บทที่ 39: ได้เวลาชมละครแล้ว
มู่เทียนฉงนิ่งเงียบไปพลางคิดว่าเด็กน้อยคนนี้มีความสามารถในการทำตัวให้น่ารักน่าเอ็นดูมากขึ้นเรื่อย ๆ
มู่ไป๋ไป่ถือโอกาสนี้กระโดดไปคว้าเจ้าส้มจากมือของผู้เป็นพ่อ
แล้วเธอก็กลิ้งตัวลงบนเตียงอย่างช่ำชอง เธอคว้าผ้าห่มมาม้วนตัวเองกับเจ้าส้มเอาไว้เหมือนซูชิ โดยเหลือเพียงหัวเล็ก ๆ ที่มีขนปุกปุยโผล่ออกมา
“...” มุมปากของมู่เทียนฉงกระตุก แล้วแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เจ้าช่างกล้าหาญยิ่งนัก เจ้ากล้าแย่งของไปจากมือเรางั้นรึ!”
มู่ไป๋ไป่กะพริบตาอย่างไร้เดียงสาขณะที่กล่าวว่า “ท่านพ่อ ท่านพูดผิดแล้ว เจ้าส้มไม่นับว่าเป็นสิ่งของ”
ดังนั้นการบอกว่าเธอแย่งของไปจากมือของเขานั้นมันไม่ถูกต้อง
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ?” เจ้าส้มที่ถูกโยนไปโยนมารู้สึกวิงเวียนศีรษะ ตอนนี้มันแทบจะขยับตัวไม่ได้ด้วยซ้ำจึงได้แต่ปล่อยให้เด็กน้อยรัดมันเอาไว้แน่น แล้วส่งเสียงร้องเบา ๆ ออกมา
“เหมียว”
“โอ๊ะ เจ้าส้ม ในเวลานี้เจ้าอย่าเพิ่งกังวลเรื่องนี้” มู่ไป๋ไป่กระซิบพูดปลอบใจแมวอ้วนในอ้อมแขน “ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว อากาศข้างนอกเริ่มเย็นลง เจ้าอยากถูกโยนออกไปข้างนอกหรืออย่างไร?”
“...” แมวส้มเงียบเสียงลงทันที
ตัวมันนั้นไม่กล้าคิดเลยจริง ๆ ว่าจะเป็นอย่างไรหากถูกโยนออกไปด้านนอก
“ไม่นับว่าเป็นสิ่งของหรือ?” มู่เทียนฉงที่เงียบไปสักพักจู่ ๆ ก็หัวเราะออกมา
เหตุการณ์นี้ทำให้อันกงกงซึ่งเฝ้าอยู่ด้านนอกประตูถึงขั้นต้องแอบมองเข้าไปข้างในห้องบรรทม
“มู่เทียนฉง เจ้ามันคนไร้หัวใจ!” เจ้าส้มตะโกนเสียงดัง
ยามที่ฮ่องเต้หนุ่มได้อยู่กับลูกสาวคนนี้ มันทำให้เขาลืมเรื่องราชกิจไปจนสิ้น
มู่ไป๋ไป่ยืนกรานที่จะเอาเจ้าส้มมานอนด้วย เขาจึงไม่สามารถโยนเจ้าแมวอ้วนตัวนี้ออกไปได้ ดังนั้นเขาจึงต้องเข้านอนหลังจากทำข้อตกลงกับเจ้าตัวเล็ก 3 ข้อ
ตัวของเด็กหญิงนั้นมีกลิ่นน้ำนมจาง ๆ ซึ่งทำให้กลิ่นอายที่เย็นชาในตำหนักเจือจางลง
เขามองลูกสาวที่ห่อผ้าห่มเหมือนดักแด้ และกำลังนอนอยู่ข้างกายตน
ในขณะที่เธอกำลังจะหลับ เธอก็กระชับกอดเจ้าส้ม ในไม่ช้าคนตัวเล็กก็เริ่มกรนเบา ๆ โดยที่ในใจของเธอดูเหมือนจะลืมเลือนผู้เป็นพ่อไป
มู่เทียนฉงเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะเอื้อมมือไปเขกหัวสีส้มขนาดใหญ่ที่มู่ไป๋ไป่กอดเอาไว้แน่น
ฝ่ายที่ถูกทำร้ายส่งเสียงร้องด้วยความรู้สึกไม่สบายตัวพลางลืมตาขึ้น
สิ่งแรกที่มันเห็นคือชายหนุ่มจ้องมันด้วยสายตาเย็นชา
“เจ้ามนุษย์นี่ไม่ยอมหลับยอมนอนเพื่อประทุษร้ายข้างั้นรึ?”
หลังจากส่งเสียงประท้วง เจ้าแมวส้มก็มุดหัวเข้าไปในผ้าห่ม
มู่เทียนฉงที่เห็นดังนั้นก็พูดไม่ออก เพราะเขาเป็นคนเดียวในตำหนักแห่งนี้ที่หลับไม่ลง
…
วันรุ่งขึ้น
ก่อนรุ่งสาง มู่ไป๋ไป่แอบลุกขึ้นจากเตียง ด้วยความที่กลัวว่าท่านพี่รัชทายาทจะยืนรออยู่ที่ตำหนักอิ๋งชุนนาน เธอจึงรีบวิ่งกลับไปที่ตำหนักอิ๋งชุนแต่เช้าตรู่
ทางด้านเจ้าส้มหันไปมองชายผู้เฉยเมยที่นอนอยู่ด้านข้าง และจมลงสู่ความคิดของตัวเอง
ในเมื่อมู่ไป๋ไป่ไม่ได้อยู่ที่นี่ ดังนั้นมันจึงไม่กล้านอนอยู่ในตำหนักฮ่องเต้ต่อไป
อีกทั้งมันไม่ได้อยากไปที่ศาลาหมิงหลี่เพื่อฟังเสียงบรรยายของอาจารย์เสิ่นเช่นกัน
มันจึงกระโดดตรงไปที่กำแพงวังในตอนที่ไม่มีใครอยู่ใกล้ ๆ เพื่อเตรียมหาที่จะนอนต่อ
แมวส้มเดินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งผู้คนรอบตัวลดน้อยลง
เมื่อมันเห็นว่าบริเวณโดยรอบเงียบสงบมีเพียงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง มันจึงตั้งท่าเตรียมจะปีนขึ้นไป
แต่แล้วจู่ ๆ หูของมันก็ได้ยินเสียงแปลกประหลาดดังขึ้น
เจ้าส้มคิดว่าสิ่งนี้ฟังดูคุ้นเคยมาก มันเงี่ยหูฟังอยู่สักพัก แต่มันก็จำไม่ได้สักทีว่าเคยได้ยินมาจากไหน
บัดนี้ความอยากรู้อยากเห็นของมันถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง มันจึงละทิ้งต้นไม้ใหญ่ที่เงียบสงบตรงหน้า จากนั้นก็ปีนข้ามกำแพงวัง แล้วเดินไปตามต้นเสียงนั้น
หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าส้มก็พบห้องที่มีเสียงดังออกมา มันหมอบอยู่บนขอบหน้าต่างก่อนจะโผล่หัวครึ่งหนึ่งเข้าไปในห้อง
ภายในห้อง บนเตียงที่มีม่านแขวนระโยงระยาง มีร่าง 2 ร่างที่ร่างหนึ่งเป็นสีน้ำตาล ส่วนร่างหนึ่งเป็นสีขาวกำลังประกบกันแน่นกลิ้งไปมาอย่างรุนแรง แล้วคนที่ส่งเสียงก็คือผู้หญิงที่ถูกกดทับอยู่ด้านใต้
ลี่เฟย?
เจ้าส้มเบิกตากว้าง
นะ นะ นาง… อีกแล้ว!
เหมือนตอนที่มันโดนตีวันนั้น!
สตรีนางนั้นส่งเสียงร้องน่าสงสารมาก นางคงจะถูกทุบตีอย่างหนัก
ในไม่ช้า นัยน์ตาแนวตั้งของแมวก็ค่อย ๆ ขยายออกจนเปลี่ยนเป็นวงกลม
ก่อนหน้านี้ลี่เฟยทำร้ายคนไม่เลือกหน้า วันนี้นางกลับถูกลงโทษเสียเอง แค่ฟังเสียงร้องของนางก็บอกได้ว่านางถูกตีหนักเพียงใด
นั่นทำให้เจ้าส้มรู้สึกมีความสุขมาก
มันรู้สึกว่าคงจะสูญเปล่าหากมันไม่แบ่งปันเรื่องราวดี ๆ เช่นนี้กับมู่ไป๋ไป่ ดังนั้นมันจึงเลิกสนใจหาที่นอนแล้วมุ่งหน้าไปยังศาลาหมิงหลี่ทันที
“ฮือออ เมื่อคืนข้าง่วงจนลืมขออนุญาตท่านพ่อเรื่องสหายร่วมเรียนไปเลย” เด็กหญิงนั่งพิงโต๊ะพลางบ่นพึมพำ ส่วนข้าง ๆ เธอคือมู่จวินฝานที่กำลังเขียนร่างนโยบายการปกครองแคว้น
ในตอนที่คนตัวเล็กมาถึงเช้านี้ เด็กหนุ่มก็ขยับตำแหน่งของเธอให้มาอยู่ข้างกายเขา และคอยดูแลเธอในชั้นเรียนตลอด
อย่างไรก็ตาม มู่ไป๋ไป่ก็ยังคงฟุ้งซ่านคิดไปต่าง ๆ นานา
เธอรู้ว่ามู่จวินฝานเป็นคนแบบเดียวกับมู่เทียนฉง เขาเป็นคนที่ภายนอกแข็งกร้าวแต่ภายในจิตใจนั้นอ่อนโยนจนไม่กล้าทำอะไรกับเธอ
“องค์หญิงหกมีสหายร่วมเรียนแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เจียงจื่อซิวที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งรู้สึกว่าตนถูกองค์รัชทายาทละเลย เมื่อเขาเห็นโอกาสที่จะขัดจังหวะ เขาก็เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้
รูปร่างหน้าตาของเด็กหนุ่มนั้นใช้คำว่างดงามน่าจะเหมาะกว่าหล่อเหลา ประกอบกับริมฝีปากสีแดงธรรมชาติที่เรียวบาง ทำให้เขายิ่งดูเหมือนเด็กผู้หญิงยามที่อยู่เงียบ ๆ
ในช่วง 2-3 วันแรกหลังจากมู่ไป๋ไป่มาเรียน เธอก็จ้องมองเขาอยู่บ่อย ๆ เพราะสงสัยว่ามีผู้ชายที่สวยกว่าผู้หญิงอยู่บนโลกนี้ด้วยหรือ
แต่พอเธอมองหน้าตาของเขาเป็นเวลานาน เธอก็ยังรู้สึกว่ามู่จวินฝานดูน่าสนใจมากกว่า
“ใช่แล้ว” มู่ไป๋ไป่พยักหน้าขณะที่ยังคงนั่งเท้าคาง
เมื่อเด็กหญิงเห็นพี่ชายกำลังใช้พู่กันจุ่มหมึก เธอก็เอื้อมมือออกไปดันแท่นหินให้ขยับเข้าไปใกล้มือของอีกคนมากขึ้น
มู่จวินฝานที่เห็นดังนั้นก็รู้สึกอบอุ่นในใจ ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือมาสัมผัสหัวน้อย ๆ “เด็กดี”
มู่ไป๋ไป่ก็ทำตัวเป็นเหมือนลูกแมวที่ได้รับรางวัล เธอยิ้มกว้างจนตาแทบปิดให้กับผู้เป็นพี่ชาย
พอเจียงจื่อซิวเห็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างพี่ชายกับน้องสาว เขาก็กัดริมฝีปากด้วยความรู้สึกอิจฉา
ก่อนที่มู่ไป๋ไป่จะมาที่นี่ ตอนที่องค์รัชทายาทอยู่กับเขาเพียงลำพัง แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ค่อยกระตือรือร้นเกี่ยวกับตัวเขามาก แต่เจ้าตัวก็ยังพูดคุยเกี่ยวกับบทกวีและประวัติศาสตร์กับเขา
แล้วเด็กหนุ่มก็คิดว่าตัวเองเป็นคนสนิทของมู่จวินฝานที่สุดในวังหลวงแห่งนี้
ทว่าทุกอย่างก็ได้เปลี่ยนไปหลังจากที่องค์หญิงหกเข้ามา
เจียงจื่อซิวหรี่ตาลงเพื่อซ่อนความรู้สึกในดวงตาของตัวเองและชวนมู่ไป๋ไป่พูดคุยต่อ “หากองค์หญิงหกมีสหายร่วมเรียนที่หมายตาเอาไว้ พระองค์ก็สามารถขออนุญาตอาจารย์เสิ่นได้โดยตรง”
“ฝ่าบาททรงมีรับสั่งเอาไว้แล้วว่าทุกเรื่องในศาลาหมิงหลี่สามารถให้อาจารย์เสิ่นตัดสินใจได้”
“ในเมื่อองค์หญิงกำลังจะมีสหายร่วมเรียน เช่นนั้นเราก็จะได้เข้าเรียนด้วยกัน จากนี้ต่อไปศาลาหมิงหลี่ของเราคงจะครึกครื้นน่าดู”
คราวนี้ในที่สุดเด็กหญิงก็หันไปมองเด็กหนุ่ม “จริงหรือ?”
“พ่ะย่ะค่ะ” เจียงจื่อซิวแอบเหลือบมองมู่จวินฝานและเห็นว่าเขาไม่มีข้อโต้แย้งอันใด
นอกจากนี้เขายังช่วยพูดเสริมเกี่ยวกับกฎของศาลาหมิงหลี่ด้วย “เป็นเรื่องจริงที่จะต้องขออนุญาตอาจารย์เสิ่นก่อนที่จะเข้ามาเรียนในศาลาหมิงหลี่”
อาจารย์เสิ่นยุ่งกับงานในราชสำนักและยังต้องรับหน้าที่สำคัญในการสอนหนังสือองค์รัชทายาท หากมีลูกศิษย์มากเกินไป เขาคงไม่สามารถดูแลได้อย่างทั่วถึงแน่นอน
“ถ้าอย่างนั้น ข้าจะไปขออนุญาตอาจารย์เสิ่น” มู่ไป๋ไป่พูดในขณะที่เตรียมตัวจะไปหาผู้เป็นอาจารย์ เธอแย่งถ้วยชาจากมือของมู่จวินฝานมา ก่อนจะวิ่งไปหาอาจารย์อย่างมีความสุข
“...” เด็กหนุ่มที่เห็นดังนั้นก็รีบดึงคนตัวเล็กกลับมาอยู่ข้าง ๆ
“หากมีเรื่องจะร้องขอ เจ้าไปเอาชาถ้วยใหม่เถอะ”
เด็กน้อยคนนี้โง่เขลามากจริง ๆ เขาไม่อาจละสายตาจากนางไปได้เลย เพราะไม่รู้ว่านางจะเผลอไปทำอะไรบ้า ๆ เข้าบ้าง
ทางด้านมู่ไป๋ไป่อยากจะบอกว่ามันไม่สำคัญเลย เธอไม่เชื่อหรอกว่าอาจารย์เสิ่นจะรู้ว่าพี่ชายของเธอดื่มชาถ้วยนี้ไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เธอจะทันได้โต้แย้งอะไร มู่จวินฝานก็สั่งให้คนชงชาอีกถ้วย
สุดท้ายเขาก็ไม่ไว้ใจให้เจ้าเด็กน้อยถือถ้วยชาไปตามลำพัง เขาจึงวางพู่กันลงและไปกับนางด้วย
อาจารย์เสิ่นเป็นคนมีเหตุผล พอรู้ประสบการณ์ชีวิตของหลัวเซียวเซียว เขาก็รู้สึกสงสารนาง เขาจึงตอบรับและสัญญาว่าจะรายงานเรื่องนี้ให้กับฝ่าบาทในวันพรุ่งนี้
ไม่ว่ามู่เทียนฉงจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม ปัจจุบันสหายตัวน้อยของมู่ไป๋ไป่ก็ถือว่าเป็นลูกศิษย์ของศาลาหมิงหลี่แล้ว
เด็กหญิงรู้สึกมีความสุขมากหลังจากจัดการสิ่งที่ติดค้างในใจสำเร็จ
เธอเดินสลับกระโดดกลับไปตามทาง โดยมู่จวินฝานที่อยู่ด้านข้างก็คอยเฝ้าระวังตลอดเวลา และดึงแขนเธอไว้ทันเวลาทุกครั้งที่เธอตั้งท่าจะล้ม
“มู่ไป๋ไป่! ได้เวลาชมละครแล้ว!”
ระหว่างที่มู่ไป๋ไป่กำลังกระโดดโลดเต้นอย่างสนุกสนาน เสียงของเจ้าส้มก็ดังมาจากบนหลังคา
“ลี่เฟยถูกทำร้ายอีกแล้ว นางกรีดร้องดังสุด ๆ ไปเลย รีบไปเร็วเข้า หากช้ากว่านี้จะไม่ได้เห็นนางในสภาพนั้นแล้ว”