ตอนที่ 58 อย่ามาเรียกฉันแบบนั้น (ฟรี)
ตอนที่ 58 อย่ามาเรียกฉันแบบนั้น
นอกจากค่าห้องพักแล้ว หลิวอี้อี้ยังต้องซื้ออาหารที่ร้านอาหารของทางโรงแรมทุกวันอีกด้วย
เนื่องจากเธอมีเงินไม่มากนัก เธอจึงกินได้เพียงหมั่นโถว ข้าวโพด และซาลาเปานึ่ง
แต่ตอนนี้เวลาก็ผ่านไปไม่น้อยแล้ว เงินจำนวนเล็กน้อยในบัญชีของเธอก็ถึงจุดต่ำสุดมานานแล้ว
เธอยังไม่ได้ปลุกพลัง ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าออกจากโรงแรม นั่นทำให้เธอไม่มีรายได้ กลับกันยังมีรายจ่ายที่ค่อนข้างมากในทุกๆ วัน
คนเดียวที่เธอสามารถพึ่งพาได้ในตอนนี้คือ เจิ้งเหวินอัน
“อี้อี้ พี่ก็อยากช่วยเธอนะ แต่เธอก็ควรจะต้องอยู่ด้วยตัวเองให้ได้ หากเธอเอาแต่เกาะติดพี่ คนอื่นก็อาจจะเข้าใจผิดได้”
ในขณะที่พูด เจิ้งเหวินอันก็เหลือบมองไปที่ฉู่เจียงเยว่อย่างคลุมเครือ
นอกจากฉู่เจียงเยว่แล้ว ใบหน้าของจินซู่หยูยังปรากฏในใจของเจิ้งเหวินอัน และเขาก็รู้สึกว่าโชคชะตาได้นำพาพวกเขามาพบกัน
"โฮสต์ ดูสายตาของเขาสิ เขาต้องคิดอะไรเกี่ยวกับคุณเป็นแน่!"
จิ้งจอกน้อยยืนอยู่บนไหล่ของฉู่เจียงเยว่ และมองเห็นทุกสิ่งได้ชัดเจน รวมถึงสายตาของเจิ้งเหวินอัน ซึ่งทำให้มันคิดมากไม่น้อย
“ยืนดีด้วย ในที่สุดเธอก็ได้เห็นตัวตนจริงๆ ของชายคนนี้แล้ว”
ฉู่เจียงเยว่ไม่ใช่เด็กสาวอายุ 18 ปีที่ไร้เดียงสา และอ่อนต่อโลก
แม้ว่าเธอจะมีชีวิตที่ไม่ดีนักในชาติก่อน แต่เธอก็เคยเห็นคนมาทุกประเภท รวมถึงพวกที่จิตใจชั่วช้ามากมาย เจิ้งเหวินอันจึงไม่สามารถตบตาเธอได้ด้วยอุบายเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้
“แล้วสายตาของเขาที่มองนางเอกก็ด้วย...น่าขยะแขยงจริงๆ!”
จิ้งจอกน้อยไม่ได้เก็บงำความรู้สึกที่ไม่ชอบขี้หน้าเจิ้งเหวินอันเลยแม้แต่น้อย
มุมปากของฉู่เจียงเยว่ยกขึ้นเล็กน้อย โดยไม่แสดงความเห็นใดๆ ต่อคำพูดของจิ้งจอกน้อย
“พี่เหวินอัน พวกเราเป็นคู่รักที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก และถูกกำหนดให้แต่งงาน การที่คนอื่นมองเราเช่นนี้มันก็ถูกต้องแล้ว ไม่เห็นจะผิดตรงไหน”
จากจุดเริ่มต้นของความรัก หลิวอี้อี้รู้สึกว่าเธอและเจิ้งเหวินอันจะได้แต่งงานกันด้วยความช่วยเหลือจากพ่อแม่ และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
แต่ตอนนี้สิ่งต่างๆ ดูเหมือนจะไม่พัฒนาไปในเส้นทางที่เธอได้จินตนาการไว้
พี่เหวินอันของเธอเริ่มชายตามองผู้หญิงคนอื่น
สิ่งนี้ทำให้หลิวอี้อี้รู้สึกถูกคุกคามอย่างยิ่ง และเธอยังต้องการที่จะเก็บเขาไว้ในระยะสายตาของตัวเอง
“ฉันไม่สน! พ่อแม่ของฉัน รวมถึงลุงและป้าต่างบอกให้พี่คอยดูแลฉันก่อนที่พวกเขาจะออกไปทำธุรกิจ พี่จะทิ้งฉันไว้ตามลำพังไม่ได้นะ!”
หลิวอี้อี้คว้าแขนของเจิ้งเหวินอันอย่างแรงจนเล็บของเธอกดลงบนผิวหนังของเขา
“ปล่อย!”
เจิ้งเหวินอันดึงมือของหลิวอี้อี้ออกจากแขนของตน และมองดูรอยเล็บสีแดงบนนั่นด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“อี้อี้ พี่จะช่วยเธอเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากนี้ เธอต้องเรียนรู้ที่จะฆ่าซอมบี้ และรวบรวมแก่นคริสตัลด้วยตัวเอง ไม่อย่างงั้น... พี่จะไม่สนใจเธออีกต่อไป”
หลังจากปลุกพลังวิเศษแล้ว ความคิดของเจิ้งเหวินอันก็แตกต่างออกไปจากเดิม
ที่เขาเลือกจะอยู่กับหลิวอี้อี้ก่อนหน้านี้ก็เพราะเขายังอ่อนแออยู่ และการอยู่สองคนก็ปลอดภัยกว่าอยู่คนเดียว
แต่ตอนนี้เขาได้กลายเป็นผู้ปลุกพลังแล้ว และหลิวอี้อี้ก็เป็นคนธรรมดา เขาจึงต้องคิดถึงอนาคตของตัวเอง
เขาเป็นผู้ปลุกพลัง เป็นคนพิเศษ เขาจะอยู่กับคนธรรมดาได้อย่างไร เขาสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้
หลังจากพยายามตัดขาดหลิวอี้อี้ เจิ้งเหวินอันก็ตั้งเป้าไปที่ฉู่เจียงเยว่ แต่เมื่อเขาเห็นจินซู่หยูในวันนี้ เขามีความคิดบางอย่าง
“ตกลง หลังจากนี้ฉันจะพยายามอย่างหนักเพื่อหาเงิน”
หลิวอี้อี้ก้มหัวลงเพื่อไม่ให้ใครเห็นสีหน้าของเธอ
แม้ว่าคำพูดของเธอจะฟังดูดี แต่ถ้าใครมองจากด้านล่าง ก็จะได้เห็นใบหน้าของหลิวอี้อี้ที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
เธอมีบุคลิกที่ดื้อรั้น
ในเมื่อชายคนนี้ เธอไม่ได้ครอบครอง เธอก็อยากจะทำลายเขา ดีกว่าปล่อยให้คนอื่นได้เขาไป
ทั้งสองต่างคิดกันไปคนละทาง เจิ้งเหวินอันได้โอนเงิน 20 เหรียญเงินไปให้หลิวอี้อี้ เงินเก็บเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอสำหรับเธอที่จะใช้ได้เป็นเวลานาน
ด้วยเงินจำนวนนี้ ตราบใดที่หลิวอี้อี้ออกไปข้างนอกอย่างจริงจังเพื่อค้นหาเสบียง และต่อสู้กับซอมบี้ การใช้ชีวิตในโรงแรมเจียงหลินก็จะไม่เป็นปัญหาอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าหลิวอี้อี้ไม่คิดเช่นนั้น สำหรับ 20 เหรียญเงินที่ได้รับ เธอรู้สึกว่าเจิ้งเหวินอันกำลังมองเธอเหมือนขอทาน
แต่เธอไม่ได้แสดงความไม่พอใจ แต่กลับขอบเจิ้งเหวินอันด้วยรอยยิ้มอันแสนหวาน หลังจากขยายเวลาเข้าพักอีก 5 วัน เธอก็ออกจากตึกสำนักงาน
เมื่อเห็นว่าหลิวอี้อี้หยุดสร้างปัญหา เจิ้งเหวินอันก็คิดว่าเธอเข้าใจที่เขาพูดแล้ว และไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าของเธอ
หลังจากที่ร่างนั้นหายไป เจิ้งเหวินอันก็หันความสนใจไปที่ฉู่เจียงเยว่อีกครั้ง
“เจียงเยว่ ผมเรียกคุณแบบนั้นได้หรือเปล่า”
เจิ้งเหวินอันพูดกับฉู่เจียงเยว่ด้วยเสียงที่เขาคิดว่ามีเสน่ห์ที่สุด
เมื่อไม่มีอะไรต้องทำ ฉู่เจียงเยว่ไม่ได้ตั้งใจที่จะอยู่ในตึกสำนักงานเป็นเวลานาน ในขณะที่เธอกำลังจะออกไป เจิ้งเหวินอันก็มาหยุดเธอเอาไว้
แล้วเมื่อได้ยินคำเรียกของเขา ฉู่เจียงเยว่ก็รู้สึกขนลุกไม่น้อย
“นายแก่กว่าฉันถึง 7 ปีแล้วเราก็ไม่ได้สนิทกัน อย่ามาเรียกฉันแบบนั้น”
ฉู่เจียงเยว่ชี้ให้เห็นช่องว่างทางด้านอายุระหว่างทั้งสองคนโดยตรง
ถ้าชอบ ต้องให้อายุมากกว่า 10 ปี เธอก็อาจจะไม่มองว่าอีกฝ่ายแก่
แต่ถ้าไม่ชอบแต่ให้อายุมากกว่าแค่ 7 ปีก็ถือว่าแก่เกินไป
คำตอบของฉู่เจียงเยว่แทงเจิ้งเหวินอันเข้าที่หัวใจโดยตรง
ในเวลานั้น เสิ่นจื้อกุย และคนอื่นๆ ซึ่งได้ส่งคนที่จับกุมมาได้ให้กับเหรินเจี๋ยแล้ว ก็ก้าวเข้าในตึกสำนักงานพอดี
เมื่อได้ยินคำพูดของฉู่เจียงเยว่ หลินซวี่หยวนก็อดหัวเราะไม่ได้
“เอ่อ...โทษที ผมกลั้นไม่ไหวจริงๆ”
เจียงเหอยกมือขึ้นแล้วดันแว่นตาขอบทองที่ดั้งจมูก และมองดูหลินซวี่หยวนด้วยสายตาที่เห็นอกเห็นใจ
เจิ้งเหวินอันแก่กว่า และดูไม่เข้ากับฉู่เจียงเยว่เลยแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นว่ามีคนอื่นอยู่ เจิ้งเหวินอันก็ไม่สามารถพูดอะไรได้อีก เขากล่าวอำลาฉู่เจียงเยว่ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนจะหันหลังกลับ และออกจากตึกสำนักงาน
“เถ้าแก่ เราต้องการแลกเงิน”
เสิ่นจื้อกุย และทีมของเขามักจะมาแลกเปลี่ยนกับทางโรงแรมทุกๆ สองสามวัน แม้แต่ฉู่เจียงเยว่ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ยอดเงินในบัญชีของพวกเขามีมากเท่าไหร่แล้ว
“ไปหาที่ชายที่ยืนอยู่ตรงนั้นได้เลย เขาจะจัดการให้พวกนายเอง”
แน่นอนว่าฉู่เจียงเยว่มีความสุขเมื่อมีคนเติมเงิน เงินเหล่านั้นจะเข้ากระเป๋าของเธอในอนาคต
“เถ้าแก่ เขาเป็นพนักงานใหม่ของคุณเหรอ? ทำไมดูไม่คุ้นหน้าเลย รู้สึกเหมือนกับว่าผมจะไม่เคยเห็นเขามาก่อน?”
เซี่ยซีหลินยังเด็กอยู่ ดังนั้นเขาจึงถามคำถามที่ค่อนข้างเสียมารยาท หลังจากถาม เขาก็ตระหนักว่าได้พลั้งปากออกไป
คำถามนี้ได้ลุกล้ำความเป็นส่วนตัวของฉู่เจียงเยว่เล็กน้อย
“ถึงแม้เขาจะเป็นพนักงานใหม่ แต่เขาไม่ใช่แขกของโรงแรมเจียงหลิน”
ฉู่เจียงเยว่ไม่ได้ตั้งใจปกปิดตัวตนของฉู่เจียงหยาง แต่เธอจะไม่ริเริ่มที่จะบอกตรงๆ
เมื่อได้ยินว่าฉู่เจียงหยางไม่ใช่แขกของโรงแรม เสิ่นจื้อกุย และคนอื่นๆ ก็มีความรู้สึกแตกต่างออกไปเล็กน้อย
แต่ถ้าฉู่เจียงเยว่ไม่คิดจะบอก ต่อให้ถามไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร
ทุกคนต่างมีความลับของตัวเอง และคนอื่นก็ต้องรู้ขอบเขต
“งั้นเหรอ หากมีการเปิดรับสมัครครั้งหน้า ผมจะเป็นคนแรกที่สมัครแน่นอน!”
หลังวันสิ้นโลก งานที่ไม่โดนแดดโดนฝน และมีรายได้ที่มั่นคงแบบนี้หาแทบไม่ได้ และทุกคนต่างต้องการ
เสิ่นจื้อกุยเหลือบมองที่ฉู่เจียงหยาง แล้วขอให้เจียงเหอวางสิ่งของที่พวกเขารวบรวมมาได้ลงถาด
ทุกคนในทีมต่างเป็นผู้ปลุกพลัง แม้แต่เจียงเหอที่ปรุงพลังมิติก็มีร่างกายที่แข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาไม่น้อย
เมื่อมีความแข็งแกร่ง พวกเขาก็มีความกล้ากว่าคนอื่นๆ และออกไปไกลกว่าใครๆ นั่นจึงทำให้ได้รับของมีค่าต่างๆ มากมาย รวมถึงแก่นคริสตัลด้วย
แค่ของเสิ่นจื้อกุยเพียงลำพังก็มีมูลค่ามากถึง 3 เหรียญทอง 60 เหรียญเงินและ 50 เหรียญทองแดงแล้ว
นั่นถือเป็นเงินมหาศาลเลยทีเดียว
เสิ่นจื้อกุย และคนอื่นๆ ต้องร่ำรวยมากอย่างแน่นอน และฉู่เจียงเยว่กำลังคิดว่าจะหาเงินจากพวกเขาได้อย่างไร