ตอนที่ 11 จอมมารนึกสนใจ
ตอนที่ 11 จอมมารนึกสนใจ
“เป่ยหมิงเย่แห่งนิกายเร้นมาร นี่เจ้าต้องการทำสงครามกับสำนักสวรรค์เร้นลับอย่างเต็มตัวหรือ?”
เสื้อคลุมของจ้าวอู๋จีพลิ้วไหว แสงเจิดจ้าปกคลุมทั่วร่างยิ่งกว่าเดิม
“สงครามเต็มตัวงั้นหรือ? ให้คนที่ตัดสินใจได้ออกมาพูด!”
เป่ยหมิงเย่โบกมือเพียงครั้งเดียว คลื่นพลังมารรุนแรงราวพายุหมุนฟาดลงกลางอากาศ!
จ้าวอู๋จีถูกฝ่ามือมหาศาลกดร่างจนกระแทกร่วงลงมากองที่เท้าของหลิงอวิ๋น
พื้นดินสั่นสะเทือนทันที รอยร้าวแตกกระจายราวใยแมงมุมแผ่ขยายไปทุกทิศทาง
ภายในหลุมลึกที่เกิดจากร่างมนุษย์ จ้าวอู๋จีนอนอยู่ด้วยเลือดอาบทั่วร่าง ลมหายใจรวยริน
ดวงตาของหลิงอวิ๋นส่องประกายรุนแรง เขาแทบอยากจะพุ่งเข้าไปและดูดกลืนชีวิตของจ้าวอู๋จีจนแห้งตายเสีย
แต่เขากลับควบคุมตนเองได้และระงับความปรารถนานั้น
นักรบของสำนักสวรรค์เร้นลับที่อยู่รอบๆ ต่างก็ตกตะลึง
แม้ว่าทุกคนจะรู้ว่า เป่ยหมิงเย่ จ้าวนิกายแห่งนิกายเร้นมารนั้นแข็งแกร่ง แต่ไม่มีใครคาดคิดว่า...
เป่ยหมิงเย่จะมีพลังมหาศาลถึงเพียงนี้!
เพียงการโจมตีอย่างไม่ใส่ใจ ก็สามารถทำร้ายจ้าวอู๋จีจอมยุทธ์ขอบเขตหลุดพ้นได้สาหัสในพริบตา!
“จอมมารเป่ยหมิง เจ้าทำเกินไปแล้ว!”
เสียงแก่ชราดังก้องขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัวของชายชราสวมชุดคลุมสีเทาหกคนที่ลอยมาจากส่วนลึกของสำนักสวรรค์เร้นลับ
แต่สิ่งที่ทำให้หลิงอวิ๋นประหลาดใจยิ่งกว่าคือ มีคนหนึ่งในกลุ่มนั้นคือศัตรูคู่อาฆาตของเขาฉู่เทียนฉี!
“หกบรรพบุรุษแห่งสวรรค์เร้นลับ ข้ารู้มาว่าแต่ละคนล้วนครอบครองดาบศึกโบราณหนึ่งเล่ม และเมื่อรวมกับดาบประจำสำนักสำนักสวรรค์เร้นลับ ดาบอัคคีสีชาดแล้ว จะสามารถร่ายกระบวนท่าดาบสังหารสวรรค์อีกครั้ง!”
“จอมมารผู้นี้ วันนี้ตั้งใจมาท้าทายพวกเจ้าโดยเฉพาะ!”
เสียงของเป่ยหมิงเย่ดังก้องสามพันลี้ สั่นสะเทือนทั่วทั้งเทียนเสวียน
“จอมมารเป่ยหมิง เจ้าช่างอาจหาญเกินไปแล้ว!”
ตลอดพันปีที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีผู้ใดกล้าท้าทายอำนาจของสำนักสวรรค์เร้นลับอย่างนี้!
ในชั่วพริบตา ดาบศึกโบราณหกเล่มก็ปรากฏขึ้นในมือของบรรพบุรุษหกแห่งเทียนเสวียน!
สายฟ้าพิโรธ
หุบเหวมังกร
ประกายอัคคีดับ
เงาผู้สืบทอด
ห้วงมรกต
จันทราทมิฬ
ดาบโบราณทั้งหกเล่มต่างส่องแสงแวววาวไม่อาจเทียบเคียงในมือของบรรพบุรุษเทียนเสวียน และเมื่อผสานกับพลังขอบเขตหมื่นแปรผันขั้นสิบของพวกเขา แสงที่ห่อหุ้มสำนักสวรรค์เร้นลับก็พลันผลักไล่พลังมารที่ครอบคลุมอยู่จนหมดสิ้น
“ไม่เลว ดาบโบราณเหล่านี้ดูน่าเกรงขามยิ่งนัก แต่ถ้าพวกเจ้าจะใช้พลังเพียงหกคนขับเคลื่อนมันก็ไม่อาจต้านข้าได้!”
เป่ยหมิงเย่ก้าวไปในอากาศ ความแข็งแกร่งขอบเขตชำระวิญญาณของเขาแพร่กระจายออกไปทันที กดทับพลังของบรรพบุรุษทั้งหกลงไป
“เทียนฉี ประจำตำแต่งของเจ้า!”
บรรพบุรุษคนแรกของเทียนเสวียนตะโกนเสียงดัง ทุกคนต่างจ้องมองด้วยความตะลึง ในขณะที่ฉู่เทียนฉีทะยานขึ้นมาหยุดอยู่กลางบรรพบุรุษทั้งหก
เขาไม่ได้ถือดาบศึกโบราณ และแม้แต่ในมือก็ไม่มีดาบใด ๆ เลย
สิ่งนี้ทำให้หลิงอวิ๋นรู้สึกประหลาดใจ
“พวกเจ้าจะใช้ศิษย์ที่ยังไม่ทะลวงสู่ขอบเขตแดนเร้นลับทำหน้าที่เป็นจุดศูนย์กลางของค่ายกลงั้นหรือ? สำนักสวรรค์เร้นลับไม่มีคนแล้วหรือไร?”
เป่ยหมิงเย่แสดงความประหลาดใจอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงหัวเราะเยาะ “ฟงลี่เยวี่ยไม่อยู่ในสำนักสวรรค์เร้นลับแล้วสินะ เช่นนั้นดาบอัคคีสีชาดก็คงไม่อยู่เช่นกัน เจ้าคิดว่าจะต้านข้าได้อย่างนั้นหรือ?”
“แม้อาวุโสสูงสุดของเราจะไม่อยู่ แต่การใช้เทียนฉีเป็นจุดศูนย์กลางค่ายกล ย่อมเพียงพอที่จะมอบบทเรียนให้เจ้าได้!”
ทันทีที่บรรพบุรุษคนแรกพูดจบ พลังดาบอันเย็นเยียบก็เริ่มปกคลุมร่างของฉู่เทียนฉี
“อย่างนั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้นก็ลองดู!”
ดวงตาของเป่ยหมิงเย่เปล่งแสงมารอันน่าสะพรึงกลัวออกมา!
ฟ้าดินเข้าสู่ความมืดมิดในพริบตา แสงสว่างพลันหม่นหมองมองไม่เห็นแม้แต่มือของตัวเอง และหูของทุกคนก็ได้ยินเสียงกู่ร้องของพลังมารดังก้อง
“ไม่เลวเลย เป็นถึงดวงตาอันดับสามของบรรดาตาสิบสุดยอดในรายชื่อ ดวงตาทมิฬ ทุกคนจงตั้งสมาธิแน่วแน่ใช้คัมภีร์สวรรค์เร้นลับควบคุมจิตวิญญาณของตน!”
บรรพบุรุษคนแรกของเทียนเสวียนเตือนเหล่านักรบของสำนักสวรรค์เร้นลับ พร้อมทั้งเริ่มขับเคลื่อนกระบวนท่าดาบเพื่อจู่โจมเป่ยหมิงเย่
แต่ทันใดนั้น...
หลิงอวิ๋นตะโกนขึ้นอย่างกะทันหัน “นี่มันเล่ห์ลวง! พวกมันกำลังถ่วงเวลาเราเพื่อเก็บศพศิษย์ของนิกายเร้นมารกลับไป!”
บรรพบุรุษหกแห่งเทียนเสวียนตื่นตัวขึ้นทันที
แต่ก็สายเกินไปแล้ว
ศพของศิษย์นิกายเร้นมารที่ถูกแขวนไว้ที่ปากทางป่าหมอก ได้ถูกสี่ผู้พิทักษ์ใหญ่ของนิกายเร้นมารเก็บกู้คืนกลับไปทั้งหมด
“วันนี้ ข้าจอมมารจะพาศิษย์เหล่านี้กลับไปก่อน แต่วันหน้าสำนักสวรรค์เร้นลับจะต้องชดใช้เป็นร้อยเท่า!”
พื้นที่นี้เป็นดินแดนของสำนักสวรรค์เร้นลับ หากการต่อสู้ยืดเยื้อจนกระตุ้นให้จอมยุทธ์ขอบเขตชำระวิญญาณจากส่วนลึกของสำนักสวรรค์เร้นลับปรากฏตัว พวกเขาจะต้องประสบหายนะครั้งใหญ่แน่นอน
“แต่จงจำไว้ ข้าจอมมารไม่เคยผิดคำพูด!”
ทันใดนั้น...
เป่ยหมิงเย่หายวับจากหลังมังกรไฟทมิฬพุ่งตรงเข้าหาหลิงอวิ๋น!
“แย่แล้ว! อันตราย!”
หลิงอวิ๋นไม่ทันคาดคิดว่าเป่ยหมิงเย่จะจู่โจมตนอย่างฉับพลัน
ความเร็วของเป่ยหมิงเย่นั้นรวดเร็วเกินกว่าจะต้านทาน
ในชั่วพริบตาเดียว หลิงอวิ๋นก็รู้สึกถึงมืออันใหญ่ยิ่งที่จับร่างตนไว้โดยไม่อาจต่อต้าน
เกือบจะเป็นไปตามสัญชาตญาณหลิงอวิ๋นเร่งใช้คัมภีร์เปิดฟ้าปฐมจักรวาล
ปราณมารอันมหาศาลพลันไหลเข้าสู่ร่างของหลิงอวิ๋นในทันที!
“อืม? ไม่ดีแล้ว นี่คือวิชาดูดดารา!”
เป่ยหมิงเย่ตกตะลึง เขารู้สึกได้ว่าพลังปราณในร่างของตนกำลังถูกดูดออกไปอย่างรวดเร็ว
วิชาดูดดาราเคยเป็นวิชาประจำสำนักของนิกายเร้นมาร แต่หลังจากที่จอมมารคนก่อนล่มสลายไปในแดนลับโบราณ วิชานี้ก็สูญหายไป
แต่ตอนนี้กลับมีเด็กหนุ่มวัยสิบหกปีคนหนึ่งที่ใช้วิชานี้ได้!
“เป่ยหมิงเย่ เจ้าเห็นว่าสำนักสวรรค์เร้นลับจะยอมให้ข่มเหงง่ายดายถึงเพียงนี้หรือ!”
หลังจากที่ศพของศิษย์นิกายเร้นมารถูกขโมยไป ถือว่าสำนักสวรรค์เร้นลับถูกหยามหน้ามาแล้วครั้งหนึ่ง
หากปล่อยให้นิกายเร้นมารมาลักพาตัวศิษย์ของสำนักออกไปอีก ศักดิ์ศรีของสำนักสวรรค์เร้นลับในแคว้นฟ้าครามคงต้องล่มสลายลง
“กระบวนท่าดาบสังหารสวรรค์!”
บรรพบุรุษหกแห่งเทียนเสวียนประสานพลังทันที พลังจากทั้งหกหลั่งไหลเข้าสู่ร่างของฉู่เทียนฉี
ในบรรดาคนทั้งเจ็ด ฉู่เทียนฉีมีพลังฝีมืออ่อนด้อยที่สุด
แต่เขากลับเป็นผู้ที่ได้รับบทบาทสำคัญในการจู่โจม!
เพียงพริบตาเดียว ฉู่เทียนฉีก็เปล่งประกายแสงดาบอันเจิดจ้าไปทั่วร่าง
เขาแปรเปลี่ยนเป็นดาบแห่งแสงที่ยาวถึงร้อยจั้ง พลังอันน่าเกรงขามจนผู้คนตะลึงงัน
“วิถีดาบเป็นหนึ่งเดียว!”
ทุกสายตาเบิกกว้าง มองดูดาบแห่งแสงที่น่าเกรงขามอยู่กลางอากาศด้วยความไม่เชื่อ
“ฉู่เทียนฉีเข้าใจหลักการคนดาบเป็นหนึ่งได้อย่างไร นี่จึงเป็นเหตุว่าทำไมดาบของบรรพบุรุษทั้งหกจึงต้องให้เขาเป็นผู้จู่โจมหลัก!”
“พรสวรรค์รากวิญญาณของฉู่เทียนฉีก็จัดว่าอยู่ในระดับปฐพีที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว แต่ไม่คาดคิดเลยว่าพรสวรรค์ด้านวิถีดาบของเขาจะสูงส่งถึงเพียงนี้!”
“ไม่เสียทีที่ฉู่เทียนฉีเป็นอัจฉริยะหนึ่งเดียวในรอบร้อยปีของสำนักสวรรค์เร้นลับ!”
ท่ามกลางเสียงชื่นชมจากฝูงชน
ร่างดาบของฉู่เทียนฉีพุ่งตรงเข้าหาเป่ยหมิงเย่ด้วยพลังทำลายล้างมหาศาล
ดาบนี้!
รวบรวมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของบรรพบุรุษทั้งหกแห่งเทียนเสวียน!
ดาบนี้!
มีพลังจากหลักการวิถีดาบเป็นหนึ่งเดียวของฉู่เทียนฉีหนุนเสริม!
มันระเบิดพลังอันน่ากลัวเทียบเท่ากับขอบเขตชำระวิญญาณ!
“หาที่ตาย!”
เป่ยหมิงเย่สะบัดหลิงอวิ๋นออก จากนั้นก็หันกลับไปพร้อมปล่อยฝ่ามืออันทรงพลังโต้ตอบกลับมา
หลิงอวิ๋นอดเสียดายไม่ได้ เพียงแค่การสัมผัสพลังของเป่ยหมิงเย่เพียงชั่วขณะ ทำให้คัมภีร์เปิดฟ้าปฐมจักรวาลดูดซับพลังปราณมาร และเพิ่มระดับพลังของเขาไปถึงสามขั้น จนถึงขอบเขตปฐมปราณขั้นแปด
หากเขาสามารถดูดพลังจากเป่ยหมิงเย่ได้อีกเพียงเล็กน้อยก็อาจจะก้าวสู่ขอบเขตทะลวงปราณได้ทันที
โครม!
เสียงปะทะดังสนั่นไปทั่วฟ้าดิน พลังงานมหาศาลพลันระเบิดออก
ประตูภูเขาสั่นไหว พื้นดินแตกออกเป็นรอยร้าวมากมาย แผ่ขยายไปทั่วทุกทิศทาง
จากนั้นหลิงอวิ๋นก็เห็นว่าเป่ยหมิงเย่ถูกพลังปะทะจนร่างกระเด็นออกจากประตูภูเขา
มังกรไฟทมิฬทะยานลงมาจากท้องฟ้าเพื่อรับร่างของเป่ยหมิงเย่
ขณะเดียวกัน ร่างดาบของฉู่เทียนฉีก็พ่นเลือดออกมาคำใหญ่ และถูกบรรพบุรุษคนแรกของเทียนเสวียนรับตัวไว้ทัน
“ดี ดี ดี! นึกไม่ถึงเลยว่าในสำนักสวรรค์เร้นลับ นอกจากฟงเยวี่ยลี่แล้ว ยังมีอีกคนที่เข้าใจหลักการ 'วิถีดาบเป็นหนึ่งเดียว' ได้เช่นกัน”
“ฉู่เทียนฉี สมเป็นอัจฉริยะที่หนึ่งแห่งสำนักสวรรค์เร้นลับจริง ๆ!”
“น่าเสียดายที่ยังอ่อนหัดเกินไปหน่อย!”
สายตาของเป่ยหมิงเย่กวาดผ่านร่างของฉู่เทียนฉีแล้วหยุดลงที่หลิงอวิ๋นอีกครั้ง
“เจ้าหนุ่ม หากสำนักสวรรค์เร้นลับไม่รับเจ้าไว้ ข้าขอบอกว่าประตูของนิกายเร้นมารเปิดกว้างต้อนรับเจ้าเสมอ”
พูดจบเป่ยหมิงเย่เหลือบมองไปยังส่วนลึกของสำนักสวรรค์เร้นลับอีกครั้ง จากนั้นก็นำพาศิษย์และผู้พิทักษ์ของนิกายเร้นมารออกไปอย่างรวดเร็ว
“โอ้?”
เป็นครั้งแรกที่บรรพบุรุษคนแรกแห่งเทียนเสวียนหันมองไปยังหลิงอวิ๋นด้วยความสนใจ