ตอนที่ 4 ข้าไม่คุยกับคนหน้าตาน่าเกลียด
ตอนที่ 4 ข้าไม่คุยกับคนหน้าตาน่าเกลียด
เมื่อเสียงตะโกนนั้นดังขึ้น ฝูงชนต่างแหวกทางให้หญิงสาวที่สวมกระโปรงยาวสีชาอ่อน เดินเข้ามาเหมือนดั่งดวงดาวที่ถูกห้อมล้อมด้วยความชื่นชม
“เยี่ยเมิ่งเยียน!”
หลิงอวิ๋นหรี่ตาลงเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าจะเจอผู้หญิงคนนี้ทันทีที่มาถึง
ดีมาก!
คนในตระกูลเยี่ยกำลังรอให้นางไปพบในนรก!
“หลิงอวิ๋น? เจ้าไม่อยากถอนหมั้นใช่หรือไม่ถึงได้ตามข้ามาจนถึงสำนักสวรรค์เร้นลับนี่?”
เยี่ยเมิ่งเยียนเงยคางขาวผ่องขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง
หลิงอวิ๋นรู้สึกขบขัน “เฮอะ เยี่ยเมิ่งเยียน เจ้าไม่สำคัญตนผิดไปหน่อยหรือ?”
“อย่างเจ้าที่เป็นแค่หญิงมารยา ตอนนี้ถึงจะมาประเคนตัวให้ ข้าก็ไม่แลเจ้าเลยด้วยซ้ำ”
“เจ้า!” เยี่ยเมิ่งเยียนโมโหจนกัดฟันแน่น
“ไอ้หนุ่ม กล้าด่าคุณหนูเมิ่งเยียน เจ้าอยากตายหรือ!”
ชายหนุ่มหน้าตาขรุขระกระโดดออกมาด้วยท่าทีดุดัน
“เจ้าหน้าตาน่าเกลียด เจ้าคิดว่าข้าคุยกับเยี่ยเมิ่งเยียน แล้วเจ้ามีสิทธิ์พูดแทรกหรือ?”
หลิงอวิ๋นตวัดฝ่ามือไปทันที จนชายหนุ่มหน้าขรุขระกระเด็นล้มลงกับพื้น
“เจ้า... เจ้ากล้าตบข้าหรือ?”
ชายหนุ่มที่หน้าร้อนผ่าวจับใบหน้าตัวเองด้วยความงุนงง
หลิงอวิ๋นแสยะยิ้ม “แค่เศษขยะ ข้าต้องหวาดกลัวเจ้าหรือ!”
“พี่ชายข้าเป็นยอดฝีมือจากสำนักนอก เฉินชาง ส่วนบิดาข้าคือผู้เฒ่าระดับสูงเฉินเฉาอันแห่งสำนักใน เจ้ากล้าตบข้า เจ้าตายแน่!”
ชายหนุ่มหน้าขรุขระเริ่มรู้สึกว่าการจัดการกับหลิงอวิ๋นคงไม่ง่าย จำเป็นต้องเรียกคนมาช่วย
“พอเถอะ เฉินฟง เจ้าอย่าทำตัวเหมือนพวกคนหยาบคาย”
เยี่ยเมิ่งเยียนบอกให้เฉินฟงถอยออกไป จากนั้นหันมาจ้องหลิงอวิ๋นด้วยสายตาเย้ยหยัน
“หลิงอวิ๋นบอกมาเถอะว่าเจ้ามาที่สำนักสวรรค์เร้นลับเพื่ออะไรกันแน่ หากเจ้ามาเพื่อหวังให้ข้าเปลี่ยนใจละก็… เลิกคิดไปได้เลย!”
“เยี่ยเมิ่งเยียน ในการทดสอบเข้าเป็นศิษย์ ข้าจะสร้างความโดดเด่นให้คนประจักษ์ เจ้าไม่มีทางเทียบกับข้าได้!”
“เจ้าคิดว่าจะสร้างความโดดเด่นหรือ?”
หลิงอวิ๋นแสยะยิ้มเย็นชา “ข้าเกรงว่าเจ้าคงได้แต่รอความตายเถอะ”
เยี่ยเมิ่งเยียนขมวดคิ้ว “เจ้าหมายความว่ายังไง?”
ทันใดนั้นเสียงที่ดังกึกก้องราวกับระฆังใหญ่ก็ขานขึ้นจากทางประตูภูเขา
“เงียบ!”
“ข้าคือผู้ดูแลการทดสอบเข้าเป็นศิษย์ในครั้งนี้ ผู้อาวุโสเฉา”
ชายชราสวมชุดคลุมสีเงินปรากฏตัวที่หน้าประตูภูเขา
“การทดสอบเข้าเป็นศิษย์ในครั้งนี้มีเพียงสองด่าน ด่านแรกคือการต่อสู้จริง ด่านที่สองคือการทดสอบรากวิญญาณ”
“การทดสอบการต่อสู้จริงนั้นคือการเข้าสู่ป่าหมอกที่อยู่ทางด้านขวาของพวกเจ้า ผู้ใดที่มีอายุเกินสิบหกปี ไม่ต้องเข้าร่วมเพราะไม่มีคุณสมบัติพอ”
“ในป่าหมอกนั้นเต็มไปด้วยนักโทษประหารที่ถูกจับมาจากเมืองใหญ่ต่าง ๆ ส่วนใหญ่เป็นนักพรตมาร บางคนก็เป็นโจรป่า และฆาตกรโหดเหี้ยม”
“อะไรนะ? การทดสอบเข้าเป็นศิษย์ในปีนี้ไม่ใช่การล่าสัตว์อสูร แต่เป็นการสู้กับนักพรตมาร?”
นักสู้หลายคนที่มาร่วมการทดสอบต่างแสดงความตกตะลึง
นักพรตมารนั้นเหี้ยมโหดอยู่แล้ว และยิ่งไปกว่านั้น พวกนักโทษประหารเหล่านี้ย่อมอันตรายยิ่งกว่า
หลิงอวิ๋นกลับแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อย แม้ว่าการทดสอบการต่อสู้นี้จะเต็มไปด้วยอันตราย แต่สำหรับเขาแล้ว ยิ่งคนมากยิ่งดี
บางทีการทดสอบนี้อาจทำให้เขายกระดับพลังได้อีกขั้นหนึ่ง
“เมื่อพวกเจ้าเลือกเข้าสู่ป่าหมอกแล้ว ความเป็นความตายของพวกเจ้าจะไม่เกี่ยวข้องกับสำนักสวรรค์เร้นลับ!”
“เป้าหมายของพวกเจ้า คือการสังหารนักโทษสิบคนเพื่อผ่านด่านแรก สามอันดับแรกจะได้รับรางวัลใหญ่!”
“การทดสอบเข้าเป็นศิษย์ของสำนักสวรรค์เร้นลับ… เริ่มได้!”
เมื่อผู้อาวุโสเฉาพูดจบ ปากทางที่เต็มไปด้วยหมอกก็ปรากฏขึ้นต่อสายตาของทุกคน
ที่ปากทางเข้านั้น มีต้นไม้โบราณต้นหนึ่งยืนตระหง่าน บนต้นไม้ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างแขวนอยู่หนาแน่น
หลิงอวิ๋นเริ่มก้าวเท้าเดินเข้าสู่ป่าหมอก
เมื่อเห็นฉากนี้เยี่ยเมิ่งเยียนถึงกับตกตะลึง!
หลิงอวิ๋นคิดจะทำอะไร? เขาคิดจะเข้าร่วมการทดสอบเข้าเป็นศิษย์ของสำนักสวรรค์เร้นลับงั้นหรือ?
เขาเป็นคนที่ไม่มีรากวิญญาณแล้ว เขาไปเอาความกล้ามาจากไหนกัน?
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ หลิงอวิ๋นเริ่มเห็นชัดเจนว่าสิ่งที่แขวนอยู่บนต้นไม้โบราณนั้นคืออะไร
มันคือศพ!
ศพจำนวนมากแขวนอยู่บนต้นไม้อย่างหนาแน่น
เลือดที่ไหลชโลมสร้างบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด
“ทุกคนอย่าตกใจไป!”
เฉินฟงก้าวออกมาชี้ไปที่ต้นไม้โบราณ “ศพเหล่านี้เป็นของนักพรตมารที่ถูกฆ่าและแขวนไว้ที่นี่”
“เก้าศพที่แขวนอยู่ข้างหน้าเราเป็นศิษย์ชั้นในของนิกายเร้นมาร ทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือขอบเขตหยินหยาง”
“โดยเฉพาะคนที่อยู่ตรงกลาง ผู้หญิงคนนั้นคือ อู๋สิงอวิ๋นศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักนิกายเร้นมาร นางเป็นยอดฝีมือขอบเขตหลอมรวมแต่ก็ยังถูกพี่ฉู่สังหารได้”
เฉินฟงอธิบายอย่างภาคภูมิใจ เพราะเขาเป็นคนใกล้ชิดสำนักจึงรู้ข้อมูลมากกว่าคนทั่วไป
“เฮ้อ น่าเสียดายจริง ๆ”
หลิงอวิ๋นลองกระตุ้นคัมภีร์เปิดฟ้าปฐมจักรวาลดู แต่พบว่าศพเหล่านี้ตายสนิทแล้ว ปราณแก่นแท้ในร่างก็สลายไปหมดแล้ว
“น่าเสียดาย?”
เฉินฟงหันมามองหลิงอวิ๋น “ไอ้หน้าอ่อน นักพรตมารพวกนี้สมควรตายอยู่แล้ว เจ้ากลับพูดว่าน่าเสียดาย เจ้าเป็นสายลับจากนิกายเร้นมารหรือ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของหลิงอวิ๋นสะท้อนแสงเย็นเยียบ หากข้อหานี้ถูกสวมไว้บนตัวเขา
เขาคงไม่ต้องเข้าร่วมการทดสอบอะไรแล้ว เพราะนักสู้ผู้แข็งแกร่งจากสำนักสวรรค์เร้นลับคงสังหารเขาตรงนั้นและแขวนศพไว้แทน
หลิงอวิ๋นโกรธจัดทันที “เฉินฟง ข้าแค่เสียดายที่ไม่ได้เห็นการต่อสู้ระหว่างนักสู้สำนักและนักพรตมาร แล้วเจ้าสมองหมามาจากไหนถึงกล้ามากล่าวหาข้าว่าเป็นสายลับมาร?”
“เจ้า...”
เฉินฟงหน้าขึ้นสีแดงทันทีด้วยความอับอาย
“พี่เฉิน ไม่ต้องไปเสียเวลาทะเลาะกับคนแบบนี้ เราควรรีบผ่านป่าหมอกให้ได้”
เยี่ยเมิ่งเยียนรู้ดีว่าศิษย์พี่ฉู่อาจกำลังจับตามองนางจากบนประตูภูเขา
นางจะไม่ทำให้ศิษย์พี่ฉู่ผิดหวัง นางจะต้องเป็นคนแรกที่ออกจากป่าหมอก
หลิงอวิ๋นก็ไม่มีความสนใจที่จะมาทะเลาะกับเฉินฟงนอกป่าหมอกเช่นกัน
พอเข้าไปในป่าหมอกแล้ว เขาจะทำให้ไอ้หนุ่มนี่คุกเข่าร้องเรียกเขาว่าท่านปู่เอง
เมื่อก้าวข้ามต้นไม้โบราณและเข้าสู่ทางเข้าป่าหมอก หลิงอวิ๋นรู้สึกทันทีว่าภาพที่เห็นรอบตัวเปลี่ยนไป ผู้เข้าร่วมทดสอบคนอื่น ๆ หายไปหมด เหลือเพียงป่าทึบที่มืดมิด
“ไม่แปลกใจเลยที่นี่คือป่าหมอก ทั้งการมองเห็นและการสัมผัสรับรู้ถูกจำกัดทั้งหมดสินะ”
หลิงอวิ๋นเดินพลางระมัดระวังสิ่งรอบตัวอย่างเต็มที่
ทันใดนั้น
เสียงด่าทอด้วยความโกรธก็ดังขึ้นจากข้างหน้า “ข้าจะฆ่าสำนักสวรรค์เร้นลับ! สำนักสวรรค์เร้นลับมันต้องตาย!”
“น่าจะเป็นนักโทษประหาร!”
หลิงอวิ๋นเพิ่มความระมัดระวังขั้นสูงสุด ก่อนจะขยับเข้าใกล้อย่างช้า ๆ
หลังจากผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ เขาเห็นชายตาเดียวร่างยักษ์ที่ถูกขังอยู่ในค่ายกล
“ผู้เข้าร่วมทดสอบ หลิงอวิ๋นพลังขอบเขตปฐมปราณขั้นสอง นักโทษขอบเขตปฐมปราณขั้นสี่ ต้องการเปิดค่ายกลหรือไม่?”
เสียงไร้อารมณ์ดังขึ้นจากค่ายกล
“ค่ายกลนี้สามารถตรวจสอบระดับพลังจากปราณของข้าได้ ช่างเป็นสำนักที่ยิ่งใหญ่ สมกับเป็นนิกายที่แข็งแกร่งที่สุดในแคว้นฟ้าคราม”
“เปิดค่ายกล!”
เมื่อหลิงอวิ๋นออกคำสั่ง ค่ายกลที่ขังชายตาเดียวก็หายไปทันที
“ไอ้หนุ่ม เจ้ากล้าดีอย่างไร… เป็นแค่ขยะขอบเขตปฐมปราณขั้นสอง แล้วคิดจะมาสังหารข้ามังกรตาเดียว!”
ชายตาเดียวกระทืบพื้นอย่างรุนแรง พุ่งเข้าหาหลิงอวิ๋นราวกับเสือดุร้าย
หลิงอวิ๋นไม่แม้แต่จะหลบ เขารวบรวมปราณในจุดตันเถียนแล้วฟาดฝ่ามือออกไป
ตูม!
ชายตาเดียวรู้สึกเหมือนต่อยเข้ากำแพงเหล็ก กำปั้นของเขาร้าวจนเจ็บปวดราวกับจะแตกออก!