ลู่เสวี่ยเหยาโยนเยี่ยเมิ่งเยียนลงกับพื้นเหมือนขยะ
“นังไก่โง่ จงฝันกลางวันต่อไปเถอะ แผ่นศิลาแห่งเกียรติยศกำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้า!”
เมื่อเดินผ่านฉู่เทียนหยาง ลู่เสวี่ยเหยาหยุดเล็กน้อยก่อนเอ่ยอย่างเย็นชา
“ฉู่เทียนหยางจงจำไว้ ข้ายังไม่ได้แต่งกับฉู่เทียนฉี อย่าให้ข้าได้ยินสองคำนั้นออกจากปากเจ้าอีก!”
ฉู่เทียนหยาง “...”
งานเลี้ยงที่ครึกครื้นถูกขัดจังหวะเพราะการมาถึงของลู่เสวี่ยเหยา แน่นอนว่าไม่สามารถดำเนินต่อไปได้
รุ่งเช้าของวันถัดมา
ก้อง!
เสียงระฆังดังกังวานไกล ประกาศว่าการประลองบนเวทีกำลังจะเริ่มต้น
หลิงอวิ๋นเปิดประตูออกหลังจากฝึกฝนตลอดทั้งคืน เขาไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้าเลยแม้แต่น้อย กลับดูสดชื่นกระปรี้กระเปร่า
“พี่หลิง ความก้าวหน้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
หนิงเสี่ยวตงรีบเข้ามาหาด้วยท่าทางกังวลใจ ถามด้วยความหวัง
หลิงอวิ๋นตอบด้วยสีหน้าสดใส “พี่หนิง ขอบคุณสำหรับแก่นเพลิงลาวาพิสุทธิ์ที่เจ้ามอบให้ มันช่วยให้ข้าสามารถทะลวงพลังไปถึงขอบเขตทะลวงปราณขั้นที่เจ็ดได้!”
“เพียงแค่เพิ่มขึ้นสามขั้นหรือ?”
หนิงเสี่ยวตงรู้สึกยากที่จะยอมรับ เพราะแก่นเพลิงลาวาพิสุทธิ์ขวดนั้นสามารถช่วยให้เขาเพิ่มพลังจากขอบเขตทะลวงปราณขั้นที่สามขึ้นไปถึงขอบเขตกงล้อสมุทรได้เลย
แต่กลับกลายเป็นว่าเมื่อถึงมือหลิงอวิ๋น มันช่วยเพิ่มพลังเพียงแค่จากขอบเขตทะลวงปราณขั้นที่สี่ไปถึงขั้นที่เจ็ดเท่านั้น?
เมื่อมาถึงลานประลอง
นักแข่งของกลุ่มดำยังคงถูกจัดให้อยู่ในบริเวณรอเหมือนวันก่อน แต่กลุ่มแดงจำนวนห้าสิบคนถูกจัดให้อยู่ในบริเวณใกล้กับอัฒจันทร์กลาง
นักแข่งทั้งหนึ่งร้อยคนถูกแบ่งเป็นสองบริเวณรออย่างชัดเจน
ในกลุ่มดำ เนื่องจากจางอันเยว่ไม่สามารถลงแข่งได้ จึงเหลือเพียงสี่สิบเก้าคน
หมายความว่าการประลองรอบแรกของกลุ่มดำจะมีผู้ที่ไม่ได้ลงแข่งโดยอัตโนมัติหนึ่งคน
“ตอนนี้จะทำการสุ่มจับคู่การประลองรอบแรกของกลุ่มดำ!”
แท่นหินเก่าคร่ำคร่าทันใดนั้นก็ส่องแสงสว่างขึ้น ก่อนจะสุ่มรายชื่อการประลองของกลุ่มดำขึ้นมา
คู่ประลองคู่แรก
หลิงอวิ๋นปะทะว่านอวี้ซู!
“แน่ใจหรือว่านี่คือการสุ่มจับคู่?”
หลิงอวิ๋นประหลาดใจ เพราะสองรอบติดกัน เขาได้ออกแข่งเป็นคู่แรก
ฟิ้ว!
ว่านอวี้ซูในชุดสีเหลืองกระโดดขึ้นเวทีประลองอย่างรวดเร็ว จากนั้นจ้องมองมาที่หลิงอวิ๋น
ว่านอวี้ซูยิ้มเยาะก่อนจะพูดขึ้น “เจ้าเด็กแซ่หลิง วันนี้เจ้าจะทำเหมือนเมื่อวานหรือไม่? ที่จะยอมแพ้ตั้งแต่แรก? ฮ่าๆ”
ขณะพูด เขากางแขนออก พลังภายในร่างทะลักออกมา ร่างกายของเขาเร่งพลังจนทะลุขีดจำกัดทะยานสู่ขอบเขตกงล้อสมุทรขั้นแรกทันที
จากนั้นเขาเลียนแบบท่าทางของฉู่เทียนหยางเมื่อวานนี้ โดยไม่ใช้ดาบจริง แต่กลับใช้ลมปราณสร้างดาบยาวสามฉื่อที่ส่องประกายขึ้นในฝ่ามือ
“ฮ่าๆ เจ้านี่ชักจะเล่นเกินไปแล้ว ยังไม่ได้เริ่มก็โชว์ซะแล้วหรือ?”
“จะขึ้นเวทีหรือไม่ ข้าคิดว่าผลลัพธ์ก็รู้กันอยู่แล้ว ว่านอวี้ซูคงโชคดีที่ได้เจอกับเจ้าหมอนี่ อย่างน้อยก็ผ่านรอบนี้ไปได้แน่ๆ”
กลุ่มของฉู่เทียนหยางมองดูการแสดงของว่านอวี้ซูบนเวทีด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน
ยกเว้นเยี่ยเมิ่งเยียนซึ่งใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าคลุมสีขาวนั้นบิดเบี้ยวอย่างน่ากลัว
ดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงความเครียดของเยี่ยเมิ่งเยียน ฉู่เทียนหยางจึงกระซิบข้างๆ อย่างเบาๆ ว่า “คุณหนูเมิ่งเยียนไม่ต้องกังวล ก่อนการประลองข้าได้บอกพวกเขาไว้แล้ว หากหลิงอวิ๋นกล้าขึ้นเวที พวกเขาจะสั่งสอนเจ้าเด็กนี่ให้เป็นบทเรียนที่ลืมไม่ลงแน่นอน”
แต่เยี่ยเมิ่งเยียนไม่ได้ตอบอะไร สายตาของนางจับจ้องไปที่หลิงอวิ๋นตลอดเวลา
ในวินาทีต่อมา!
หลิงอวิ๋นเริ่มเคลื่อนไหว เขาเดินอย่างไม่รีบเร่งเหมือนเมื่อวาน มุ่งหน้าสู่เวทีประลอง
หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว!
เขาก้าวขึ้นสู่เวทีโดยไม่มีการหยุดกลางทางเหมือนเมื่อวาน!
“อะไรกันนี่?”
ใบหน้าของผู้ชมเต็มไปด้วยความตกตะลึงและประหลาดใจ
หลิงอวิ๋นกล้าขึ้นเวทีจริงๆ!
“ฮึ!”
ว่านอวี้ซูกระชับดาบลมปราณไว้ในมือ จ้องมองหลิงอวิ๋นด้วยท่าทางเยาะเย้ย “ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะกล้าขึ้นมาจริงๆ หรือเจ้าคิดว่าข้าไม่คู่ควรจะต่อกรกับเจ้าหรือ?”
หลิงอวิ๋นยิ้มกว้าง “ใช่แล้ว แล้วจะทำไม?”
“บัดซบ!”
ว่านอวี้ซูโกรธจนหัวเราะ เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง เหวี่ยงดาบลมปราณในมือฟาดใส่หลิงอวิ๋นทันที
แม้ว่าดาบที่สร้างจากลมปราณจะดูทรงพลัง แต่พลังทำลายล้างของมันไม่อาจเทียบเท่าการใช้ดาบจริงได้
มันเป็นการแสดงออกที่ดูโก้เก๋เท่านั้น
วิธีนี้มักถูกใช้เมื่อผู้แข็งแกร่งดูถูกคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอกว่า
เหมือนในครั้งที่เฉินชางมุ่งหน้าสู่เมืองหินสวรรค์เพื่อจัดการตระกูลหลิง เขาใช้ดาบลมปราณจัดการกับหลิงอวิ๋นที่อยู่ในระดับขอบเขตทะลวงปราณชั้นเจ็ด
ตอนนี้ว่านอวี้ซูซึ่งอยู่ในระดับขอบเขตกงล้อสมุทรชั้นแรก ก็ใช้วิธีเดียวกันในการเผชิญหน้ากับหลิงอวิ๋น