ตอนที่แล้วบทที่ 239-240
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 243-244

บทที่ 241-242


[_แปลโดยแฟนเพจ ยักษา_แปร_มาติดตามในแฟนเพจ_เพื่อติดตามข่าวสารได้นะ.]

[_Thai-novel _ลงไวกว่าที่อื่น.ทุกที่ 5 ตอนแต่_จะราคาแพงที่สุด_]

[_หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้น_อีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนหรือแชร์กันเป็นคณะ_100คน. ก็อ่านไปครับ เพราะผมจะแก้แบบแปลใหม่อีกรอบแค่ในThai-novel กับเว็บอื่น ๆ และแหล่งที่ผมแปลครับ ส่วนคนที่อ่านที่อื่นก็จะได้อ่านแบบเวอร์ชั่นแรกไปนะครับ_]

บทที่ 241 หยุนชิงเหยียน (II)

"เข้ามาใกล้ข้า" ชายชุดขาวเอ่ยเรียกพร้อมผายมือเชื้อเชิญให้เหมิงฉีเข้าไปยืนเคียงข้างเขา

"เจ้าค่ะ" เหมิงฉีตกตะลึงเล็กน้อยก่อนจะก้าวเข้าไปหาอีกสองก้าวอย่างว่าง่าย เมื่อมองเข้าไปใกล้ เหมิงฉีพบว่าข่ายอาคมทั้งสามบนพื้นดินราวกับมีชีวิต แม้จะเสียสมาธิไปชั่วขณะ แต่เหมิงฉีก็ยังคงจดจำขั้นตอนการวาดข่ายอาคมที่ได้เห็นเมื่อครู่

ดวงตาของนางหยุดลงที่มือของชายผู้นั้น เมื่อเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้น เหมิงฉีจึงมองเห็นเล็บที่ตัดแต่งอย่างประณีตของเขา นิ้วเรียวสวยไร้ข้อต่อที่ดูแปลกประหลาด ทุกส่วนล้วนสมบูรณ์แบบ ดุจงานศิลปะที่งดงามที่สุดในโลก ไร้ที่ติ...

เหมิงฉีส่ายหัวอย่างแรง นางแอบเหลือบมองชายผู้นั้นอีกครั้ง

เสียสมาธิอีกแล้ว!

นางรีบก้มหน้าลงโดยไม่รู้ตัวว่าใบหูแดงก่ำของนางได้เปิดเผยความในใจทั้งหมด มุมปากของชายชุดขาวยกขึ้นเล็กน้อย เมื่อเขาพูดอีกครั้ง น้ำเสียงของเขาก็อ่อนโยนลง "เจ้าเข้าใจหรือไม่"

"เจ้าค่ะ!" เหมิงฉีพยักหน้า

"ลองดูสิ" ชายผู้นั้นขยับออกไปเล็กน้อย

แม้ว่าพื้นดินจะทำจากดินอ่อน แต่เหมิงฉีไม่สามารถวาดข่ายอาคมด้วยการขยับนิ้วมือเพียงอย่างเดียวเหมือนชายผู้นั้นได้ นางจึงหยิบมีดผ่าตัดขนาดเล็กออกมาและจิ้มลงบนพื้น เหมิงฉีเริ่มลงคมมีดอย่างรวดเร็ว ก่อตัวเป็นข่ายอาคมขนาดเล็กอีกอันหนึ่งตรงกลางของข่ายอาคมทั้งสาม นางมีความคิดที่ชัดเจนในใจอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีความลังเลในการเคลื่อนไหว

ข่ายอาคมใหม่อันนี้มีเส้นสามเส้นลากผ่าน ซึ่งเชื่อมต่อกับข่ายอาคมอีกสามอัน นอกจากนี้ เส้นทั้งสามยังเปลี่ยนเป็นทิศทางต่างๆ วิ่งผ่านข่ายอาคมถัดไป เชื่อมต่อข่ายอาคมที่แตกต่างกันสี่ชุดเข้าด้วยกันเป็นข่ายอาคมขนาดใหญ่ชุดเดียว

เหมิงฉีวาดเส้นสุดท้าย เก็บมีด และยิ้มอย่างพอใจ

"ข่ายอาคมบังตา" นางกล่าว "เราสามารถวางยาพิษไว้ตรงกลาง เมื่อเปิดใช้งาน มันจะกระตุ้นข่ายอาคมอีกสามอันที่เหลือ และข่ายอาคมทั้งหมดสามารถใช้ทั้งโจมตีและป้องกันได้"

ขณะที่พูด เหมิงฉีหันศีรษะไปทางชายชุดขาวโดยไม่รู้ตัว นางลืมไปว่าเมื่อครู่นางก้าวเข้าไปใกล้อีกสองสามก้าว และตอนนี้นางกับเขายืนเคียงข้างกัน เนื่องจากชายผู้นั้นได้เดินกลับไปยังตำแหน่งเดิมอย่างเงียบๆ ขณะที่นางกำลังยุ่งอยู่กับการวาดข่ายอาคม

ทันทีที่เหมิงฉีหันศีรษะไปด้านข้าง นางก็ได้กลิ่นหอมเย็นสดชื่น มันขมเล็กน้อย แต่ก็สงบเงียบ เหมือนกลิ่นของต้นไม้ในป่าหลังฝนตกในฤดูใบไม้ร่วง

เหมิงฉีถอยหลังไปสองสามก้าวโดยไม่รู้ตัว ขยายระยะห่างระหว่างพวกเขา ตอนนี้นางสงบกว่าตอนแรกมาก แม้ว่าหัวใจของนางจะยังเต้นแรงด้วยความดีใจ แต่นางก็ไม่ได้รู้สึกท่วมท้นจนใจลอยอีกต่อไป

"เช่นนี้—… ข้าเสียมารยาทแล้ว" เหมิงฉีก้มหน้าลงและประสานมือคำนับชายผู้นั้น นางเกือบจะเรียกตัวเองว่าศิษย์ แต่จำได้ว่าอีกฝ่ายไม่เคยอนุญาตให้นางเคารพเขาในฐานะอาจารย์ นางจึงเปลี่ยนคำพูดอย่างรวดเร็ว

สำหรับเหมิงฉี ชายผู้นี้เป็นดั่งแสงจันทร์สว่างไสวบนภูเขาสูง ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร นางไม่เคยมีข้อสงสัยแม้แต่น้อย

ชายชุดขาวเหลือบมองเหมิงฉี เปลือกตาของเขาปิดลงเล็กน้อย ปิดประกายในดวงตาของเขา

"ท่านผู้อาวุโส โปรดชี้แนะ" เหมิงฉีประสานมือคำนับอีกครั้ง คราวนี้นางไม่กล้ามองสบตาชายผู้นี้อีก นางเบนสายตาไปที่พื้น เมื่อเห็นดินอ่อนๆ ใต้เท้า เหมิงฉีก็ได้สติกลับคืนมาอย่างช้าๆ

—สถานที่แห่งนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่เกาะลอยฟ้าในแดนเหนือสวรรค์

หญ้าที่ขึ้นบนพื้นนุ่มมาก เหมือนเส้นไหมที่บอบบาง สระน้ำเย็นด้านตรงข้ามก็กว้างมาก จากตำแหน่งของเหมิงฉี นางมองไม่เห็นขอบสระ ม่านน้ำตกตกลงมาจากภูเขาที่สูงจนมองไม่เห็นยอด ภูเขาถูกปกคลุมด้วยทะเลเมฆอันกว้างใหญ่ ซึ่งกลายเป็นต้นกำเนิดของม่านน้ำตก

กล่าวโดยสรุป สถานที่ที่เหมิงฉียืนอยู่นั้นงดงามกว่าเกาะลอยฟ้าที่สูงที่สุดในแดนเหนือสวรรค์ที่นางเคยเห็นในความฝันขณะเมา แม้ว่าทิวทัศน์ของเกาะลอยฟ้าจะสวยงามมาก แต่ก็ขาดความยิ่งใหญ่และบรรยากาศอันน่าเกรงขามของสถานที่แห่งนี้

เหมิงฉีกำมือที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวอย่างช้าๆ และเม้มริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว ดังนั้น ที่นี่ไม่ใช่แดนเหนือสวรรค์?

หรือว่าที่นี่คือแดนเหนือสวรรค์จริงๆ แต่เป็นสถานที่ที่นางไม่เคยไปถึงมาก่อน?

หรือ...

แต่ว่า... นางยังคงติดอยู่ในเขตอาคมแห่งการประลองแพทย์ ทว่าบุรุษผู้นี้ใช้แผ่นหยกแดนเหนือสวรรค์นำพานางมายังที่แห่งนี้ได้ด้วยอำนาจอันใด?

เขา... แท้จริงแล้วคือผู้ใดกัน?

คำถามนับร้อยพันประดังประเดเข้ามาในหัวของเหมิงฉี ทว่าสุดท้ายนางก็ตัดสินใจเก็บงำความสงสัยไว้ หากเขาไม่คิดเอ่ยปาก นางก็จะไม่ซักไซร้

เหมิงฉีหลับตาลงชั่วครู่ พอลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตากลับคืนสู่ความแจ่มใส มุ่งมั่น นางเชื่อมั่นในทุกถ้อยคำที่เขาเอ่ยออกมานับแต่นี้

"เจ้าไม่จำเป็นต้องเรียกข้าว่าท่านผู้อาวุโส" บุรุษในอาภรณ์สีขาวเอ่ย "ข้าชื่อ หยุนชิงเหยียน เหมิงฉี ในเมื่อมิได้เป็นอาจารย์ศิษย์ เจ้าเรียกชื่อข้าได้ตามสบาย"

"หยุน... ชิงเหยียน..." เหมิงฉีพึมพำชื่อนั้นแผ่วเบา นางเงยหน้าขึ้น มองบุรุษตรงหน้าด้วยแววตาเหม่อลอย

หยุนชิงเหยียนยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ดวงตาคมกริบสบประสานกับนางอย่างสงบนิ่ง

"...เจ้าค่ะ" เหมิงฉีขานรับเสียงแผ่ว

หยุนชิงเหยียนก้าวเท้าไปข้างหน้า ยกมือขึ้น ทันใดนั้น เกิดลมพัดกระโชกขึ้นจากพื้น ชายอาภรณ์ของเขาปลิวสะบัด "ระวัง!" เขาตวาดลั่น มือข้างหนึ่งคว้าร่างบอบบางของเหมิงฉีเข้ามาแนบอก อีกข้างกางแขนเสื้อออก ปกป้องนางจากแรงลม

เหมิงฉีมองเห็นเพียงแสงสว่างวาบ ก่อนหน้านี้ ตอนที่นางและหยุนชิงเหยียนวาดอาคมพลัง ทั้งสองมิได้ใช้ปราณวิญญาณ โดยทั่วไปแล้ว อาคมพลังย่อมเป็นเพียงลวดลายบนพื้น ไร้ซึ่งอานุภาพ แต่หยุนชิงเหยียนกลับใช้วิธีการอันลี้ลับปลุกพลังแห่งอาคมขึ้นมาได้

บทที่ 242 หยุนชิงเหยียน (III)

แสงสว่างและเงามืดสลับผลัดเปลี่ยนกันวูบวาบ สายตาของเหมิงฉีพร่าเลือน พลันปรากฏแสงเย็นเยียบวาบขึ้นกลางอากาศ ดาบสามเล่มฟาดฟันลงมาจากสามทิศทาง ตามมาด้วยเส้นลวดสีเงินพุ่งพรวดออกจากอาคมพลัง เส้นลวดนั้นเล็กบาง ราวกับไร้ซึ่งอันตราย แต่เหมิงฉีรู้ดีว่า หากผู้ใดสัมผัสมันเข้า ร่างกายย่อมแหลกสลายเป็นแผลเหวอะหวะ ก่อนที่เส้นลวดจะอันตรธานหายไป ลูกเหล็กแหลมคมนับไม่ถ้วนก็ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า ปกคลุมทั่วบริเวณ

เหมิงฉีสูดลมหายใจเข้าลึก ทอดมองพลังโจมตีอันเกรี้ยวกราดที่ปรากฏเบื้องหน้าด้วยความตื่นตะลึง

หยุนชิงเหยียนสะบัดชายแขนอาภรณ์ เริ่มต้นการทำงานของอาคมพลังสุดท้ายที่อยู่ตรงกลาง นั่นคืออักขระบังตา ครานี้ อาวุธทั้งสามชนิดพลันถูกเคลือบด้วยแสงสีเขียวจางๆ

แท้จริงแล้ว เหมิงฉีมิได้ใส่พิษลงไป และพิษก็มิได้มีสีเขียวเสมอไป นางรู้ดีว่าหยุนชิงเหยียนกำลังช่วยให้นางเข้าใจได้ง่ายขึ้นด้วยการสร้างภาพจำลอง

เหมิงฉีผ่อนลมหายใจออกช้าๆ จ้องมองภาพเบื้องหน้าอย่างตั้งใจ พลังโจมตีอันมหาศาลเช่นนี้ ล้วนเกิดจากอาคมพลังเล็กๆ สามอาคมที่ซ้อนทับด้วยอักขระบังตาซึ่งมิได้มีพลังอำนาจมากมายอันใด

โลกแห่งอาคมพลังช่างกว้างใหญ่ ลึกล้ำไร้ขอบเขต

และ... ทรงพลังยิ่งนัก!

เหมิงฉีนึกถึงคำกล่าวของจี๋อู๋จิ่ว เขากล่าวว่าผู้บ่มเพาะวิชาอักขระที่แข็งแกร่งเพียงหนึ่งเดียว สามารถรับมือกับศัตรูจำนวนมากที่มีขั้นพลังบ่มเพาะใกล้เคียงกันได้ ในสมัยโบราณ ผู้บ่มเพาะวิชาอักขระผู้นั้นสามารถนั่งอยู่ใจกลางอาคมพลังที่ตนเองสร้างขึ้น และปัดป้องการโจมตีจากดาบและผู้บ่มเพาะวิชาอาคมได้อย่างง่ายดาย

บัดนี้ ดูเหมือนว่าเรื่องเล่าของจี๋อู๋จิ่วจะเป็นความจริง หากมีความรู้ความเข้าใจในข่ายอักขระพลังมากพอ ย่อมสามารถบรรลุถึงขั้นนั้นได้

ยกตัวอย่างเช่น...

เหมิงฉีหันไปมองหยุนชิงเหยียน หากเป็นบุรุษผู้นี้ เขาย่อมสามารถบรรลุถึงขั้นไร้ผู้เทียบเคียงได้!

"เจ้าจำตำแหน่งของอาคมพลังแต่ละอาคมได้หรือไม่" หยุนชิงเหยียนเอ่ยถาม น้ำเสียงของเขาเย็นเยียบดุจหิมะแรก แต่แฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนละมุนละไม

เหมิงฉีพยักหน้ารับ พลันรู้สึกตัวว่าบัดนี้ตนยืนเคียงข้างหยุนชิงเหยียนโดยไม่รู้ตัว ร่างสูงสง่าของบุรุษผู้นั้นอยู่ชิดใกล้ ครั้นเขายกมือขึ้น ชายแขนอาภรณ์คลุมยาวก็เกือบจะปัดผ่านแก้มนวลเนียนของนาง

เหมิงฉีรีบถอยหลังสองก้าว พยายามรักษาท่าทีที่เคารพ แม้บุรุษผู้นี้จะไม่อนุญาตให้นางเรียกเขาว่าอาจารย์ แต่ในใจนาง เขาก็คืออาจารย์เพียงหนึ่งเดียว คือบุคคลอันสูงส่ง ที่นางควรเคารพนับถือไปชั่วชีวิต

เขาคือผู้มอบความเมตตาและเอาใจใส่แก่นางมากที่สุดในชีวิต

"ข้าจำได้เจ้าค่ะ" เหมิงฉีตอบอย่างหนักแน่น นางอยากจะหยิบแผ่นไม้ไผ่ออกมาจดบันทึกทุกถ้อยคำที่หลุดออกมาจากริมฝีปากของบุรุษผู้นี้เสียจริง แต่เหมิงฉีรู้ดีว่าการกระทำเช่นนั้น ถือเป็นการเสียมารยาท จึงอดกลั้นเอาไว้

หยุนชิงเหยียนพยักหน้า "กลับไปเถิด"

"เจ้าค่ะ" เหมิงฉีกลืนความผิดหวังที่กำลังก่อตัวขึ้นในใจ นางมองแผ่นหลังของเขาอย่างอาลัยอาวรณ์ เมื่อแยกจากกันแล้ว ก็มิรู้ว่าจะได้พบพานกันอีกเมื่อใด

แต่บุรุษผู้นี้ก็ยอมปรากฏกายขึ้น เพื่อสอนวิชาให้นาง แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ชั่วก้านธูปเดียว นางก็ควรพอใจ ไม่ควรเรียกร้องสิ่งใดอีก

"มีอันใดหรือ" หยุนชิงเหยียนหันกลับมา เห็นแววตาอาลัยอาวรณ์ของเหมิงฉี มุมปากของเขายกยิ้มขึ้นเล็กน้อย อารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง แม้กระทั่งน้ำเสียงก็อ่อนโยนลง เขาเอ่ยถามอย่างใจเย็น "เจ้ามีคำถามอันใดหรือไม่"

"ไม่มีเจ้าค่ะ..." เหมิงฉีส่ายหน้า แต่แล้วก็รู้สึกเสียใจในทันที

"กลับไปเถิด" หยุนชิงเหยียนสะบัดชายแขนอาภรณ์

เหมิงฉียืนนิ่ง แต่ร่างกายของนางกลับเหมือนลอยถอยหลัง นางห่างไกลจากร่างสีขาวของบุรุษผู้นั้นออกไปเรื่อยๆ ภาพรอบข้างพร่าเลือน โลกหมุนคว้าง เหมิงฉีรู้ว่านางกำลังจะจากไป และไม่รู้ว่าจะได้พบกันอีกเมื่อใด

"จี๋อู๋จิ่วผู้นั้น..." ก่อนที่นางจะจากไปจริงๆ เสียงของหยุนชิงเหยียนก็ดังขึ้นข้างหู ชัดเจนราวกับเขายืนอยู่ข้างๆ "อย่าฟังคำของเขา!"

"เจ้าค่ะ!" เหมิงฉีตอบรับทันที แม้หยุนชิงเหยียนจะไม่เตือน นางก็ไม่คิดจะฟังคำของจี๋อู๋จิ่วอยู่แล้ว นางจะไม่มีวันคารวะผู้อื่นเป็นอาจารย์!

ชั่วพริบตา เหมิงฉีก็ลืมตาขึ้น พบว่าตัวเองอยู่ในห้องนอนที่โรงเตี๊ยม นางก้มลงมองแผ่นหยกอุ่นๆ ในมือ

เหมิงฉีเอื้อมมือไปสัมผัสแก้มโดยไม่รู้ตัว

เมื่อครู่... นางฝันไปกระนั้นหรือ?

หยุน... ชิง... เหยียน...

แต่หากเป็นความฝัน นางก็ไม่น่าจะจำชื่อของบุรุษผู้นั้นได้แม่นยำเช่นนี้

เหมิงฉีก้มหน้าลงเล็กน้อย นางถือแผ่นหยกแดนเหนือสวรรค์อยู่ และยังจำวิธีการวางอาคมพลังที่บุรุษผู้นั้นสอนได้ ทั้งหมดนี้จะเป็นเพียงความฝันได้อย่างไร!

เหมิงฉีหยิกแก้มตัวเองอย่างแรง "โอ๊ย!"

นางร้องออกมาเบาๆ

เจ็บ!

ดูเหมือนนางจะไม่ได้ฝันไป!

อารมณ์ของเหมิงฉีพุ่งสูงขึ้น นางรีบกระโดดลงจากเตียงด้วยความตื่นเต้น เมื่อสัมผัสได้ถึงพื้นแข็งๆ ใต้ฝ่าเท้า นางก็ยิ่งมั่นใจว่าทุกสิ่งเป็นเรื่องจริง เหมิงฉีแทบจะระเบิดด้วยความสุข นางวิ่งไปเปิดประตู

"ฮึ่ม!!!" ทันทีที่เหมิงฉีก้าวออกจากห้อง ก็ได้ยินเสียงจี๋อู๋จิ่ว เยาะเย้ย บุรุษอาภรณ์สีดำยืนพิงกำแพงอยู่หน้าห้อง ดูเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง เงาของต้นไม้ใหญ่ในลานบ้านทาบทับร่างของเขา แสงแดดส่องลอดใบไม้ ทิ้งเงาพร้อยลงบนตัวจี๋อู๋จิ่ว ทำให้รอยแผลเป็นสีดำสามรอยบนใบหน้าของเขาดูเด่นชัดยิ่งขึ้น

จี๋อู๋จิ่วดูมืดมนและน่าขนลุกกว่าปกติ แต่เหมิงฉีเพียงแค่เหลือบมองเขา ยิ้มกว้างด้วยความยินดี อารมณ์ของนางดีมากเสียจนแม้แต่จี๋อู๋จิ่วก็ยังดูน่ามองขึ้นมาบ้าง

_ติดตามผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:ยักษาแปร _ลงแบบราคาถูกแค่ในMy-NovelและThai-novel_เท่านั้น หากอ่านที่อื่นรบกวนมาสนับสนุนทีนะครับ_หรือจะมากดไลก์แฟนเพจก็ได้ กระซิกกระซิก. ;-;_

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด