Chapter 55: บททดสอบ
ค่ำคืนผ่านไป ฉินหรานและกุนเธอร์สันต่างแยกย้ายกันไปทำกิจธุระของตน
ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ฉินหรานรับปากกุนเธอร์สันและบอกให้กุนเธอร์สันกลับโรงเรียน
ฉินหรานกลับไปที่ห้องพักและทำความสะอาดก่อนที่จะหยิบหนังสือสกิลขึ้นมาจากพื้น เป็นหนังสือที่ตกจากสวาร์โก NPCs ไม่สามารถมองเห็นหรือจับต้องหนังสือสกิลได้
[พบหนังสือสกิล: สะเดาะกุญแจ]
[คุณต้องการเรียนรู้หรือไม่?]
"เรียน!"
[เรียนรู้สกิล: สะเดาะกุญแจ]
[ชื่อ: สะเดาะกุญแจ (พื้นฐาน)]
[ค่าสถานะที่เกี่ยวข้อง: ความคล่องแคล่ว, ความฉลาด]
[ชนิดสกิล: สนับสนุน]
[ผลลัพธ์: สามารถปลดล็อกง่าย ๆ ได้ด้วยกิ๊บ ลวด หรือไขควง]
[เงื่อนไขการใช้งาน: กำลังกาย]
[เงื่อนไขการเรียนรู้: ไม่มี]
[หมายเหตุ: ต้องแน่ใจก่อนนะว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้นตอนที่คุณกำลังพยายามสะเดาะกุญแจ!]
...
เป็นอีกครั้งที่ความรู้ถูกถ่ายทอดเข้าสู่สมองของฉินหราน ฉินหรานคว้าหนึ่งในกุญแจผีขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เขาสัมผัสขอบของกิ๊บติดผมด้วยปลายนิ้ว มันให้ความรู้สึกคุ้นเคยที่ทำให้ฉินหรานยิ้มกว้างออกมา แม้ว่าเขาจะผ่านขบวนการถ่ายทอดความรู้มาหลายครั้ง แต่มันก็ยังคงทำให้เขารู้สึกประหลาดใจได้ทุกครั้งที่เขาได้รับสกิลใหม่ ๆ เขารับรู้ความเปลี่ยนแปลงจากสกิล [สะเดาะกุญแจ] อย่างละเอียดก่อนที่เขาจะถอดเสื้อโค้ทออกแล้วล้มตัวนอนบนเตียง ยังพอมีเวลาอีกนิดก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น เพียงพอให้เขาพักสายตา ฉินหรานเห็นคุณค่าของการพักผ่อน เพราะเขารู้ดีว่าความสงบสุขจะกลายเป็นสิ่งหายากในช่วงเวลาวันเวลาต่อจากนี้
...
เจ็ดโมงเช้า พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ฉินหรานมาที่โรงเรียนเซนต์เปาโลอีกครั้ง
"อรุณสวัสดิ์ รี้ด!" เขาทักทายหัวหน้ากองกำลังอย่างกระตือรือร้น
รี้ดคำรามใส่ฉินหรานแต่ก็ไม่ได้หยุดเขาเอาไว้ เขายึดคำสั่งของซิสเตอร์โมนี่เหนือความรู้สึกส่วนตัว ฉินหรานไม่ถือสาการปฏิบัติอย่างเย็นชาจากหัวหน้ากองกำลัง เขาตรงไปที่บ้านพักของกุนเธอร์สันเหมือนกับเดินอยู่ในส่วนหลังบ้านตัวเอง
"อรุณสวัสดิ์ ฉินหราน! ฉันมีขนมปัง นม และน้ำผึ้งอีกนิดหน่อย! แต่ฉันชอบขาหมูย่างที่ฉันทำเองมากกว่า!"
เทียบกับรี้ดแล้ว กุนเธอร์สันนั้นยินดีต้อนรับเขามากกว่า เขาชวนฉินหรานกินอาหารเช้าด้วยกันด้วยซ้ำ โต๊ะเล็ก ๆ เต็มไปด้วยอาหาร ไม่มีใครเชื่อว่าอาหารพูนโต๊ะนี้สำหรับผู้ชายวัยใกล้แปดสิบปี มันมากพอที่จะให้ผู้ชายโตเต็มวัยสามสี่คนคนกินอิ่มด้วยซ้ำ
"ผมก็ชอบเนื้อเหมือนกัน!" ฉินหรานยิ้ม ไม่ปฏิเสธคำเชิญชวน
ผ่านเมื่อคืนมา ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ใกล้ชิดกันมากขึ้น พวกเขาเปลี่ยนจากคนรู้จักมาเป็นเพื่อน ทั้งคู่ไม่ได้พูดถึงว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น แม้ว่าซิสเตอร์โมนี่จะไม่ได้มาร่วมมื้ออาหารเช้าด้วยกัน พวกเขาก็ยังคงเก็บเรื่องนั้นเงียบไว้
เป็นอีกครั้งที่ฉินหรานเสียดายว่าอาหารทำได้แค่เติมเต็มกระเพาะเขาเท่านั้นแต่ไม่ได้ฟื้นฟูพลังชีวิตหรือกำลังกาย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาหยุดกินอย่างเอร็ดอร่อยได้ เขาเขมือบอาหารพวกนั้นลงไปราวกับพายุ กินจนกระทั่งจานเอี่ยมกริบ พฤติกรรมของเขาทำให้อัศวินผู้พิทักษ์อึ้งไปเลย
"นี่ฝีมือทำอาหารของฉันดีขึ้นขนาดนั้นเลยเหรอ?" กุนเธอร์สันถึงกับสงสัยในความสามารถของตัวเองเพราะเขาเบื่ออาหารฝีมือตัวเองแล้ว
เขามองฉินหรานอย่างประหลาดใจ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าฉินหรานแต่งตัวดี เขาคงเข้าใจผิดว่าฉินหรานเป็นผู้ลี้ภัยสงครามมา กระทั่งชาวบ้านทั่วไปก็มีกริยาพื้นฐานบนโต๊ะอาหาร อีกอย่าง ไม่มีใครมีความอยากอาหารมากขนาดนี้
แม้ว่าจะมีกุนเธอร์สันมองอยู่ ฉินหรานก็ไม่ได้รู้สึกว่าวิธีการกินของตัวเองนั้นน่าอาย อย่างไรเสีย มารยาทบนโต๊ะอาหารของเขาก็ไม่ได้ขัดแย้งอะไรกับสถานะในเกมของเขา มันก็แค่ดึงดูดความสนใจนิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้น ยังไงเขาก็เป็นแค่นักสืบ ไม่ได้เป็นขุนนางราชนิกูลอะไรพวกนั้น
กุนเธอร์สันก็รู้สึกแบบเดียวกัน เขาไม่ได้สนใจลักษณะภายนอก เขาเชื่อว่าความซื่อสัตย์ต่างหากที่เป็นเกียรติที่แท้จริงของคนคนหนึ่ง ฉินหรานเป็นคนที่มีความสามารถ และมีชื่อเสียงด้วย หลังจากที่ได้ร่วมมือกันช่วงสั้น ๆ กุนเธอร์สันก็รับรองเรื่องนั้นได้ ฉินหรานดูเป็นชายหนุ่มที่ดีคนหนึ่ง กุนเธอร์สันคิดเงียบ ๆ พลางกินอาหารส่วนของเขาลงไปด้วยความเร็วเดียวกับฉินหราน
เขาต่างจากฉินหราน แม้ว่าจะกินเร็วมากเช่นกันแต่เขาก็กินอย่างสง่างาม ฉินหรานที่กำลังร่วมมื้ออาหารกับเขาคิดว่านั่นเป็นมารยาทของอัศวิน
ฉินหรานรออย่างอดทน เขาไม่ได้มาโรงเรียนตั้งแต่เช้าเพื่อกินอาหารเช้ากับกุนเธอร์สัน แต่เพื่ออย่างอื่น
แต่ฉินหรานรู้ว่ามันเป็นมารยาท ที่ควรรอให้กุนเธอร์สันกินอาหารให้เรียบร้อยก่อน
ห้านาทีให้หลัง กุนเธอร์สันกินขนมปังชิ้นสุดท้ายและเริ่มเก็บจานชาม ฉินหรานเข้าไปช่วย เขาเพิ่งได้กินอาหารเช้าที่น่าพึงพอใจจึงยินดีตอบแทนกุนเธอร์สันด้วยวิธีนี้
หลังจากฉินหรานและกุนเธอร์สันเก็บกวาดโต๊ะแล้ว พวกเขาก็กลับออกมานั่งที่หน้าบ้านพัก ฉินหรานต้องการคุยเรื่องนี้กับกุนเธอร์สันตั้งแต่เมื่อคืนแต่ว่ามีเวลาไม่พอ พวกเขาได้แค่วางแผนคร่าว ๆ ไว้ ตอนนี้จึงจำเป็นต้องลงรายละเอียดอื่นเพิ่ม
ก่อนที่ฉินหรานจะได้เริ่ม กุนเธอร์สันก็ถามขึ้นก่อน "ฉินหราน เธอรู้อะไรเกี่ยวกับการใช้อาวุธปืนบ้าง?"
ฉินหรานซึ่งตอนแรกไม่ได้ตั้งใจฟังประหลาดใจกับคำถามมาก มันทำให้เขาเชื่อว่านี่อาจจะเป็นรูปแบบหนึ่งของการทดสอบแต่เขาไม่แน่ใจว่าแบบไหน อยู่ ๆ มันก็โผล่ออกมาจากไหนไม่รู้ อย่างน้อยก็จากมุมของฉินหราน การทดสอบแบบนี้ไม่ควรมีก่อนที่เขาจะทำภารกิจย่อยสำเร็จหรือเปล่า
ตามที่เขาคำนวณไว้แต่เดิม เมื่อเขาทำภารกิจย่อยจบ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับกุนเธอร์สันก็จะใกล้ชิดมากขึ้นและอาจจะใช้ความสัมพันธ์นั้นในการเรียนรู้สกิลได้ เมื่อนั้น การทดสอบที่พูดถึงจึงจะตามมาหรืออาจจะข้ามไปเลยก็ได้ ฉินหรานคุ้นเคยกับเส้นทางการทำภารกิจแบบนั้น แต่นี่?
แม้ว่าเขาจะถูกสถานการณ์ทำให้ประหลาดใจแต่เขาก็ต้องรีบตอบคำถาม ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมัวมาคิดหาสาเหตุ เขารีบรวบรวมความคิดและพิจารณาคำถามของกุนเธอร์สัน
มันยากที่จะตอบ ยุคสมัยของกุนเธอร์สันจบลงเพราะการพัฒนาของอาวุธปืน และวันเวลาอันรุ่งโรจน์ของกุนเธอร์สันสิ้นสุดลงก็เพราะประกายไฟสว่างจากอาวุธปืนเช่นกัน
ตัวอาวุธปืนเองนั้น นี่ยังเป็นแค่จุดเริ่มต้น อีกหลายร้อยปีให้หลังอาวุธปืนก็ยังคงยิ่งใหญ่อยู่ ฉินหรานรู้ข้อเท็จจริงพวกนี้ดี นั่นทำให้เขารู้สึกว่าคำถามนี้ตอบยาก
เขาไม่สามารถพูดได้ว่าเวลาเปลี่ยนอะไร ๆ ก็เปลี่ยน และสิ่งที่ยืนหยัดขัดขวางกลางทางก็อาจจะถูกบดขยี้อย่างไร้ปรานี การพูดแบบนั้นรังแต่จะทำให้บทสนทนาและความสัมพันธ์อิหลักอิเหลื่อมากขึ้น
ส่วนการโกหกสีขาว?
ฉินหรานเชื่อว่า การพูดความเป็นจริงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าเสมอ เขาคิดว่ากุนเธอร์สันไม่ใช่คนโง่ ในฐานะอัศวินคนสุดท้ายแห่งศาสนจักรแห่งอรุณรุ่ง เขาย่อมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรอบตัวเขาผ่านกาลเวลา ฉินหรานรู้สึกเหมือนอยู่ในสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วน เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าควรจะตอบอย่างไร
พอเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ใบหน้าของกุนเธอร์สันเริ่มบูดบึ้ง และน่าจะหมดความอดทนในไม่ช้า ระยะเวลาที่ฉินหรานใช้เพื่อตอบคำถามเริ่มทำให้เขาอารมณ์เสีย
"ยังคิดไม่ออก?" กุนเธอร์สันถามหลังเวลาผ่านไปสองนาที
"ครับ ผมคิดไม่ออกว่าควรตอบอย่างไร" ฉินหรานส่ายหน้า
มันไม่ใช่คำตอบที่น่าพอใจ ไม่ว่าเขาจะตอบว่าอะไรเขาก็คงไม่สามารถผ่านข้อทดสอบนี้ได้ เขาอยู่เงียบ ๆ อาจจะดีกว่า เขาสามารถหลีกเลี่ยงการให้คำตอบที่ไม่น่าพอใจและใช้วิธีอื่นรักษาระดับความสัมพันธ์ระหว่างกัน ยังไงซะนี่ก็ไม่ใช่เกมที่มีตัวเลือกจำกัด มันเป็นเกมที่มีความเสมือนจริงสูง ทุกอย่างล้วนเป็นไปได้
ก่อนที่ฉินหรานจะได้พูดอีก กุนเธอร์สันก็เริ่มหัวเราะ
"ไม่เลว!" เขาพูด
"ฮะ?" ฉินหรานงุนงง เขาไม่ค่อยเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น
"การเติบโตของดินปืนและเครื่องจักรไอน้ำเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็เหมือนยุคของอัศวิน ยุคใหม่ถือกำเนิดจากเศษเถ้าของยุคเก่าและรุ่งเรืองยิ่งกว่ายุคก่อน ๆ! แม้ว่าการเปลี่ยนผ่านจะมีผลกระทบในแบบของมัน แต่ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม บางสิ่งบางอย่างยังถูกเก็บรักษาเอาไว้และนั่นก็คือความเมตตา! การที่เธอบอกว่าตอบไม่ได้พิสูจน์ว่าเธอเป็นคนมีเมตตา!" กุนเธอร์สันตอบพร้อมยิ้ม ตอนนี้เขาประทับใจในตัวฉินหรานมากขึ้น
"เธอค่อนข้างมีชื่อเสียงที่ดีที่นี่ และยังมีทักษะที่ดี เธอไม่ปรานีต่อศัตรูแต่ยังคงมีความเมตตา ฉันคิดว่าก่อนที่เธอจะทำตามแผนการของเธอ เธอควรแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้... แม้ว่านี่จะเป็นยุคสมัยของดินปืนและเครื่องจักรไอน้ำ ความรู้โบราณบางอย่างก็ยังมีประโยชน์! เธอสนใจเรียนรู้ไหม ฉินหราน?" กุนเธอร์สันเสนออย่างแสนภาคภูมิใจ
"แน่นอนครับ!" ฉินหรานร้องตอบด้วยความยินดีจากใจ
เขาตอบตกลงโดยไม่คิดซ้ำสอง