50 - เลียนแบบสภาพอากาศ
50 - เลียนแบบสภาพอากาศ
“หึ!”
หลี่ซื่อหลงแค่นเสียงด้วยความหงุดหงิด “ข้าได้ยินมาว่าฉินโม่ทำเหล้าซานเล่อเจียง เขากล้าทำเรื่องเช่นนี้ ในขณะที่อาณาจักรขาดแคลนอาหาร ข้าสั่งห้ามทำเหล้าอย่างชัดเจน แต่เขากลับไม่สนใจกฎหมายของข้าเลย!”
หยางหลิวเกินรีบคุกเข่าลงทันที “ฝ่าบาท เหล้าซานเล่อเจียงนี้ไม่ใช่เหล้าที่คุณชายหมักเอง แต่เป็นการแปรรูปจากเหล้าที่หมักจากผลไม้พะยะค่ะ”
“อ้อ?”
หลี่ซื่อหลงเริ่มสนใจ “เขามีความสามารถเช่นนี้ด้วยหรือ ข้าไม่อยากจะเชื่อเลย!”
“แม้คุณชายจะดูซื่อ แต่จิตใจเขาบริสุทธิ์ มีบางอย่างที่เขาทำได้ไม่ดีเท่าคนอื่น แต่บางอย่างกลับเก่งกว่าคนทั่วไปพะย่ะค่ะ!”
ประโยคนี้หลี่ซื่อหลงเห็นด้วย
ในสายตาของหลี่ซื่อหลง จริงๆ แล้วฉินโม่เป็นคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์ แต่บางครั้งก็ซุ่มซ่าม ทำเอาเขาอยากจะตีขาให้หักรู้แล้วรู้รอดไปเลย!
หลังจากรอไปอีกสองเค่อในขณะที่หลี่ซื่อหลงเริ่มหงุดหงิด ฉินโม่ก็ค่อยๆ เดินมาอย่างเชื่องช้าจากระยะไกล โดยมีท่าทีง่วงนอน
“ถวายบังคมท่านพ่อตา ฮ้า…”
ฉินโม่คำนับเล็กน้อย พลางหาวออกมาอย่างไม่เกรงใจ จนถึงกับน้ำตาไหล ดูท่าทางเหมือนยังไม่ตื่นเต็มที่
หลี่ซื่อหลงโมโหจนอยากจะตีคน เจ้าโง่นี่ไม่แม้แต่จะคุกเข่าให้ แถมยังทำตัวเฉื่อยชา นี่ถือเป็นความผิดที่ไม่เคารพยำเกรงอย่างยิ่ง!
แต่เขากลับปลูกผักได้สำเร็จ หลี่ซื่อหลงอยากรู้เหลือเกินว่าฉินโม่มีเคล็ดลับในการปลูกผักอย่างไร
“ฉินโม่ ข้าถามเจ้า เจ้าปลูกผักได้อย่างไร?”
“ท่านพ่อตาก็เห็นหมดแล้วมิใช่หรือ?”
ฉินโม่ในช่วงนี้ทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างเครื่องกลั่นเหล้า
อาณาจักรต้าเฉียนห้ามทำเหล้า แต่เขาเปิดร้านอาหารทะเลโดยไม่ขายเหล้าได้อย่างไร?
ไม่ว่าจะเป็นอาหารผัด หม้อไฟ หรือผักเล็กๆ ก็ไม่ทำกำไรได้เท่ากับการขายเหล้า
“ข้าถามเจ้าว่า เหตุใดผักเหล่านี้จึงเติบโตนอกฤดูกาลได้?”
“ก็ไม่ยากอะไร เพียงแค่เลียนแบบสภาพอากาศในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ผักก็สามารถเติบโตได้”
“เลียนแบบสภาพอากาศ?”
หลี่ซื่อหลงครุ่นคิด ก่อนจะถามต่อ “ถ้าเช่นนั้น เจ้าคิดว่าการจะปลูกธัญพืชในฤดูหนาวทำได้หรือไม่?”
“ทางทฤษฎีทำได้ แต่ไม่มีความจำเป็น เพราะฤดูหนาวมีแค่สามถึงสี่เดือน ขณะที่ธัญพืชต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามเดือน หากปลูกในฤดูหนาวและทำให้ดินเสื่อม ในฤดูใบไม้ผลิปีหน้าผลผลิตจะย่ำแย่แน่นอน”
ฉินโม่ตอบ
“แล้วไม่มีวิธีแก้ไขหรือ?”
“มีสิ!”
หลี่ซื่อหลงดีใจ รีบถามต่อ “วิธีใด? หากเจ้าสามารถแก้ปัญหานี้ได้ ข้าจะให้เจ้าอะไรก็ได้!”
“ก็แค่พัฒนาพันธุ์ธัญพืชที่ให้ผลผลิตสูงขึ้นไม่ใช่หรือ?”
ฉินโม่กล่าว “ปัญหาง่ายๆ ขนาดนี้ยังต้องถามอีก?”
“แล้วเจ้าพัฒนาพันธุ์ได้หรือ?”
“ข้า? ข้าไม่สามารถทำได้! หากข้ามีเมล็ดพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูงจริง ข้าก็จะขายมันในราคาสูงลิ่ว เอากำไรเต็มที่ แล้วใครจะไปปลูกผักทุกวันกันเล่า!”
หลี่ซื่อหลงโมโหจนทุบศีรษะของเขา “เจ้าโง่! ธัญพืชเป็นรากฐานของชาติ จะเอามาใช้ในการค้าได้อย่างไร!”
“ของข้าปลูกเอง ข้าจะขายอย่างไรก็ได้ ท่านห้ามอย่างนั้นห้ามอย่างนี้ แล้วข้าจะมีแรงจูงใจได้อย่างไร!”
อาณาจักรต้าเฉียนไม่เพียงมีความเจริญรุ่งเรืองแต่ยังมีผู้คนมากมาย ไม่ว่าประกอบการค้าเช่นไรก็สามารถทำให้ผู้คนมั่งคั่งขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย แต่ฮ่องเต้กลับเผด็จการเกินไป จนบางครั้งฉินโม่ก็รู้สึกว่าน่ารำคาญ
แล้วการทำเงินมันผิดตรงไหน?
หากไม่ทำเงินแล้วจะพัฒนาชีวิตได้อย่างไร? สังคมจะก้าวหน้าได้อย่างไร? การเก็บภาษีก็ต้องมีเงินก่อนถึงจะจ่ายได้ไม่ใช่หรือ?
“เจ้าโง่ ขี้เกียจแล้วยังโลภอีก!”
หลี่ซื่อหลงด่าด้วยความหงุดหงิด แต่ในใจก็รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง
“ท่านพ่อตา ท่านแพ้พนันแล้วนะ ต่อไปท่านห้ามรื้อเรือนเพาะชำของข้า และห้ามบังคับข้าไปที่สำนักกว๋อจื่อเจี้ยนอีก!”
เมื่อฉินโม่พูดถึงการเดิมพัน หลี่ซื่อหลงโกรธขึ้นมา “เจ้ามีพรสวรรค์มากในเรื่องคำนวณและการปลูกพืช ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเสียพรสวรรค์นี้เปล่าๆ เช่นนี้ เจ้าต้องเผยแพร่วิธีการปลูกผักของเจ้า และไปศึกษาวิชาคำนวณที่สำนักกว๋อจื่อเจี้ยน เมื่อเจ้าแต่งงานกับอวี้ซู่เจ้าต้องเลือกว่าจะทำงานเป็นรองเจ้ากรมโยธาหรือรองเจ้ากรมการคลัง!”
โอ้โห ช่างไร้ยางอายจริงๆ
พูดประโยคเดียวกะจะเอาวิธีการปลูกพืชไป แล้วยังบังคับให้ข้าเรียนคำนวณ อีกทั้งยังให้ข้าแต่งงานกับองค์หญิงเพื่อให้ข้าทำงานให้เขา
นี่มันช่างใจดำจริงๆ!
“ท่านพ่อตา ท่านเป็นถึงฮ่องเต้ จะมาเล่นตุกติกแบบนี้ได้อย่างไร ท่านไม่กลัวว่าผู้คนจะหัวเราะเยาะท่านหรือ?”
ฉินโม่แค่นเสียง “อีกอย่าง ผักเหล่านี้ข้าปลูกด้วยความลำบาก หากท่านเอาไป ข้าก็จะเลิกปลูกผักไปเลย แล้วหากมีของดีอะไรข้าก็จะเก็บไว้กับตัวเองไม่แบ่งปันให้ท่านอีก เพราะถ้าท่านเห็นแล้วก็จะเอาไปอยู่ดี ข้าก็เลือกที่จะนอนเฉยๆ ดีกว่า!
กรมโยธา กรมการคลัง ข้าไม่ไปเด็ดขาด! ท่านไม่ถามข้าว่าเต็มใจหรือไม่ แต่มาบังคับข้า นี่มันกดขี่กันเกินไป มันไม่ยุติธรรมเลย!”
ผู้คนรอบตัวฟังแล้วถึงกับเหงื่อไหลเต็มตัว
ใบหน้าของหลี่ซื่อหลงก็เริ่มเคร่งขรึมลง เรื่องที่ผู้คนมากมายต่างเฝ้าฝันมาตลอดชีวิตฉินโม่กลับปฏิเสธอย่างไม่ใยดี
นี่เป็นเพียงเด็กน้อยอายุสิบกว่าปีเท่านั้นแต่กลับเลือกที่จะ กินๆ นอนๆ เสียเวลาชีวิตไปวันๆ ในฐานะฮ่องเต้และพ่อตาเขาจะยอมรับได้อย่างไร!
สิ่งที่ทำให้เขาโกรธที่สุดก็คือ ฉินโม่กลับใช้คำว่า “บีบบังคับ” และ “ความไม่เป็นธรรม” ออกมา
เขาเป็นฮ่องเต้ ส่วนฉินโม่เป็ขุนนาง ฮ่องเต้ให้ขุนนางตายขุนนางไม่ตายไม่ได้ แต่กับฉินโม่ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น
"เจ้าคนโง่ เจ้าคิดว่าข้าจะเอาของของเจ้าไปเปล่าๆ? ข้าแค่ต้องการทำเพื่อราษฎรทั่วทั้งแผ่นดินนี้"
เขายังพูดไม่ทันจบ ฉินโม่ก็ตัดบทขึ้นว่า "ท่านพ่อตาข้ารู้ว่าท่านเป็นฮ่องเต้ย่อมต้องหาวิธีให้ราษฎรอยู่ดีกินดี แต่นี่เป็นสิ่งที่ข้าคิดค้นขึ้นมาอย่างเหน็ดเหนื่อยเพื่อใช้ในการหาเงิน เป็นธุรกิจที่ข้าและราษฎรตระกูลฉินหลายพันครัวเรือนทำร่วมกัน ถ้าท่านแย่งชิงมันไปเช่นนี้ไม่เท่ากับเป็นการแย่งอาหารออกจากปากของราษฎรตระกูลฉินหลายพันครัวเรือนหรือ อีกอย่างต่อให้ท่านได้วิธีการนี้ไปแต่คนอื่นๆ จะนำไปใช้ได้หรือ?"
"นี่..."
หลี่ซื่อหลงถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้ยินคำถามจากฉินโม่
เขารู้ดีว่าราษฎรทั่วไปไม่มีปัญญาทำตามวิธีการของฉินโม่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่มีต้นทุนแพงมากเกินไป ไม่ต้องพูดถึงการซื้อผ้าไหมสักพับ เพียงแค่ซื้อผักสดๆ สักต้นก็ไม่มีทางทำได้แล้ว
ผ้าไหมผืนหนึ่งมีราคาห้าตำลึงเงิน ชาวบ้านธรรมดาแค่เสื้อผ้าฝ้ายใช้ต้านทานความหนาวเย็นยังไม่มีปัญญาซื้อ แล้วจะซื้อผ้าไหมบางเบาไปเพื่ออะไร?
หลี่ซื่อหลงเพิ่งตระหนักถึงความจริงข้อนี้และรู้สึกหมดหวังทันที
สุดท้ายแล้ว ผักนี้ก็มีไว้สำหรับขุนนางและคนมีเงินเท่านั้น
เงินที่ได้มาก็เป็นเงินจากคนรวย
……………