ตอนที่แล้วบทที่ 17 ทรัพย์ลาภฟ้าประทาน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 19 ป้อมปืนเคลื่อนที่ไร้ปรานี

บทที่ 18 ตะปูทะลวงวิญญาณ ธูปสงบจิต


ความสัมพันธ์ระหว่างหลัวเฉินและหวังหยวนจริง ๆ แล้วไม่ได้ซับซ้อนนัก

  เมื่อหลายปีก่อน ทั้งคู่ต่างก็เป็นนักพรตอิสระที่เข้ามาในต้าหอฝางในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน

  แต่แตกต่างจากหลัวเฉินที่มีพลังเพียงขั้นฝึกพลังลมปราณชั้นที่หนึ่ง หวังหยวนเดิมทีเป็นมหาปรมาจารย์ทางยุทธในโลกมนุษย์ ที่ด้วยวาสนาอันบังเอิญจึงหันเข้าสู่เส้นทางเซียน

  ดังนั้น ในตอนที่เขาเข้ามายังต้าหอฝาง หวังหยวนจึงได้แสดงพลังอันโดดเด่นของตนออกมา

  เขากล้าร่วมทีมล่าอสูรและเข้าไปในภูเขาเพื่อล่าอสูรระดับต่ำ

  ในเวลานั้น หลัวเฉินยังไม่แข็งแกร่งมากนัก แต่เพื่อความอยู่รอด เขาจึงตามพวกเขาไปและช่วยทำงานจิปาถะ เช่น ขนย้ายของต่าง ๆ

  ในตอนนั้น เพราะนิสัยและประสบการณ์ของเขา ทำให้หวังหยวนแตกต่างจากนักพรตอิสระคนอื่น ๆ ที่รอบคอบระมัดระวังมาก แต่หวังหยวนเขาเป็นคนทำอะไรตรงไปตรงมาและมีอำนาจบารมีเหมือนมหาปรมาจารย์ทางยุทธ

  แต่ลักษณะเช่นนี้ ในต้าหอฝางกลับนำพาเคราะห์ร้ายมาสู่เขา

  ในตอนนั้น นักพรตอิสระขั้นกลางหลายคนร่วมมือกันปล้นเขา พวกมันแย่งชิงทรัพย์สินทุกอย่างบนตัวเขาไปจนหมดและยังทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสอีกด้วย

  หลังจากหวังหยวนรักษาตัวจนหายดี นิสัยของเขาก็เปลี่ยนไป

  เพื่อเตรียมทรัพยากรในการฝึกตน เขาจึงตัดสินใจกลับเข้าไปในภูเขาอีกครั้ง

  เพื่อนสนิทบางคนก็ให้เขายืมของใช้บางอย่าง ในตอนนั้นหลัวเฉินเริ่มสามารถปรุงยาพิ่กู่ซ่านได้แล้ว จึงให้เขายืมยาพิ่กู่ซ่านไปหลายขวด

  ในป่าลึกของเทือกเขาตะวันออกอันกว้างใหญ่ เต็มไปด้วยสัตว์อสูรมากมาย

  ผู้ฝึกตนที่เข้าไปในป่า ส่วนใหญ่จะไม่กล้าจุดไฟทำอาหาร ดังนั้นยาพิ่กู่ซ่านจึงมีความจำเป็นอย่างมาก

  ครั้งนั้นหวังหยวนเดินทางเข้าไปในเทือกเขากู่หยวนเพียงลำพัง

  หนึ่งเดือนต่อมา เขากลับออกมาพร้อมกับซากศพของสัตว์อสูรขั้นหนึ่ง

  หลังจากนั้นไม่นาน ผู้ฝึกตนที่เคยปล้นหวังหยวนก็เริ่มเสียชีวิตลงทีละคน ๆ ทุกคนต่างรู้ดีว่าเป็นเพราะหวังหยวนแอบลงมือแก้แค้นในเงามืด

  แต่ไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องเขา เพราะหวังหยวนได้เข้าร่วมพรรคผัวซานแล้ว

  พรรคผัวซานถือเป็นหนึ่งในกลุ่มอิทธิพลที่ทรงพลังที่สุดของเหล่านักพรตอิสระในพื้นที่ ด้วยชื่อเสียงที่สะสมมาและความโหดเหี้ยมของหวังหยวน ทำให้เขาสามารถสร้างฐานที่มั่นคงในเขตนอกเมืองได้อย่างไม่มีใครกล้ามารบกวน

  โดยเฉพาะหลังจากนั้น หวังหยวนเริ่มนำอาวุธและคัมภีร์ต่าง ๆ ออกมาขายอยู่บ่อยครั้งในตลาด

  สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นของที่ไม่มีที่มาอย่างไม่ชัดเจน เมื่อนึกถึงข่าวลือในอดีตของหวังหยวน ทุกคนจึงยิ่งหวาดกลัวเขามากขึ้นไปอีก

  กล่าวไปแล้วก็ให้รู้สึกขมขื่นไม่น้อย หลัวเฉินและหวังหยวนเข้ามาในต้าหอฝางในเวลาใกล้เคียงกัน

สิบปีผ่านไป

  หลัวเฉินพอจะมีพลังขั้นฝึกพลังลมปราณชั้นที่สาม ขณะที่หวังหยวนกลับมีพลังถึงขั้นฝึกพลังลมปราณชั้นที่เจ็ดในฐานะนักพรตอิสระผู้แข็งแกร่ง

  ต้องบอกว่าความแตกต่างระหว่างคนเรานั้นยิ่งใหญ่กว่าระหว่างคนกับสุนัขเสียอีก

  “เขาให้ข้าเข้าร่วมพรรคผัวซาน และบอกว่าจะคุ้มครองข้าด้วย การกระทำกะทันหันเช่นนี้ เขาทำไปเพื่ออะไรกัน?”

  หลังจากจัดเรียงสมุนไพรเรียบร้อย หลัวเฉินนั่งลงตรงประตู หยิบตราเหล็กที่สลักคำว่า “ภูเขา” ขึ้นมาเล่นในมือ

  “เพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีตหรือ?”

  “หรือเพราะข้าสามารถฆ่าผู้ฝึกตนระดับลมปราณชั้นที่ห้าคนนั้นได้?”

  หลัวเฉินไม่อาจรู้ได้ ทำได้เพียงเก็บตราเหล็กนี้ไว้อย่างทะนุถนอม

  วันเวลาหลังจากนี้จึงกลายเป็นเรื่องซ้ำซากจำเจ

  จัดการวัตถุดิบต่าง ๆ ฝึกวิชาฝึกพลังลมปราณอายุวัฒนะ และรักษาบาดแผล

  เป็นเช่นนี้เรื่อยมา จนกระทั่งเก้าวันผ่านไป แผลที่ท้องของหลัวเฉินจึงหายดี

  ตามแผนเดิม วันพรุ่งนี้เขาก็จะสามารถเริ่มปรุงยาจงเหมี่ยวได้อย่างจริงจังแล้ว

  แต่ในตอนนี้ ความสนใจของหลัวเฉินกลับไปอยู่ที่สิ่งอื่นแทน

  “ตะปูทะลวงวิญญาณนี่เป็นอาวุธระดับสูงชั้นเยี่ยมงั้นหรือ!”

  ในมือของเขามีตะปูยาวสีดำทึบคู่หนึ่ง ปลายแหลมคม ส่วนท้ายหนักทื่อ

  ตะปูยาวสองเล่มนี้ มีกลิ่นคาวเลือดที่รุนแรงลอยออกมา สีแดงเลือดอ่อน ๆ แทรกอยู่ท่ามกลางสีดำทึบ ดูน่าหวาดหวั่น

  เขาใส่พลังลมปราณเข้าไปเรื่อย ๆ จนตะปูทะลวงวิญญาณสั่นฮึ่ม ๆ แล้วพุ่งออกไปในทันที

  ฉัวะ!

  ตะปูทะลวงวิญญาณพุ่งทะยานด้วยความเร็วสูง ปักเข้าไปในก้อนหินใหญ่หน้าลานบ้านจนลึกไม่เห็นปลาย

  “ช่างคมยิ่งนัก!”

  “ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ข้างบนของตะปูน่าจะถูกบันทึกไว้ด้วยค่ายกลเจาะเกราะ!”

  อาวุธเวทมีระดับความหายาก แบ่งเป็นระดับล่าง กลาง และสูง

  การตัดสินระดับของอาวุธนั้นขึ้นอยู่กับจำนวนและคุณภาพของค่ายกลที่จารึกไว้

  ในตะปูทะลวงวิญญาณคู่นี้ถูกบันทึกไว้เพียงค่ายกลเดียว แต่ค่ายกลเจาะเกราะนั้นเป็นค่ายกลขั้นที่สอง ดังนั้นพลังของมันจึงรุนแรงมาก

“ไม่แปลกใจเลยที่ตอนนั้นข้าไม่ทันได้ตอบโต้ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส”

  “ตามคำพูดก่อนตายของเจ้านั่น แม้แต่หวังหยวนก็ยังป้องกันไม่ได้ แสดงว่าความสามารถในการเจาะเกราะของมันถึงระดับสุดยอดของอาวุธเวทเลยทีเดียว”

  หวังหยวนไม่ใช่ผู้ฝึกตนธรรมดา ก่อนเข้าสู่เส้นทางเซียน เขาเป็นถึงมหาปรมาจารย์ทางยุทธในโลกมนุษย์

  หลังจากเข้ามาในเส้นทางการฝึกตน เขาก็ฆ่าคนและสัตว์อสูรนับไม่ถ้วน

  พลังขั้นสูง ความสามารถในการต่อสู้แข็งแกร่ง

  ที่เจ้านั่นสามารถทำให้หวังหยวนบาดเจ็บได้ ทั้งที่มีพลังเพียงขั้นฝึกพลังลมปราณชั้นที่ห้า ถ้าเช่นนั้นตะปูทะลวงวิญญาณนี้ก็มีส่วนสำคัญมากทีเดียว

  “แต่มันก็มีข้อเสียที่ชัดเจนมากเช่นกัน”

  “แค่ปล่อยตะปูทะลวงวิญญาณออกไปหนึ่งเล่ม ก็เล่นเอาพลังลมปราณของข้าหมดไปครึ่งหนึ่ง ถ้าข้าปล่อยออกไปพร้อมกันสองเล่ม พลังลมปราณของข้าคงหมดเกลี้ยงในทันทีเลยสินะ?”

  “และอีกอย่าง!”

  หลัวเฉินลองใส่พลังลมปราณเข้าไปอีกครั้ง แต่ตะปูทะลวงวิญญาณที่อยู่ในก้อนหินนั้นกลับไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย

  พุ่งไปแล้วกลับมาไม่ได้!

  ข้อดีและข้อเสียของอาวุธเวทระดับสูงชิ้นนี้ มันชัดเจนมากเกินไป

  ความสามารถในการเจาะเกราะนั้นเรียกได้ว่าไร้เทียมทาน

  แต่การใช้พลังลมปราณก็เปลืองมาก แถมยังไม่สามารถควบคุมให้กลับมาได้ พอปล่อยออกไปแล้ว ก็เรียกกลับคืนด้วยพลังลมปราณไม่ได้เลย

  เพียงแต่วัสดุที่ใช้สร้างมันมีความแข็งแกร่งมากพอ ไม่พังง่าย ๆ ไม่เช่นนั้นมันก็ไม่ต่างอะไรจากอาวุธใช้ครั้งเดียวทิ้งไป

  บางทีอาจจะเพราะเหตุผลนี้เอง ที่แม้จะจารึกค่ายกลขั้นที่สองไว้ แต่มันก็ยังเป็นได้เพียงแค่อาวุธเวทระดับสูงเท่านั้น และไม่อาจกลายเป็นอาวุธระดับสุดยอดในตำนานได้

  หลัวเฉินค่อย ๆ แกะหินออกจนสามารถนำตะปูทะลวงวิญญาณกลับมาได้ ก่อนจะเก็บมันใส่ถุงเก็บของด้วยความพึงพอใจ

  “ข้อเสียเรื่องที่ไม่สามารถเรียกกลับมาได้ สำหรับข้าถือว่าไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่ เพราะข้าเองก็ไม่เคยฝึกคาถาควบคุมเรียกอาวุธกลับมาอยู่แล้ว”

  “เมื่อเทียบกับกระบี่คุณภาพต่ำที่เป็นสนิมเล่มเก่า ๆ นั่น นี่มันไม่ต่างอะไรจากการเปลี่ยนจากปืนเก่าไปเป็นปืนกลเลย!”

  หลังจากรู้สึกพอใจ หลัวเฉินจึงกลับเข้ามาในบ้าน และจุดธูปสงบจิตขึ้นหนึ่งแท่ง

  กลิ่นหอมรัญจวนคล้ายกลิ่นกล้วยไม้และชะมดแมลงภู่นั้น ค่อย ๆ ทำให้จิตวิญญาณที่ว้าวุ่นของเขาสงบลง

  ความรู้สึกสบายจากจิตวิญญาณลึก ๆ เกือบทำให้เขาหลุดเสียงครางออกมา

  แต่หลัวเฉินไม่มีเวลามาเพลิดเพลินกับสิ่งนี้ เขารีบใช้ช่วงเวลานี้ในการฝึกวิชาอายุวัฒนะ

  หนึ่งวันต่อหนึ่งแท่งธูปสงบจิต ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้ฝึกตนสามารถฝึกวิชาประจำตัวของตนได้มากขึ้นถึงห้าครั้งจากที่เคยทำได้

  จากเดิมที่หลัวเฉินฝึกวิชาได้เพียงสองหรือสามครั้ง ตอนนี้เขาสามารถฝึกวิชาอายุวัฒนะได้มากถึงแปดครั้ง!

  การฝึกได้แปดครั้งนั้นหมายความว่าอย่างไร?

  ครั้งหนึ่งเขาสามารถฟื้นฟูพลังลมปราณได้ถึงสองส่วน แปดครั้งก็เท่ากับสิบหกส่วน สามารถปล่อยคาถาลูกไฟออกได้ถึงสามสิบสองลูกทีเดียว

  พูดได้ว่าธูปสงบจิตนั้น ในบรรดาทรัพย์สินที่เขาได้มาครั้งนี้ มีมูลค่าเป็นรองเพียงแค่ถุงเก็บของและตะปูทะลวงวิญญาณเท่านั้น

  มีมูลค่าสูงกว่าเสื้อคลุมคุณภาพต่ำ ขวดยาเสริมลมปราณ และของอื่น ๆ ทั้งหมด

  เพราะธูปสงบจิตหนึ่งกล่องนี้ สามารถช่วยให้เขาฝึกตนได้มากขึ้น เพิ่มความชำนาญในวิชาอายุวัฒนะ และยังช่วยเพิ่มความชำนาญในทักษะอื่น ๆ ได้อีกด้วย

  “ถ้ามีเงินในอนาคต ข้าจะไม่เพียงซื้อบ้าน แต่จะซื้อธูปสงบจิตให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้!”

  หลังจากฝึกวิชาจนเสร็จเรียบร้อย เขาสัมผัสได้ว่าพลังลมปราณที่หมดไปกว่าครึ่งตอนที่ใช้ตะปูทะลวงวิญญาณ ฟื้นฟูกลับมาได้ประมาณครึ่งหนึ่งแล้ว หลัวเฉินจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก

  หลังจากพักหายใจหายคอแล้ว เขาใช้ประโยชน์จากกลิ่นหอมของธูปสงบจิต ทำให้จิตใจสงบและมีสมาธิ เขาจึงย้อนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อสิบวันก่อนอีกครั้ง

  นับได้ว่า สิบวันที่ผ่านมา เขาคิดถึงเรื่องนั้นเกือบตลอดเวลา

  แม้กระทั่งตอนหลับฝัน เขาก็ยังเห็นภาพเหตุการณ์นั้นซ้ำไปซ้ำมา

  นั่นเป็นครั้งแรกตั้งแต่เขาเข้ามาในโลกนี้ ที่ได้เผชิญหน้ากับความตายอย่างใกล้ชิดขนาดนั้น!

  การนึกย้อนไปมาซ้ำ ๆ ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เป็นเพราะเขาต้องการจดจำสถานการณ์ในตอนนั้น เพื่อป้องกันเหตุการณ์แบบนั้นที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต

  ด้วยความช่วยเหลือของธูปสงบจิต หลัวเฉินก็ตระหนักได้ว่า ในการต่อสู้นั้นเขาสามารถจัดการได้ดีกว่านี้

  ตะปูทะลวงวิญญาณมีความเร็วสูง แต่เขาได้ฝึกวิชายอดฝีเท้ามาร (วิชาตัวเบาเซียวเหยาโยว) มาตั้งนาน ควรจะหลบหลีกได้บ้าง

  ต่อให้หลบไม่ได้ทั้งหมด ก็ไม่น่าจะบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ นี่เกือบจะตายอยู่ตรงนั้น

  และอีกอย่าง ตอนนั้นศัตรูอยู่ในสภาพที่แย่มาก ถ้าเขาชิงลงมือก่อนล่ะ?

  จะสามารถทำให้ศัตรูตั้งรับไม่ทันได้ไหม?

  ต้องชิงลงมือก่อน ใครช้าคนนั้นตาย สุดท้ายเขาก็ยังลังเลและคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไป

  แม้แต่ในตอนที่ต่อสู้กันตรง ๆ เขาก็ยังมีข้อผิดพลาดอยู่มาก

  ตอนนั้นลูกไฟลูกที่สามก็สามารถทำลายเกราะป้องกันของศัตรูได้แล้ว ต่อไปอัดอีกสักสองลูกก็น่าจะพอ

  แต่เขากลับตื่นเต้นจนเผลอใช้พลังลมปราณทั้งหมด ยิงลูกไฟออกไปจนหมด

  จนทำให้หลังจากนั้น เขาไม่เหลือพลังลมปราณแม้แต่นิดเดียวที่จะใช้ต่อสู้ต่อได้

  ก็โชคดีที่หวังหยวนมาช่วยพอดี

  แต่ถ้าเกิดตอนนั้นเขาเจอคนอื่นแทนล่ะ?

  คนอื่นเหล่านั้นจะรู้จักเขาหรือและจะยอมปล่อยเขาไปเหมือนหวังหยวนไหม?

  เฮอะ! ต่อให้เป็นคนรู้จักกัน ก็ใช่ว่าจะอดใจไม่ลงมือได้หรอก!

  สมบัติของผู้ฝึกตนระดับฝึกพลังลมปราณสองคน ถือว่าเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าไม่น้อยทีเดียว

“ประสบการณ์การต่อสู้ของข้า มันน้อยเกินไปจริง ๆ!”

จบบท

4 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด