บทที่ 18 ตะปูทะลวงวิญญาณ ธูปสงบจิต
ความสัมพันธ์ระหว่างหลัวเฉินและหวังหยวนจริง ๆ แล้วไม่ได้ซับซ้อนนัก
เมื่อหลายปีก่อน ทั้งคู่ต่างก็เป็นนักพรตอิสระที่เข้ามาในต้าหอฝางในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน
แต่แตกต่างจากหลัวเฉินที่มีพลังเพียงขั้นฝึกพลังลมปราณชั้นที่หนึ่ง หวังหยวนเดิมทีเป็นมหาปรมาจารย์ทางยุทธในโลกมนุษย์ ที่ด้วยวาสนาอันบังเอิญจึงหันเข้าสู่เส้นทางเซียน
ดังนั้น ในตอนที่เขาเข้ามายังต้าหอฝาง หวังหยวนจึงได้แสดงพลังอันโดดเด่นของตนออกมา
เขากล้าร่วมทีมล่าอสูรและเข้าไปในภูเขาเพื่อล่าอสูรระดับต่ำ
ในเวลานั้น หลัวเฉินยังไม่แข็งแกร่งมากนัก แต่เพื่อความอยู่รอด เขาจึงตามพวกเขาไปและช่วยทำงานจิปาถะ เช่น ขนย้ายของต่าง ๆ
ในตอนนั้น เพราะนิสัยและประสบการณ์ของเขา ทำให้หวังหยวนแตกต่างจากนักพรตอิสระคนอื่น ๆ ที่รอบคอบระมัดระวังมาก แต่หวังหยวนเขาเป็นคนทำอะไรตรงไปตรงมาและมีอำนาจบารมีเหมือนมหาปรมาจารย์ทางยุทธ
แต่ลักษณะเช่นนี้ ในต้าหอฝางกลับนำพาเคราะห์ร้ายมาสู่เขา
ในตอนนั้น นักพรตอิสระขั้นกลางหลายคนร่วมมือกันปล้นเขา พวกมันแย่งชิงทรัพย์สินทุกอย่างบนตัวเขาไปจนหมดและยังทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสอีกด้วย
หลังจากหวังหยวนรักษาตัวจนหายดี นิสัยของเขาก็เปลี่ยนไป
เพื่อเตรียมทรัพยากรในการฝึกตน เขาจึงตัดสินใจกลับเข้าไปในภูเขาอีกครั้ง
เพื่อนสนิทบางคนก็ให้เขายืมของใช้บางอย่าง ในตอนนั้นหลัวเฉินเริ่มสามารถปรุงยาพิ่กู่ซ่านได้แล้ว จึงให้เขายืมยาพิ่กู่ซ่านไปหลายขวด
ในป่าลึกของเทือกเขาตะวันออกอันกว้างใหญ่ เต็มไปด้วยสัตว์อสูรมากมาย
ผู้ฝึกตนที่เข้าไปในป่า ส่วนใหญ่จะไม่กล้าจุดไฟทำอาหาร ดังนั้นยาพิ่กู่ซ่านจึงมีความจำเป็นอย่างมาก
ครั้งนั้นหวังหยวนเดินทางเข้าไปในเทือกเขากู่หยวนเพียงลำพัง
หนึ่งเดือนต่อมา เขากลับออกมาพร้อมกับซากศพของสัตว์อสูรขั้นหนึ่ง
หลังจากนั้นไม่นาน ผู้ฝึกตนที่เคยปล้นหวังหยวนก็เริ่มเสียชีวิตลงทีละคน ๆ ทุกคนต่างรู้ดีว่าเป็นเพราะหวังหยวนแอบลงมือแก้แค้นในเงามืด
แต่ไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องเขา เพราะหวังหยวนได้เข้าร่วมพรรคผัวซานแล้ว
พรรคผัวซานถือเป็นหนึ่งในกลุ่มอิทธิพลที่ทรงพลังที่สุดของเหล่านักพรตอิสระในพื้นที่ ด้วยชื่อเสียงที่สะสมมาและความโหดเหี้ยมของหวังหยวน ทำให้เขาสามารถสร้างฐานที่มั่นคงในเขตนอกเมืองได้อย่างไม่มีใครกล้ามารบกวน
โดยเฉพาะหลังจากนั้น หวังหยวนเริ่มนำอาวุธและคัมภีร์ต่าง ๆ ออกมาขายอยู่บ่อยครั้งในตลาด
สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นของที่ไม่มีที่มาอย่างไม่ชัดเจน เมื่อนึกถึงข่าวลือในอดีตของหวังหยวน ทุกคนจึงยิ่งหวาดกลัวเขามากขึ้นไปอีก
กล่าวไปแล้วก็ให้รู้สึกขมขื่นไม่น้อย หลัวเฉินและหวังหยวนเข้ามาในต้าหอฝางในเวลาใกล้เคียงกัน
สิบปีผ่านไป
หลัวเฉินพอจะมีพลังขั้นฝึกพลังลมปราณชั้นที่สาม ขณะที่หวังหยวนกลับมีพลังถึงขั้นฝึกพลังลมปราณชั้นที่เจ็ดในฐานะนักพรตอิสระผู้แข็งแกร่ง
ต้องบอกว่าความแตกต่างระหว่างคนเรานั้นยิ่งใหญ่กว่าระหว่างคนกับสุนัขเสียอีก
“เขาให้ข้าเข้าร่วมพรรคผัวซาน และบอกว่าจะคุ้มครองข้าด้วย การกระทำกะทันหันเช่นนี้ เขาทำไปเพื่ออะไรกัน?”
หลังจากจัดเรียงสมุนไพรเรียบร้อย หลัวเฉินนั่งลงตรงประตู หยิบตราเหล็กที่สลักคำว่า “ภูเขา” ขึ้นมาเล่นในมือ
“เพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีตหรือ?”
“หรือเพราะข้าสามารถฆ่าผู้ฝึกตนระดับลมปราณชั้นที่ห้าคนนั้นได้?”
หลัวเฉินไม่อาจรู้ได้ ทำได้เพียงเก็บตราเหล็กนี้ไว้อย่างทะนุถนอม
วันเวลาหลังจากนี้จึงกลายเป็นเรื่องซ้ำซากจำเจ
จัดการวัตถุดิบต่าง ๆ ฝึกวิชาฝึกพลังลมปราณอายุวัฒนะ และรักษาบาดแผล
เป็นเช่นนี้เรื่อยมา จนกระทั่งเก้าวันผ่านไป แผลที่ท้องของหลัวเฉินจึงหายดี
ตามแผนเดิม วันพรุ่งนี้เขาก็จะสามารถเริ่มปรุงยาจงเหมี่ยวได้อย่างจริงจังแล้ว
แต่ในตอนนี้ ความสนใจของหลัวเฉินกลับไปอยู่ที่สิ่งอื่นแทน
“ตะปูทะลวงวิญญาณนี่เป็นอาวุธระดับสูงชั้นเยี่ยมงั้นหรือ!”
ในมือของเขามีตะปูยาวสีดำทึบคู่หนึ่ง ปลายแหลมคม ส่วนท้ายหนักทื่อ
ตะปูยาวสองเล่มนี้ มีกลิ่นคาวเลือดที่รุนแรงลอยออกมา สีแดงเลือดอ่อน ๆ แทรกอยู่ท่ามกลางสีดำทึบ ดูน่าหวาดหวั่น
เขาใส่พลังลมปราณเข้าไปเรื่อย ๆ จนตะปูทะลวงวิญญาณสั่นฮึ่ม ๆ แล้วพุ่งออกไปในทันที
ฉัวะ!
ตะปูทะลวงวิญญาณพุ่งทะยานด้วยความเร็วสูง ปักเข้าไปในก้อนหินใหญ่หน้าลานบ้านจนลึกไม่เห็นปลาย
“ช่างคมยิ่งนัก!”
“ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ข้างบนของตะปูน่าจะถูกบันทึกไว้ด้วยค่ายกลเจาะเกราะ!”
อาวุธเวทมีระดับความหายาก แบ่งเป็นระดับล่าง กลาง และสูง
การตัดสินระดับของอาวุธนั้นขึ้นอยู่กับจำนวนและคุณภาพของค่ายกลที่จารึกไว้
ในตะปูทะลวงวิญญาณคู่นี้ถูกบันทึกไว้เพียงค่ายกลเดียว แต่ค่ายกลเจาะเกราะนั้นเป็นค่ายกลขั้นที่สอง ดังนั้นพลังของมันจึงรุนแรงมาก
“ไม่แปลกใจเลยที่ตอนนั้นข้าไม่ทันได้ตอบโต้ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส”
“ตามคำพูดก่อนตายของเจ้านั่น แม้แต่หวังหยวนก็ยังป้องกันไม่ได้ แสดงว่าความสามารถในการเจาะเกราะของมันถึงระดับสุดยอดของอาวุธเวทเลยทีเดียว”
หวังหยวนไม่ใช่ผู้ฝึกตนธรรมดา ก่อนเข้าสู่เส้นทางเซียน เขาเป็นถึงมหาปรมาจารย์ทางยุทธในโลกมนุษย์
หลังจากเข้ามาในเส้นทางการฝึกตน เขาก็ฆ่าคนและสัตว์อสูรนับไม่ถ้วน
พลังขั้นสูง ความสามารถในการต่อสู้แข็งแกร่ง
ที่เจ้านั่นสามารถทำให้หวังหยวนบาดเจ็บได้ ทั้งที่มีพลังเพียงขั้นฝึกพลังลมปราณชั้นที่ห้า ถ้าเช่นนั้นตะปูทะลวงวิญญาณนี้ก็มีส่วนสำคัญมากทีเดียว
“แต่มันก็มีข้อเสียที่ชัดเจนมากเช่นกัน”
“แค่ปล่อยตะปูทะลวงวิญญาณออกไปหนึ่งเล่ม ก็เล่นเอาพลังลมปราณของข้าหมดไปครึ่งหนึ่ง ถ้าข้าปล่อยออกไปพร้อมกันสองเล่ม พลังลมปราณของข้าคงหมดเกลี้ยงในทันทีเลยสินะ?”
“และอีกอย่าง!”
หลัวเฉินลองใส่พลังลมปราณเข้าไปอีกครั้ง แต่ตะปูทะลวงวิญญาณที่อยู่ในก้อนหินนั้นกลับไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย
พุ่งไปแล้วกลับมาไม่ได้!
ข้อดีและข้อเสียของอาวุธเวทระดับสูงชิ้นนี้ มันชัดเจนมากเกินไป
ความสามารถในการเจาะเกราะนั้นเรียกได้ว่าไร้เทียมทาน
แต่การใช้พลังลมปราณก็เปลืองมาก แถมยังไม่สามารถควบคุมให้กลับมาได้ พอปล่อยออกไปแล้ว ก็เรียกกลับคืนด้วยพลังลมปราณไม่ได้เลย
เพียงแต่วัสดุที่ใช้สร้างมันมีความแข็งแกร่งมากพอ ไม่พังง่าย ๆ ไม่เช่นนั้นมันก็ไม่ต่างอะไรจากอาวุธใช้ครั้งเดียวทิ้งไป
บางทีอาจจะเพราะเหตุผลนี้เอง ที่แม้จะจารึกค่ายกลขั้นที่สองไว้ แต่มันก็ยังเป็นได้เพียงแค่อาวุธเวทระดับสูงเท่านั้น และไม่อาจกลายเป็นอาวุธระดับสุดยอดในตำนานได้
หลัวเฉินค่อย ๆ แกะหินออกจนสามารถนำตะปูทะลวงวิญญาณกลับมาได้ ก่อนจะเก็บมันใส่ถุงเก็บของด้วยความพึงพอใจ
“ข้อเสียเรื่องที่ไม่สามารถเรียกกลับมาได้ สำหรับข้าถือว่าไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่ เพราะข้าเองก็ไม่เคยฝึกคาถาควบคุมเรียกอาวุธกลับมาอยู่แล้ว”
“เมื่อเทียบกับกระบี่คุณภาพต่ำที่เป็นสนิมเล่มเก่า ๆ นั่น นี่มันไม่ต่างอะไรจากการเปลี่ยนจากปืนเก่าไปเป็นปืนกลเลย!”
หลังจากรู้สึกพอใจ หลัวเฉินจึงกลับเข้ามาในบ้าน และจุดธูปสงบจิตขึ้นหนึ่งแท่ง
กลิ่นหอมรัญจวนคล้ายกลิ่นกล้วยไม้และชะมดแมลงภู่นั้น ค่อย ๆ ทำให้จิตวิญญาณที่ว้าวุ่นของเขาสงบลง
ความรู้สึกสบายจากจิตวิญญาณลึก ๆ เกือบทำให้เขาหลุดเสียงครางออกมา
แต่หลัวเฉินไม่มีเวลามาเพลิดเพลินกับสิ่งนี้ เขารีบใช้ช่วงเวลานี้ในการฝึกวิชาอายุวัฒนะ
หนึ่งวันต่อหนึ่งแท่งธูปสงบจิต ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้ฝึกตนสามารถฝึกวิชาประจำตัวของตนได้มากขึ้นถึงห้าครั้งจากที่เคยทำได้
จากเดิมที่หลัวเฉินฝึกวิชาได้เพียงสองหรือสามครั้ง ตอนนี้เขาสามารถฝึกวิชาอายุวัฒนะได้มากถึงแปดครั้ง!
การฝึกได้แปดครั้งนั้นหมายความว่าอย่างไร?
ครั้งหนึ่งเขาสามารถฟื้นฟูพลังลมปราณได้ถึงสองส่วน แปดครั้งก็เท่ากับสิบหกส่วน สามารถปล่อยคาถาลูกไฟออกได้ถึงสามสิบสองลูกทีเดียว
พูดได้ว่าธูปสงบจิตนั้น ในบรรดาทรัพย์สินที่เขาได้มาครั้งนี้ มีมูลค่าเป็นรองเพียงแค่ถุงเก็บของและตะปูทะลวงวิญญาณเท่านั้น
มีมูลค่าสูงกว่าเสื้อคลุมคุณภาพต่ำ ขวดยาเสริมลมปราณ และของอื่น ๆ ทั้งหมด
เพราะธูปสงบจิตหนึ่งกล่องนี้ สามารถช่วยให้เขาฝึกตนได้มากขึ้น เพิ่มความชำนาญในวิชาอายุวัฒนะ และยังช่วยเพิ่มความชำนาญในทักษะอื่น ๆ ได้อีกด้วย
“ถ้ามีเงินในอนาคต ข้าจะไม่เพียงซื้อบ้าน แต่จะซื้อธูปสงบจิตให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้!”
หลังจากฝึกวิชาจนเสร็จเรียบร้อย เขาสัมผัสได้ว่าพลังลมปราณที่หมดไปกว่าครึ่งตอนที่ใช้ตะปูทะลวงวิญญาณ ฟื้นฟูกลับมาได้ประมาณครึ่งหนึ่งแล้ว หลัวเฉินจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
หลังจากพักหายใจหายคอแล้ว เขาใช้ประโยชน์จากกลิ่นหอมของธูปสงบจิต ทำให้จิตใจสงบและมีสมาธิ เขาจึงย้อนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อสิบวันก่อนอีกครั้ง
นับได้ว่า สิบวันที่ผ่านมา เขาคิดถึงเรื่องนั้นเกือบตลอดเวลา
แม้กระทั่งตอนหลับฝัน เขาก็ยังเห็นภาพเหตุการณ์นั้นซ้ำไปซ้ำมา
นั่นเป็นครั้งแรกตั้งแต่เขาเข้ามาในโลกนี้ ที่ได้เผชิญหน้ากับความตายอย่างใกล้ชิดขนาดนั้น!
การนึกย้อนไปมาซ้ำ ๆ ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เป็นเพราะเขาต้องการจดจำสถานการณ์ในตอนนั้น เพื่อป้องกันเหตุการณ์แบบนั้นที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต
ด้วยความช่วยเหลือของธูปสงบจิต หลัวเฉินก็ตระหนักได้ว่า ในการต่อสู้นั้นเขาสามารถจัดการได้ดีกว่านี้
ตะปูทะลวงวิญญาณมีความเร็วสูง แต่เขาได้ฝึกวิชายอดฝีเท้ามาร (วิชาตัวเบาเซียวเหยาโยว) มาตั้งนาน ควรจะหลบหลีกได้บ้าง
ต่อให้หลบไม่ได้ทั้งหมด ก็ไม่น่าจะบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ นี่เกือบจะตายอยู่ตรงนั้น
และอีกอย่าง ตอนนั้นศัตรูอยู่ในสภาพที่แย่มาก ถ้าเขาชิงลงมือก่อนล่ะ?
จะสามารถทำให้ศัตรูตั้งรับไม่ทันได้ไหม?
ต้องชิงลงมือก่อน ใครช้าคนนั้นตาย สุดท้ายเขาก็ยังลังเลและคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไป
แม้แต่ในตอนที่ต่อสู้กันตรง ๆ เขาก็ยังมีข้อผิดพลาดอยู่มาก
ตอนนั้นลูกไฟลูกที่สามก็สามารถทำลายเกราะป้องกันของศัตรูได้แล้ว ต่อไปอัดอีกสักสองลูกก็น่าจะพอ
แต่เขากลับตื่นเต้นจนเผลอใช้พลังลมปราณทั้งหมด ยิงลูกไฟออกไปจนหมด
จนทำให้หลังจากนั้น เขาไม่เหลือพลังลมปราณแม้แต่นิดเดียวที่จะใช้ต่อสู้ต่อได้
ก็โชคดีที่หวังหยวนมาช่วยพอดี
แต่ถ้าเกิดตอนนั้นเขาเจอคนอื่นแทนล่ะ?
คนอื่นเหล่านั้นจะรู้จักเขาหรือและจะยอมปล่อยเขาไปเหมือนหวังหยวนไหม?
เฮอะ! ต่อให้เป็นคนรู้จักกัน ก็ใช่ว่าจะอดใจไม่ลงมือได้หรอก!
สมบัติของผู้ฝึกตนระดับฝึกพลังลมปราณสองคน ถือว่าเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าไม่น้อยทีเดียว
“ประสบการณ์การต่อสู้ของข้า มันน้อยเกินไปจริง ๆ!”
จบบท