บทที่ 74 เกิดเรื่องที่ไม่คาดคิด!
เมื่อกำหนดเวลาแน่ชัดแล้ว หงจุ้นก็ไม่ได้สนใจเรื่องเล็กน้อยอะไรอีก เขาออกคำสั่งในทันที
“อีกสามวัน ให้ศิษย์ทุกคนของยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์เดินทางไปยังด่านชายฝั่งทะเล เตรียมตัวสำหรับการผลัดเปลี่ยนกับยอดเขาบุปผางาม”
ศิษย์ทุกคนดูนิ่งสงบไม่มีใครแปลกใจอะไร การเตรียมตัวทุกอย่างก็เรียบร้อยดีแล้ว
ในถ้ำของหงจุ้น เขานั่งอยู่ตรงข้ามกับเฉิงชือ
“เจ้าคิดว่าเด็กน้อยฉางชิงคนนี้จะไม่ยอมอยู่ที่นี่จริง ๆ งั้นหรือ? จะต้องจับมัดไว้เลยไหม?” หงจุ้นบ่นด้วยความหงุดหงิด
หลายวันที่ผ่านมา ทั้งหงจุ้นและเฉิงชือพยายามพูดคุยกล่อมเย่ฉางชิงอย่างเต็มที่ แต่เด็กคนนี้ดูเหมือนจะหัวแข็งเกินไป ไม่ยอมรับฟังสักนิด ทำเอาสองคนปวดหัวไม่น้อย
เวลาที่เหลือก็น้อยลงทุกที หงจุ้นไม่มีทางเลือกมากนัก เขากัดฟันพูดขึ้น
“เอาเถอะ ควบคุมตัวไว้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
แม้จะไม่เข้าใจว่าเหตุใดฉางชิงถึงดื้อดึงอยากไปด่านชายฝั่งทะเลนัก แต่หงจุ้นก็เชื่อว่าเขาไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อฉางชิง อยู่ในสำนักก็ย่อมดีกว่าไปเสี่ยงอันตรายที่ด่านชายฝั่งทะเลเป็นไหน ๆ
เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ เฉิงชือก็พยักหน้าเห็นด้วย เพราะไม่ว่าจะยังไงพวกเขาก็ไม่ยอมให้ฉางชิงออกไปแน่ๆ
หลังจากตรวจสอบว่าไม่มีอะไรตกหล่นแล้ว เฉิงชือก็กลับไปยังที่พักของตน เมื่อไปถึงเขาเห็นหวังเย่ ศิษย์ของเขา กำลังฝึกฝนอยู่ในลาน
“เป็นอย่างไรบ้าง เตรียมพร้อมหรือยัง?” เขาถามถึงการเดินทางไปด่านชายฝั่งทะเล
หวังเย่ยิ้มตอบอย่างมั่นใจ “เตรียมพร้อมนานแล้วค่ะ ท่านอาจารย์ไม่ต้องห่วง”
“ดี จำไว้นะว่า เมื่อไปถึงด่านชายฝั่งทะเล ต้องเชื่อฟังคำสั่งของพี่ๆอย่าออกนอกลู่นอกทางเป็นอันขาด” เฉิงชือกล่าวเตือนด้วยความห่วงใย
เขายังไม่รู้เลยว่า เด็กสาวที่เคยเชื่อฟังเขามาตลอดกำลังค่อยๆเปลี่ยนไป
หวังเย่คนเดิมที่ไม่เคยปิดบังอะไรต่ออาจารย์ ตอนนี้กลับเริ่มปิดบังเรื่องราวต่างๆ
โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับเย่ฉางชิง หวังเย่ไม่เคยบอกความลับนี้กับอาจารย์ของตนเลย ทำให้เฉิงชือไม่รู้แผนการทั้งหมดของพวกเขากำลังทำกับหงจุ้นแม้แต่นิดเดียว
ที่แย่ไปกว่านั้น หวังเย่ยังลอบเก็บข้อมูลจากอาจารย์ของตนอีกด้วย
ดูเหมือนว่าสุดท้ายแล้วไม่มีใครจะเตรียมพร้อมรับมือกับเรื่องพวกนี้ได้จริง ๆ เหมือนกับคำเปรียบที่ว่า
"แม้ความรักของพ่อจะเหมือนภูเขาก็ถล่มลงมาได้ แต่เสื้อกันหนาวที่อบอุ่นก็มักจะมีรูรั่วเสมอ"
ดังนั้น หวังเย่และพรรคพวกของเธอก็รู้แผนการของเฉิงชือและหงจุ้นไม่ต่างอะไรกับผู้รู้แจ้ง
หลังจากที่เฉิงชือแสดงความห่วงใยแล้ว เขาก็กลับเข้าห้องไป เมื่อมองดูแผ่นหลังสูงใหญ่ของอาจารย์ หวังเย่ก็กล่าวในใจว่า
‘อาจารย์ ข้าไม่มีทางเลือกข้าจำเป็นต้องทำแบบนี้ หากไม่มีฉางชิงข้าคงอยู่ไม่ได้จริง ๆ’
ทุกคนต่างมีแผนการของตัวเอง วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว สามวันก็ล่วงเลยไปในพริบตา
คืนก่อนวันเดินทางหลังจากกินอาหารมื้อเย็นเสร็จ ศิษย์ทุกคนแยกย้ายกลับไป แต่หงจุ้นและเฉิงชือกลับมาอีกครั้ง
“เจ้าหนูฉางชิง”
“ท่านผู้นำ? ท่านผู้อาวุโสใหญ่?”
“พรุ่งนี้จะต้องออกเดินทางแล้ว ตอนนี้ก็ไม่มีเวลาจะอธิบายอะไรกับเจ้าแล้ว คืนนี้เจ้าไปพักที่ถ้ำข้าก่อน”
หงจุ้นพูดพร้อมกับคว้าตัวเย่ฉางชิงขึ้นพุ่งทะยานขึ้นไปบนยอดเขาทันที โดยมีเจ้านกกระเรียนขาวตัวเล็ก ๆ ของฉางชิงติดตามไปด้วยอย่างว่าง่าย
เย่ฉางชิงไม่ขัดขืนอะไรเพราะก่อนหน้านี้ซูเจี้ยนก็บอกเขาว่าให้ทำตามหงจุ้นไปทุกอย่าง
‘แต่เขารู้ได้ยังไงว่าท่านผู้นำจะพาข้ากลับไปที่ถ้ำ?’ ฉางชิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
การชิงตัวเขาไปมาของทั้งสองระหว่างศิษย์-อาจารย์นี้ทำให้เย่ฉางชิงรู้สึกเหมือนว่าแผนการซับซ้อนเหล่านี้กำลังแข่งกันแบบไม่มีที่สิ้นสุด พวกเขากลายเป็นเหมือนตัวละครในหนังสายลับที่กำลังวางแผนลับๆ ใส่กันอย่างไม่มีใครรู้
แรกเริ่มเย่ฉางชิงยังพยายามถามไถ่อยู่บ้าง แต่ไม่นานเขาก็ยอมแพ้และยอมปล่อยให้เรื่องทุกอย่างเป็นไปตามเกม
‘ข้ายอมแล้ว พวกท่านจะทำอะไรก็ทำเถอะ’ เย่ฉางชิงคิดในใจอย่างเหนื่อยล้า
เมื่อพวกเขาไปถึงถ้ำของหงจุ้น ปรากฏว่ามีการเตรียมห้องสำหรับเย่ฉางชิงไว้อย่างดีแล้ว
“เจ้าหนูฉางชิง เจ้าพักอยู่ที่นี่สัก2-3วันก่อน” หงจุ้นกล่าว
“ขอรับ ท่านผู้นำ” เย่ฉางชิงตอบรับอย่างว่าง่าย
หงจุ้นพยักหน้าพอใจที่เห็นเย่ฉางชิงเชื่อฟังเช่นนี้ เขาไม่กังวลว่าเด็กหนุ่มจะหนีไปไหน
เพราะถ้ำนี้มีค่ายกลคุ้มไว้อย เย่ฉางชิงไม่มีทางออกไปได้ เว้นแต่จะมีคนอย่างจ้าวเจิ้งผิงหรือหลิวซวงที่รู้วิธีเปิดค่ายกล
เช้าวันต่อมา ยานเหาะขนาดยักษ์สามลำมาถึงยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์ ยานเหล่านี้เปรียบได้กับเรือเหาะ แต่มีขนาดใหญ่กว่ามากและมีมูลค่าสูงกว่า ยานแต่ละลำมีความยาวหลายร้อยเมตร เพียงพอที่จะบรรจุศิษย์ของยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดนับหมื่นคน
เมื่อยานมาถึง ศิษย์ของยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์ก็เริ่มทยอยขึ้นยาน โดยมีเหล่าผู้อาวุโสและผู้ดูแลกำกับ ทุกอย่างดำเนินไปตามแผนของหงจุ้น ขณะที่เย่ฉางชิงยังอยู่ในถ้ำของเขา
แต่ทว่าในจังหวะนั้นเอง เจ้านิกายฉีซงก็มาถึงพร้อมกับอาวุโสใหญ่ เห็นเช่นนั้นหงจุ้นก็นิ่งไปครู่หนึ่งแต่กลับรีบเดินเข้าไปทักอย่างใจเย็น
“พี่รองพี่ใหญ่ พวกท่านมาทำอะไรที่นี่หรือ?”
“อ้อ ไม่มีอะไรมาก ข้าแค่พาอาวุโสใหญ่มาส่งศิษย์ของยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์ไปด่านชายฝั่งทะเลเท่านั้น” ฉีซงตอบพลางยิ้ม
"ส่งศิษย์? นั่นมันโกหกเห็น ๆ มีใครเขาพาอาวุโสใหญ่หอคุ้มกฏมาส่งศิษย์บ้างล่ะ?" หงจุ้นคิดในใจ
ไม่เพียงเท่านั้น พอจะส่งแล้วทำไมถึงต้องเดินเข้าไปตรวจสอบทีละห้องเหมือนหาคนซ่อนอยู่ นี่มันชัดเจนว่ากลัวเขาซ่อนใครบางคนไว้
หงจุ้นสงสัยว่าฉีซงรู้ได้อย่างไรว่าตนกำลังซ่อนใครไว้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่หวาดหวั่นเพราะเย่ฉางชิงอยู่ในถ้ำของเขา ผู้อาวุโสใหญ่ก็ไม่สามารถตรวจค้นถ้ำของเขาได้
มั่นใจเช่นนั้น หงจุ้นก็ไม่กลัวอะไร แม้ฉีซงจะค้นทั้งยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์ก็ตาม ก็ไม่มีทางหาเย่ฉางชิงเจอ
ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีแผนในใจ ส่วนศิษย์ของยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์ก็กำลังเตรียมตัวออกเดินทาง ในขณะที่ผู้อาวุโสใหญ่ก็ตรวจสอบทุกซอกทุกมุม เพื่อป้องกันการซ่อนตัวของศิษย์
ท่าทีสงบนิ่งของหงจุ้นทำให้ฉีซงเริ่มผ่อนคลายลง คิดว่าอาจไม่มีใครถูกซ่อนอยู่ เขาอาจจะคิดมากไปเอง รอยยิ้มบนใบหน้าของฉีซงก็เริ่มกลับมา เขาคิดว่าตนเข้าใจผิดไป
หงจุ้นเองก็ยิ้มอย่างพอใจในใจ "เจ้าคิดจะหาคนที่ข้าซ่อนไว้หรือ? หึ เรื่องตลก ข้าหงจุ้นจะซ่อนใครไว้ ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ตาม ก็หาตัวไม่เจอ"
แต่ในขณะที่ทั้งสองต่างผ่อนคลายลง เสียงหนึ่งก็แทรกเข้ามาจากด้านหลัง
“อาจารย์! ที่แท้ศิษย์น้องฉางชิงอยู่กับท่านนี่เอง ข้านึกว่าเขาหายไปไหนที่แท้ก็อยู่ที่นี่”
สิ้นเสียงนั้น ฉีซงหยุดนิ่งรอยยิ้มของเขาหายไป หงจุ้นเองก็นิ่งค้างส่วนเฉิงชือก็ไม่ต่างกัน
ทั้งสามคนต่างหันกลับไปดู พบว่าเป็นซูเจี้ยนที่กำลังพาเย่ฉางชิงและเจ้านกกระเรียนน้อยของเขาเดินออกมาจากถ้ำของหงจุ้น!
บรรยากาศในสถานที่เงียบสงัดไปชั่วขณะ ความรู้สึกอึดอัดแผ่ซ่านไปทั่ว
หงจุ้นรู้สึกตะลึงในทันที เขาคิดไม่ถึงเลยว่าศิษย์เอกคนสำคัญของเขาและเป็นคนใกล้ชิดจะออกมาแทงข้างหลัง เขา
หลังจากตกใจแล้ว ความโกรธที่รุนแรงก็ตามมาดวงตาของหงจุ้นเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดที่ไม่สามารถปิดบังได้
เมื่อเผชิญกับสายตาของหงจุ้นที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร ซูเจี้ยนก็รู้สึกเหงื่อไหลซึม พอเห็นสายตานั้นก็น่ากลัวจริงๆ
แต่เพื่อความอยู่รอด ซูเจี้ยนกัดฟันแน่นพยายามทำใจให้สงบและยิ้มให้เห็นอย่างฝืนๆก่อนจะพูดออกมา
“อ้อ ท่านจ้าวนิกายอยู่ที่นี่ด้วยเหรอขอรับ ข้าไม่รบกวนพวกท่านแล้ว ข้าขอพาศิษย์น้องฉางชิงไปขึ้นยานก่อนนะขอรับ”
ในขณะที่ซูเจี้ยนพยายามทำให้สถานการณ์ดูเรียบร้อยและพาเย่ฉางชิงไปยังยาน หงจุ้นยืนอยู่ที่นั่นด้วยความโกรธและความรู้สึกท้อแท้ในใจ
“เหอะ! ซูเจี้ยน เจ้าจะไปไหนก็ไป” หงจุ้นกัดฟันพูด
เขาไม่สามารถบังคับให้ซูเจี้ยนอยู่หรือตรวจสอบได้อีกต่อไป ในตอนนี้เขาต้องพยายามควบคุมอารมณ์ของตนเองและไม่ให้เกิดความผิดพลาดมากขึ้น
เย่ฉางชิงซึ่งเห็นสถานการณ์นี้ก็รู้สึกอึดอัดและตึงเครียด แต่ในเมื่อเรื่องเดินมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาก็ไม่สามารถถอยกลับได้
“ไปกันเถอะ” ซูเจี้ยนพูดเสียงเบาและพาเย่ฉางชิงและเจ้านกเรียนน้อยไปที่ยาน
ใกล้ได้เวลายานเหาะออกเดินทาง แต่บรรยากาศที่ตึงเครียดและเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน หงจุ้นยืนอยู่ที่ถ้ำด้วยความไม่พอใจและไม่สามารถทำอะไรได้
แต่พวกเขาจะต้องเดินทางไปยังด่านชายฝั่งทะเล เพื่อภารกิจที่ท้าทายและไม่แน่นอนรออยู่…!