บทที่ 34 เถ้าแก่ ท่านควรขึ้นราคาตั้งนานแล้ว
บทที่ 34 เถ้าแก่ ท่านควรขึ้นราคาตั้งนานแล้ว
“เส้นลมปราณฉีกขาด?” เคอปิงหลิงตกใจเล็กน้อย หลังคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงโค้งคำนับอย่างเคร่งขรึมและขอโทษด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าไม่เคยใส่ใจเรื่องนี้มาก่อน จึงนึกไม่ออกมามีใครบ้างหรือไม่ ขอเวลาข้าสักสองสามวัน เพื่อให้คนไปค้นหาข้อมูลในบันทึก”
เฟิงหยวนหนิงกล่าวว่า “เอาล่ะ คงต้องหวังพึ่งท่านแล้ว หากพบเจอบุคคลนั้นก็แจ้งให้ข้าทราบได้ สำหรับคนที่ยากลำบากจริง ๆ ข้าจะลดราคาให้ตามความเหมาะสม”
เคอปิงหลิงสีหน้าเคร่งเครียด “เถ้าแก่กังวลมากเกินไป แม้จะยากลำบากแค่ไหน ก็คงหาเงิน 5 เฉียนมาได้” 5 เฉียนนั้นเท่ากับ 500 เหวิน
เฟิงหยวนหนิงอธิบายว่า “คือว่าช่วงเวลาที่ลดราคาของบ่อน้ำพุร้อนสิ้นสุดลงแล้ว ตอนนี้การเข้าใช้ครั้งแรกราคาปรับเป็น 100 ตำลึง แต่การเข้าใช้ครั้งต่อไปยังคงราคา 500 เหวินเท่าเดิม”
เคอปิงหลิงตกใจเล็กน้อย แล้วก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง “เถ้าแก่ ท่านควรขึ้นราคาตั้งนานแล้ว! ท่านคงสังเกตเห็นแล้วใช่หรือไม่? เมื่อวานนี้ สมาชิกหน่วยสืบสวนของข้าสองคนร่างกายแข็งแรงดี แต่กลับไปแช่น้ำพุร้อนโดยไม่คิดอะไรเลย หากราคาของน้ำพุร้อนไม่ถูกขนาดนี้ พวกนางก็คงไม่คิดไปทดลอง ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองโอกาสอันล้ำค่าไปเปล่า ๆ การปรับราคาเป็น 100 ตำลึงจะทำให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นน้อยลงอย่างแน่นอน ราคา 100 ตำลึงจะทำให้ทุกคนคิดหนักขึ้น ก่อนตัดสินใจจะทำอะไรก็ตาม”
สิ้นเสียง เธอหันไปมองคนทั้งสองที่นั่งอยู่ด้วยกันเป็นเชิงตำหนิ
เฟิงหยวนหนิง “…” เปล่าหรอก เมื่อวานเธอยุ่งวุ่นวายจนหัวหมุนไปหมด ไม่ได้สังเกตเห็นเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ
หนึ่งในคนที่ถูกเคอปิงหลิงตำหนิอดไม่ได้ที่จะโต้แย้งว่า “ทว่าก่อนหน้านี้ใบหน้าของข้าเต็มไปด้วยจุดดำ หลังจากไปแช่น้ำพุร้อนแล้ว มันกลับดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สำหรับข้าแล้ว นี่ก็เหมือนการเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ จะเรียกว่าสิ้นเปลืองโอกาสได้อย่างไร?”
“ความสวยงามสำคัญกว่าชีวิตงั้นหรือ?” เคอปิงหลิงส่ายหัวอย่างไม่พอใจ “หากวันใดวันหนึ่งเจ้าเผชิญกับอันตรายถึงชีวิต แต่ไม่มีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว เจ้าจะทำอย่างไร?”
“แต่เจ้าเกิดมาพร้อมรูปลักษณ์งดงาม แล้วจะเข้าใจได้อย่างไรว่า ข้าต้องทนทุกข์ทรมานจากการถูกเลือกปฏิบัติและความถูกรังเกียจมากแค่ไหน?”
บนใบหน้าที่เย็นชาของเคอปิงหลิงปรากฏรอยยิ้มเยาะเย้ยเล็กน้อย “เหตุใดเจ้าต้องสนใจคนผิวเผินเช่นนั้น? เจ้าเคยรู้สึกไม่ยุติธรรมเพราะหน้าตาตัวเองหรือ? ในหน่วยสืบสวนของเรา คนที่เก่งและมีความสามารถเท่านั้นจึงจะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ไม่ว่าจะหน้าตาดีหรือไม่ดี ล้วนหาใช่สิ่งสำคัญประการใดไม่”
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนยังคงเถียงกันไม่เลิก เฟิงหยวนหนิงจึงหันหลังเดินเข้าไปในห้องครัว
อุณหภูมิที่เย็นสบายทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจขึ้นมาก แม้แต่ในครัวก็ยังเย็นฉ่ำ การทำอาหารก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าเบื่ออีกต่อไป
เคอปิงหลิงและสหายยังคงเถียงกันต่อไป โดยที่ไม่มีใครสามารถโน้มน้าวพวกเธอได้
สมาชิกหน่วยสืบสวนเปลี่ยนเรื่องและพูดขึ้นมา “พวกเจ้ารู้สึกบ้างไหม เหตุใดจู่ ๆ อากาศในร้านจึงเย็นลงเช่นนี้?”
“ไม่ใช่ข้าคนเดียวที่คิดแบบนั้นหรอกหรือ?”
“ข้าลองเอามือไปแตะหน้าต่างดูแล้ว ภายในร้านเย็นกว่าภายนอกมากทีเดียว”
“หรือว่าเถ้าแก่จะใช้เวทมนตร์ไล่ความร้อนออกจากร้านไป?”
“นอกจากเถ้าแก่แล้ว ใครไหนเล่าจะทำแบบนี้ได้?”
เคอปิงหลิงไม่ได้เข้าร่วมการสนทนา แต่หันไปพูดกับสองคนที่ถูกเธอตำหนิไปก่อนหน้านี้ว่า “เป็นเรื่องยากที่เถ้าแก่จะเอ่ยขอให้พวกเราทำบางสิ่งบางอย่าง แล้วเหตุใดเจ้าสองคนไม่รีบไปตรวจสอบ และจัดการเรื่องราวให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด”
“ทว่าข้างนอกอากาศร้อนอบอ้าว…”
“ให้นางไปคนเดียวไม่ได้เหรอ?”
เคอปิงหลิงเม้มริมฝีปากแน่น คิ้วขมวดมุ่นเข้าหากัน “พวกเจ้าช่างไม่มีความรับผิดชอบเอาเสียเลย หากเถ้าแก่สั่งให้ทำอะไร พวกเจ้าก็ต้องรีบทำในทันที จะไปกลัวร้อนกลัวหนาวอะไรนักหนา? เถ้าแก่กำลังให้โอกาสพวกเจ้าแสดงความสามารถ ยังไม่เข้าใจอีกหรือ?”
“… เจ้าค่ะ”
“เข้าใจแล้ว”
ไม่เพียงเท่านั้น
ภายในห้องพักชั้นบน
พ่อลูกตระกูลกัวกำลังพูดคุยกันเรื่องอุณหภูมิในห้องเช่นกัน
“ท่านพ่อ เมื่อก่อนยังบ่นว่าที่นี่ร้อนอบอ้าว แต่ดูสิ ตอนนี้เย็นสบายแล้วไม่ใช่หรือ? ลูกจะไม่ย้ายกลับไปอยู่ที่ไหนแล้ว ลูกจะอยู่ที่นี่” ต่อให้ถูกฆ่า เขาก็ไม่ยอมกลับไปอยู่ที่หุบเขาการแพทย์อีก หากออกไปจากที่นี่ เขาคงเหมือนปลาที่ขาดน้ำ ไม่มีทางที่จะได้กระโดดโลดเต้นอีกแล้ว
กัวอวี่ฉือมองบุตรชายตาเขม็ง “แล้วอย่างไร? อยู่หนึ่งคืนก็ต้องจ่ายเงิน 1 ตำลึง แล้วเจ้ายังอยากจะกินดีอยู่ดีอีก พ่อจะไปหาเงินจากไหนมาให้เจ้าใช้ฟุ่มเฟือย?”
กัวอี้ถังโต้แย้งอย่างไม่ยอมแพ้ “ท่านพ่อพูดปด ท่านได้เงินจากการรักษาคนไข้มากมาย แล้วทางสำนักก็ส่งมอบเงินให้ท่านพ่อทุกเดือนด้วย”
ท่านพ่อทุบตีเขาไปครั้งหนึ่งแล้ว ตอนนี้คงจะหมดอารมณ์ลงโทษอีกแล้ว… กระมัง?
“เจ้าเด็กเหลือขอ เจ้าคิดว่าหาเงินง่ายนักหรือ? รู้ไหมว่าพ่อของเจ้าต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนในการเรียนรู้วิชาแพทย์? รู้ไหมว่าการรักษาคนไข้มันยากแค่ไหน? แล้วรู้ไหมว่าการนั่งรักษาคนไข้ที่ทางเข้าหุบเขาหนึ่งวันมันเหนื่อยขนาดไหน?”
“ละ… ลูกจะตั้งใจฝึกฝน ลูกจะเริ่มศึกษาตำราแพทย์อย่างจริงจังตั้งแต่วันนี้ไป…”
“ดี! ตกลงตามนั้น!” กัวอวี่ฉือตบโต๊ะเสียงดัง แก้มกลมสั่นระริก เขาหยิบตำราแพทย์เล่มหนึ่งขึ้นมาวางบนโต๊ะ “เอาไป หากเจ้าท่องจำตำราเล่มนี้จบภายในสามวัน พ่อจะให้เงินเจ้า 30 ตำลึง หากล่าช้าหนึ่งวัน จะลดลงวันละ 5 ตำลึง”
“ท่านพ่อ!” กัวอี้เบิกตากว้างด้วยความไม่เชื่อ “ท่านพ่อจะ…”
“ทำไม่ได้ก็อย่ามาขอเงินพ่ออีก”
“ทว่า…” กัวอี้ถังกลอกตาไปมา ก่อนก้มหน้าลง “ลูกไม่จำเป็นต้องเรียนการแพทย์ ลูกจะไปฝึกวรยุทธ์แทน”
“วรยุทธ์ก็ได้ หากภายในหนึ่งเดือนเจ้าสามารถฝึกฝนจนเลื่อนชั้นได้ พ่อจะให้เงินเจ้า 100 ตำลึง แต่หากล่าช้าไปหนึ่งเดือน ก็จะลดทีละ 5 ตำลึง”
กัวอี้ถังเงยหน้าขึ้นมองด้วยความตกใจ
การพูดน่ะเป็นเรื่องง่าย แต่เมื่อต้องลงมือปฏิบัติจริง เขารู้สึกว่ามันยากเข็ญเหลือเกิน
กัวอวี่ฉือเหล่ตามอง “ทำไม? ทำไม่ได้เหรอ? หากทำไม่ได้ ก็รับเบี้ยเดือนละ 5 ตำลึงไปตลอดชีวิตแล้วกัน และเจ้าอย่าคาดหวังจะไปขอเงินจากแม่ของเจ้า เพราะข้าจะแจ้งให้นางทราบถึงเรื่องนี้เอง”
ปัจจุบันนี้ ทุกสำนักกำลังใช้วิธีการฝึกฝนลูกศิษย์ที่เหมือนกัน
ตามผลการสอบประจำปี เหล่าศิษย์จะถูกแบ่งออกเป็น 4 ระดับ คือ 1 2 3 และ 4
กัวอี้ถังอยู่ในระดับต่ำสุดคือระดับ 4 ถึงแม้พ่อแม่ของเขาจะเป็นผู้อาวุโสในหุบเขาการแพทย์ แต่เขาก็ไม่ได้รับการปฏิบัติใด ๆ เป็นพิเศษในสำนัก
ในฐานะศิษย์ระดับ 4 เขาจะได้รับเบี้ยเลี้ยงเดือนละ 5 ตำลึง
กัวอี้ถัง “…”
กัวอวี่ฉือส่ายหัวไปมา “ดูสิ เพิ่งจะพูดหยก ๆ ก็กลับคำเสียแล้ว หากทำไม่ได้ก็ช่างปะไร เมื่อใช้เงินเก็บหมดแล้ว ก็กลับไปที่หุบเขาการแพทย์ซะ”
กัวอี้ถังกัดฟันพลางกอดตำราไว้แน่น ก่อนจะเงยหน้าถาม “หากลูกทำสำเร็จทั้งสองทางล่ะ?”
ฮึ่ม เขาแค่ยังไม่เคยตั้งใจจริงเท่านั้นเอง หากไปแช่บ่อน้ำพุน้ำแข็งบ่อย ๆ ตัวเขาเองก็สามารถประสบความสำเร็จได้
“แน่นอนว่ารางวัลจะเพิ่มเป็นสองเท่า”
“ได้ขอรับ! ท่านพ่อห้ามกลับคำเด็ดขาด!” อยากให้เขาออกจากโรงแรมงั้นหรือ ไม่มีทางเป็นไปได้เสียหรอก แค่ต้องขยันขึ้นนิดหน่อยเอง เขาจะเริ่มขยันตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตู กัวอี้ถังรีบลุกขึ้นไปเปิดประตู พบว่าเป็นซิ่วเอ๋อร์ที่กำลังถือถาดอาหาร
ในถาดมีอาหารอยู่ 5 จาน ได้แก่ บะหมี่เย็นย่าง 2 ที่ วุ้นเย็น 2 ที่ และเนื้อผัดพริกไทยดำ 1 ที่
กัวอี้ถังสูดหายใจเข้าลึก รับรู้ถึงกลิ่นหอมเย้ายวนใจ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายลงคอ
เขาเดินตามซิ่วเอ๋อร์ แล้วรอให้เธอวางอาหารลงบนโต๊ะ จากนั้นจึงนั่งลงและเริ่มกินทันที
อย่างแรกที่เขาคีบขึ้นมากินคือเนื้อผัดพริกไทยดำ
อืม เนื้อนุ่ม ชุ่มฉ่ำ แต่ก็ยังคงความเหนียวของเนื้อวัวไว้ รสชาติเหมือนสเต๊กราดซอสพริกไทยดำเลย ถือว่าเป็นอาหารทดแทนสเต๊กได้เป็นอย่างดี
ก่อนหน้านี้เขาเคยกินสเต๊กมาหลายครั้งแล้ว สำหรับเขา เนื้อผัดพริกไทยดำจานนี้ถือว่าไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่
เขาจึงหันไปสนใจบะหมี่เย็นย่าง ใช้ตะเกียบคีบขึ้นมาหนึ่งคำและใส่เข้าปาก ก่อนที่ดวงตาทั้งสองจะเบิกกว้างเป็นไข่ห่าน
อร่อย!
แป้งเหนียวนุ่ม เคี้ยวเพลินจนหยุดไม่ได้
แต่ที่อร่อยกว่านั้นคือน้ำจิ้มสีแดงรสเปรี้ยวหวานและเผ็ดที่เคลือบอยู่บนแป้ง และวัตถุดิบต่าง ๆ ที่อยู่ข้างใน ทั้งแตงกวา ไก่ทอด ไข่เจียว ผักชี ผักกาดหอม ไส้กรอก
เนื้อไก่นุ่มมาก ผักกาดหอมก็กรอบ แตงกวาก็สดชื่น… เมื่อทานคู่กับน้ำจิ้มรสเปรี้ยวหวานเผ็ดแล้ว อร่อยจนหาอะไรมาเปรียบไม่ได้
ไม่คิดว่าอาหารประเภทแป้งจะทำออกมาได้อร่อยขนาดนี้ เขาถึงกับอ้าปากค้าง
ไม่รู้ว่าน้ำจิ้มรสชาติแปลกใหม่แบบนี้ทำขึ้นมาได้อย่างไร รสเปรี้ยว หวาน เผ็ด ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว กระทั่งเขาลืมวุ้นเย็นที่ตั้งใจจะกินไปเสียสนิท
ไม่นานเขาก็จัดการบะหมี่เย็นย่างนั้นจนหมดเกลี้ยง
พอทานเสร็จ เขาก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่า เฮ้ย เขาไม่ชอบกินผักชีนี่นา ทำไมเมื่อกี้ถึงได้กินเข้าไปแล้วไม่รู้สึกอะไรเลย?
เขาเงยหน้าขึ้นไปมองพ่อตัวเอง และเห็นว่ากัวอวี่ฉือกินบะหมี่เย็นย่างหมดจานแล้วเช่นกัน
หรือว่า จะลงไปสั่งบะหมี่เย็นย่างเพิ่มอีกสักชุดดี? มีแค่นี้เอง ไม่พอให้อิ่มท้อง แถมยังไม่ได้ลิ้มรสชาติอย่างเต็มที่เลย
…
ในเวลาเดียวกัน
ศาลากลางอำเภอเมืองฉางหลิง
หลังจากที่หัวหน้าตำรวจชีปั๋วหรงลงชื่อบันทึกการเข้าเวร ขณะกำลังจะพาเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาออกไปปฏิบัติหน้าที่ ก็ถูกเสมียนอำเภอเรียกไว้ “หัวหน้าชี ท่านนายอำเภอขอให้ท่านเข้าพบ เขามีเรื่องอยากพูดด้วย”
ชีปั๋วหรงสะดุ้ง “ขอรับ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
เมื่อไปถึงห้องทำงานด้านหลัง ก็พบว่านายอำเภออินกำลังนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน หน้าตาเคร่งขรึมราวกับมีเมฆฝนดำ
เมื่อเห็นชีปั๋วหรงเข้ามา ใบหน้านายอำเภออินก็ยิ่งมืดหม่นกว่าเดิม เขาตบโต๊ะเสียงดังลั่น “ข้าได้ยินมาว่า เมื่อวานเจ้าพาคนไปติดประกาศที่หน้าประตูเมือง เพื่อโฆษณาโรงแรมที่อยู่ใกล้เคียง ใครอนุญาตให้เจ้าทำเช่นนั้น?”
นามที่แท้จริงของนายอำเภออินคืออินหงต๋า เขาเป็นผู้อาวุโสที่มีรูปลักษณ์สง่างาม ไว้หนวดเครายาวสีดอกเลา แต่งกายเรียบร้อย และสวมหมวกอย่างเป็นทางการบนศีรษะ
ในฐานะหนึ่งในสมาชิกของหน่วยสืบสวนลับที่รับผิดชอบเรื่องข่าวกรอง ชีปั๋วหรงงรู้ดีว่าภายใต้หมวกของนายอำเภออินนั้น แท้จริงผมหลุดร่วงจนล้านไปเกือบครึ่งศีรษะนานแล้ว
เพื่อปกปิดความลับนี้ นายอำเภออินจึงต้องสวมหมวกต่าง ๆ มากมายทุกครั้งที่ออกจากบ้าน
ชีปั๋วหรงเตรียมคำตอบไว้แล้ว จึงตอบอย่างใจเย็นว่า “เรียนท่านนายอำเภออิน เหตุผลหลักที่ข้าทำเช่นนั้นก็เพื่อให้ชาวเมืองอุ่นใจ เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงแรมนั้นดูลึกลับมากเกินไป ข้าจึงเห็นว่าควรแจ้งให้ชาวบ้านทราบ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความตื่นตระหนกขอรับ”