บทที่ 512: แย่งงานกับแพนด้า! วิกฤติการการสูญพันธุ์ของวากิว!
หลังจากเดินเที่ยวบ้านไร่จนทั่วแล้วฉินหลินก็กลับไปที่คฤหาสน์และเห็นเกาเหยาเหยากับพนักงานดูอะไรบางอย่างอยู่ที่สนามกีฬา
หลี่หยวนชื่อเองก็อยู่ด้วยซึ่งตอนนี้กำลังนั่งยอง ๆ ดูอะไรอยู่ด้วยสีหน้าสงสัย
ในมือนั้นถือมือถือถ่ายสิ่งที่กำลังดูอยู่นั่นแหละ
ฉินหลินเลยเดินเข้าไปดูและเห็นไอ้เจ้าเสี่ยวหยาง เจ้าลูกจระเข้ตัวนี้มันกำลังนอนเกลือกกลิ้งไปมาอยู่บนพื้นหญ้าแพรกพร้อมกับปากก็งับกินหญ้าไปด้วยอย่างเอร็ดอร่อย
กินแล้วก็กลิ้ง กลิ้งแล้วก็กิน แววตาก็ฟิน ๆ เหมือนมึนเมาอยู่ในสรวงสวรรค์
“เถ้าแก่คะ!” เกาเหยาเหยาเห็นฉินหลินเข้ามาก็ร้องทัก
“สวัสดีค่ะเถ้าแก่!”
พนักงานเสิร์ฟอีกสองคนทักทายเขาด้วยความเคารพทันทีแล้วจากไปอย่างเงียบ ๆ โดยเห็นได้ชัดว่ากลัวจะถูกเข้าใจผิดว่ากำลังอู้งาน
หลี่หยวนชื่อก็เงยหน้ามามองฉินหลินแล้วถามน้ำเสียงแปลก ๆ “เอ่อ... เถ้าแก่ฉิน... นี่มันเกเตอร์แน่นะ เหมือนจะพึ่งเกิดด้วยแต่ก็... ประหลาด...!”
พูดไปพลางกดส่งคลิปวิดีโอที่ถ่ายเมื่อกี๊ไปให้หยวนชื่อที่สนิทกันได้ดูด้วย
อีกฝ่ายเป็นนักวิจัยที่ศึกษาในด้านสัตว์ และที่สำคัญคือศึกษาเรื่องจระเข้ด้วย บางทีอีกฝ่ายอาจรู้สาเหตุของความผิดปกติของเจ้าลูกจระเข้ตัวน้อยตัวนี่ก็เป็นได้
โคตรประหลาด จระเข้บ้านไหนวะชอบกินหญ้า
เพียงแต่ว่าเขายังไม่ได้ทำการวิจัยใด ๆ ในเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
ฉินหลินแค่ตอบยิ้ม ๆ ไปว่าไอ้เจ้านี่น่ะมันพิเศษนิดหน่อย ตอนกลายพันธุ์น่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างขึ้นนั่นแหละ!
ทว่าพอมาคิด ๆ ดูถึงความผิดปกติต่าง ๆ ของเสี่ยวหยางแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเกิดมันโตมาแล้วดูแตกต่างจากแอลลิเกเตอร์ปกติอันเนื่องมาจากสายเลือดของถัวล่ะก็เขาก็จะใช้เหตุผลนี้นี่แหละในการหลบเลี่ยง
แน่นอนว่าหลี่หยวนชื่อเองก็รู้ว่ามันต้องเป็นแบบนั้น และตอนนี้เขากำลังรอคำตอบจากเพื่อนอยู่
หลังจากคุยกับฉินหลินได้พักหนึ่ง หลี่หยวนชื่อก็กลับห้องไป และทันทีที่เข้าห้องแล้วทางเพื่อนก็โทรมาพอดี
เขารีบกดรับสายและได้ยินน้ำเสียงที่โคตรจึ้งจากปลายสายดังมา “เฮ่ยเฒ่าหลี่! ฉันว่าจระเข้ตัวนั้นมันต้องมีการกลายพันธุ์ตรงยีนที่มีผลกระทบต่อนิสัยการกินชัวร์ ๆ ไม่งั้นมันไม่เป็นงี้แน่”
“บอกเลยนะว่าการกลายพันธุ์ที่ยีนด้านนิสัยการกินแบบนี้น่ะโคตรหายาก เหมือนแพนด้าที่เป็นสมบัติชาติเรานั้นแหละที่ตอนแรกก็เป็นสัตว์กินเนื้อมาก่อน แต่นอนนี้ดันเปลี่ยนมากินไผ่แทน”
“เพียงแต่ว่าการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินอาหารของแพนด้ามันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากความจำเป็นเนื่องจากสภาพความเป็นอยู่ของพวกมัน ในตอนแรกพวกมันก็เหมือนกับหมาจิ้งจอกตรงที่เป็นสัตว์ตัวเล็กมาก ๆ และต้องออกล่ากันเป็นฝูง แต่ว่าในยุคน้ำแข็งสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงทำให้สัตว์ต่างที่ขาดแคลนอาหารมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วพออาหารขาดแคลนพวกมันก็เหลือทางเลือกสุดท้ายคือกินไผ่เพื่อเพิ่มสารอาหาร”
“แต่ก็นา มีสัตว์แค่ไม่กี่ชนิดหรอกนะที่สามารถกลายพันธุ์ด้านพฤติกรรมการกินอาหารแบบนี้ได้ ก็ดูอย่างสัตว์กินเนื้ออย่างเสือเขี้ยวดาบดิ เพราะมันไม่มีการกลายพันธุ์แบบนั้นขึ้นในสภาพแวดล้อมแบบนั้นก็เลยต้องสูญพันธุ์ไปในที่สุดไง”
“ก็แต่อีกนั่นแหละ แต่สังคมยุคปัจจุบันมันมีมั้ยล่ะไอ้สภาพแวดล้อมที่จะกระตุ้นให้เกิดการกลายพันธุ์แบบนี้ขึ้นน่ะ เพราะงั้นฉันเลยว่าเจ้าลูกจระเข้นั่นมันโคตรประหลาดสุด ๆ ไปเลย”
“ยิ่งถ้าเจ้าเกเตอร์ตัวนั้นมันกินแต่มังฯเหมือนแพนด้าและไม่กินเนื้อสัตว์อีกเลยล่ะก็ มันจะกลายเป็นปาฏิหาริย์แบบเดียวกับแพนด้าเลยนะ ถ้าจะยกย่องให้มันเป็นสมบัติล้ำค่าของชาติก็ยังไม่ใช่เรื่องเกินจริง”
“ต้องมีเหตุผลแน่ ๆ ล่ะนะ” เพราะหลี่หยวนชื่อก็เซอร์ไพรส์เหมือนกัน ไม่งั้นคงไม่ถามเพื่อนสนิทคนนี้
แล้วทางปลายสายก็ถามมาว่า “ว่าแต่นะเฒ่าหลี่ นายไปเจอเจ้าเกเตอร์ตัวนั้นที่ไหนอะ คฤหาสน์ชิงหลินเหรอ”
หลี่หยวนชื่อไม่ได้ปิดบังอะไร “ก็... ของเถ้าแก่ฉินอะเพื่อน”
ปลายสายตอบกลับมาว่า “ของเถ้าแก่ฉินเรอะ! จะว่าไปแล้วเมื่อปีกลายรัฐมนตรีหลู่แกมาหาพวกเราบอกให้เอาเอกสารข้อมูลแล้วก็หนังสือหนังหาที่เกี่ยวข้องกับสัตว์กองเบ้อเริ่มให้ เห็นบอกจะเอาไปให้เถ้าแก่ฉิน เป็นไปได้มั้ยว่าเถ้าแก่ฉินเป็นสัตว์ประหลาดของแท้ที่มีความสำเร็จด้านยีนสัตว์ด้วยน่ะ”
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ” หลี่หยวนชื่อพึ่งจะรู้
รัฐมนตรีหลู่พึ่งเอาเอกสารหนังสือทั้งหมดที่เกี่ยวกับยีนสัตว์ให้เถ้าแก่ฉินไปไม่นาน แล้วเถ้าแก่ฉินก็มีผลลัพธ์ที่รวดเร็วขนาดนี้เลยเหรอ...
แล้วผู้เฒ่าทั้งสองก็คิดมโนไปเรื่อยอยู่ในหัว
แต่ในความเป็นจริงคือฉินหลินเอาข้อมูลทั้งหมดที่รัฐมนตรีหลู่ให้มาใส่ลิ้นชักห้องทำงานแถมล็อกไว้อีกต่างหาก จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่ได้อ่านเลยด้วยซ้ำ
ปลายสายพูดขึ้นอีกครั้งว่า “ต้องใช่แน่ ๆ เพราะฉันเป็นคนรวบรวมข้อมูลทั้งหมดมอบให้เองกะมือ”
หลี่หยวนชื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดไปว่า “ถ้าเป็นเถ้าแก่ฉินก็ไม่เห็นจะน่าแปลกใจล่ะมั้ง ใคร ๆ ก็รู้ว่ารายนั้นน่ะพรสวรรค์ระดับสัตว์ประหลาด”
ปลายสายตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เอาตรง ๆ นะ ก่อนหน้านี้ฉันก็ไม่เชื่อหรอก แต่ตอนนี้ต่อให้ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อละ”
หลี่หยวนชื่อวางสายพร้อมกับความมั่นใจที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ
ก็เห็น ๆ อยู่ว่าเจ้าเกเตอร์ตัวนั้นมันพึ่งเกิด ก่อนหน้านี้เถ้าแก่ฉินคงจะแอบเลี้ยงไว้แล้วถึงค่อยเอามาปล่อยเพื่อให้มันได้ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม
เพียงแต่พรสวรรค์ของเถ้าแก่ฉินทำให้ผู้คนต้องได้ตกใจกันครั้งแล้วครั้งเล่าจริง ๆ
............................................................................................
สนามกีฬาคฤหาสน์ชิงหลิน
เจ้าจระเข้น้อยเสี่ยวหยางที่เกลือกกลิ้งอยู่กับพื้นหญ้าแพรกนั้นพอมันเห็นฉินหลินมาก็รีบวิ่งเข้ามาหาเขาที่เท้าพร้อมกับส่งเสียงอ้อแอ้ ๆ เรียกทันที
โอ๊ย ช่างบ้องแบ๊วอะไรอย่างเน้~
ฉินหลินยิ้มแล้วนั่งยอง ๆ ไปลูบหัวมันเล่น
ด้วยโบนัสคุณสมบัติบ้องแบ๊วนี่เดาได้เลยว่าเมื่อโตไปมันก็ต้องบ้องแบ๊วด้วย และพอมันโตพอแล้วมีการออกไข่... ไข่ก็จะฟักออกมาเป็นเจ้าจระเข้น้อยน่ารักบ้องแบ๊วที่เป็นสายพันธุ์ใหม่ซึ่งสามารถเอามาแย่งงานของแพนด้าได้
แล้วตอนนี้เกาเหยาเหยาที่ยังอยู่ข้าง ๆ ก็พูดขึ้นว่า “เถ้าแก่คะ หนูได้ยินมาว่าแอลลิเกเตอร์มันเป็นสัตว์คุ้มครองที่ไม่สามารถเลี้ยงแบบเป็นส่วนตัวได้ แล้วเราต้องมีขั้นตอนอะไรบ้างมั้ยคะเนี่ย”
เออเว้ยเฮ้ย
ฉินหลินก็พึ่งจะนึกได้
แต่ก็ไม่สำคัญหรอกว่ามันต้องมีขั้นตอนหรือไม่ เพราะตอนนี้ไม่มีใครมานั่งสนใจจับผิดเขาอยู่แล้ว
จนถึงตอนนี้หากยังไม่มีสิทธิพิเศษนี้อีกก็ไม่ต้องทำอะไรกินกันแล้วล่ะ
ทว่า ยังไงก็ตามการผ่านขั้นตอนที่ถูกต้องตามกฎหมายให้เรียบร้อยก็เป็นการดีกว่าอยู่ดี เพราะการทำให้ตัวเองไร้จุดด่างพร้อยอยู่ตลอดนั้นย่อมดีกว่ามีจุดด่างพร้อยให้ต้องปกปิดอยู่เสมอ อีกทั้งมันจะได้ไม่เป็นปัญหาให้เกิดเรื่องน่ารังเกียจทีหลังด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นคือแม้จะไม่สามารถเพาะพันธุ์แบบเป็นการส่วนตัวได้ก็ตาม แต่ก็สามารถนำไปเพาะพันธุ์ในสถานที่เช่นพวกสวนสัตว์ได้อยู่ เพียงแต่มันขึ้นอยู่กับว่าใบสมัครจะได้รับการอนุมัติหรือไม่เท่านั้น
แต่ในเรื่องนี้ฉินหลินคือมั่นใจมาก เพราะหากเขาให้ฟาร์มชิงหลินเป็นผู้สมัครล่ะก็จะไม่มีใครกล้ามาทำให้ติดขัดแน่นอน
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ฉินหลินก็โทรหาหลินหลานจื่อให้ไปทำเรื่องสมัครเป็นผู้เพาะพันธุ์แอลลิเกเตอร์
ตอนนี้จ้าวโม่ชิงได้มอบตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปของบ้านไร่ให้เธอแล้ว ซึ่งเธอจะดูแลแค่เรื่องการเงินเท่านั้น จากนี้ไปเรื่องเหล่านี้จะถูกส่งมอบให้กับหลินหลานจื่อทั้งหมด
หลังจากอธิบายอะไรเสร็จแล้วเขาก็วางสาย แล้วฉินหลินก็เห็นจ้าวโมชิงเดินมาพร้อมกับฉินเฟิงน้อยในอ้อมแขน
“ดูไรอยู่เหรอเธอ” จ้าวโม่ชิงถามเมื่อเห็นว่าฉินหลินกำลังนั่งยอง ๆ ดูอะไรอยู่
“ดูเจ้าอันธพาลน้อยตัวใหม่น่ะ” ฉินหลินอธิบายด้วยรอยยิ้ม
“จระเข้!”
จ้าวโม่ชิงเห็นเจ้าจระเข้น้อยเสี่ยวหยางปุ๊บก็ตกใจ “นี่เธอจะเลี้ยงจระเข้ในคฤหาสน์เนี่ยนะ ถ้ามันโตไปจะไม่เป็นอันตรายเหรอ!”
ฉินหลินส่ายหัวก่อนจะตอบยิ้ม ๆ “เจ้านี่มันเป็นแอลลิเกเตอร์สายพันธุ์พิเศษน่ะ นอกจากเชื่องแล้วก็ยังไม่กินเนื้อด้วยนะ เป็นมังสวิรัติที่ชอบกินหญ้าแพรกมาก ๆ”
จ้าวโม่ชิงก็ก้มลงมองมันและเห็นมันเกลือกกลิ้งอยู่กับหญ้าแพรกแล้วกินไปด้วย
“จิ๊ด ๆ ๆ ๆๆ!” จู่ ๆ ชื่อเหมาก็ร้องออกมาและร่วงจากไหล่ของจ้าวโม่ชิงเมื่อเห็นเจ้าจระเข้น้อยเสี่ยวหยาง แล้วมันก็เข้ามาร้องทักด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“อ้อแอ้!” เสี่ยวหยางเองก็เห็นชื่อเหมาเช่นกัน แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือมันร้องพร้อมกับถอยหลัง 2 ก้าวด้วยความกลัวหน่อย ๆ
ชื่อเหมาดูเหมือนรู้ตัวว่าเจ้าหน้าใหม่นี่ดูจะไม่ชอบตนมันก็เลยส่งเสียงแหลมพร้อมกับเดินหน้า 2 ก้าว
แต่เจ้าจระเข้น้อยกลับกลัวกว่าเดิม มันวิ่งไปหลบหลังฉินหลินพร้อมร้องเสียงอ้อ ๆ แอ้ ๆ เหมือนจะกำลังขอลี้ภัยด่วน ๆ
ฉินหลินก็อึ้งไปอีก
ก็เคยได้ยินมาก่อนว่าในหมู่จระเข้นั้นแอลลิเกเตอร์เป็นสัตว์ที่น่าอนาถ เพราะแค่แต่จะเอาชนะห่านให้ได้มันยังทำไม่เป็น สาเหตุหลัก ๆ คือไม่ใช่เพราะมันไม่มีแรงสู้ แต่มันป๊อดก็เลยโดนห่านไล่ทุบอยู่ฝ่ายเดียว
แต่ต่อให้จะกลัวห่านแค่ไหนก็เถอะ ไอ้มากลัวกระรอกตัวนิดเดียวแบบนี้มันเกินไปมั้ย
อย่าลืมว่าไอ้เจ้าจระเข้น้อยนี่มีโบนัสคุณสมบัติพละกำลัง +2 เลยเชียวนะ
ด้วยอาการปอดแหกเบอร์นี้นี่ถ้ามันไม่มีคุณสมบัติกลไกปกป้องสหาย +2 อยู่ล่ะก็ใครจะเชื่อบ้างว่าไอ้นี่มันสามารถปกป้องเพื่อนพ้องของตัวเองเป็น
“พ่อ ไอ้ ๆ ๆ!” เสียงร้องของฉินเฟิงน้อยดังขึ้น เจ้าตัวก็มองตรงไปที่เสี่ยวหยางที่อยู่ตรงเท้าของฉินหลินและพยายามยื่นมือจะไปหามันให้ได้
“เธอ เจ้าตัวเล็กคงไม่ใช่ว่าอยากเล่นกับมันหรอกนะ” จ้าวโม่ชิงขมวดคิ้วถาม
“ลองดู!” ฉินหลินเอาฉินเฟิงน้อยวางลงกับพื้น
เพราะสนามกีฬาปกคลุมไปด้วยหญ้าแพรกนุ่ม ๆ และมีคนมากำจัดแมลงและพยาธิเป็นประจำทำให้ปลอดภัยหายห่วง
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือร่างกายของฉินเฟิงน้อยนั้นแข็งแกร่งกว่าทารกทั่วไปมากเนื่องจากองค์ประกอบยีนบำรุงทารกในครรภ์ ทำให้ตอนนี้เจ้าตัวน้อยสามารถคลานเองได้แล้ว
เด็กส่วนใหญ่ในวัยนี้ทำไม่ได้
“ไอไอ้เอ้ย!” หลังจากที่ฉินเฟิงน้อยถูกวางไว้ข้าง ๆ เจ้าจระเข้น้อยเสี่ยวหยาง เจ้าตัวก็รีบคลานเข้าไปหามันอย่างมีความสุขทันที
เจ้าจระเข้น้อยก็เหมือนจะอยากรู้อยากเห็นเด็กน้อยที่กำลังคลานมาหามันอย่างมีความสุขอยู่เหมือนกัน
ท้ายที่สุดแล้วทั้งคู่ต่างก็เป็นทารกแรกเกิดเหมือนกันล่ะนะ
แต่ก่อนที่มันจะทันได้ตอบสนอง ฉินเฟิงน้อยก็กระโจนเข้าใส่และนอนทับมันไปเรียบร้อย
แต่ก็อาจเป็นเพราะพละกำลัง +2 ของมันทำให้มันไม่ได้สนใจน้ำหนักของฉินเฟิงน้อยเลย มันแค่มองฉินเฟิงน้อยอย่างบ้องแบ๊วอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นมันก็เงยหน้ามองฉินหลินแบบงง ๆ
จากนั้นมันก็หันมองฉินเฟิงน้อย แล้วก็มองฉินหลิน ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายทีโดยไม่รู้เหมือนกันว่ามันมองหาอะไรกันแน่
ทางด้านฉินเฟิงน้อยก็กอดหางของมันพลางหัวเราะกระดี๊กระด๊าอย่างมีความสุข
ชื่อเหมาก็อาศัยประโยชน์จากช่วงเวลานี้กระโดดขึ้นไปขี่หลังเสี่ยวหยาง เจ้าจระเข้น้อยก็เป็นกังวลขึ้นมาเลย แต่มันจะดิ้นก็ไม่กล้าเพราะว่าโดนฉินเฟิงน้อยกอดหางเอาไว้อยู่ สุดท้ายมันก็เลยต้องนอนลงปล่อยให้หนึ่งคนกับอีกหนึ่งตัวปู้ยี่ปู้ยำไปด้วยความปอดแหก
สภาพของมันเล่นเอาฉินหลิน จ้าวโม่ชิง แล้วก็เกาเหยาเหยาต้องหัวเราะลั่น
เอาจริง ๆ ต่อให้เป็นแพนด้าก็อาจไม่บ้องแบ๊วขนาดนี้
จ้าวโม่ชิงที่เห็นแบบนี้แล้วถึงค่อยโล่งใจหน่อย เธอไม่เชื่อว่าเจ้าจระเข้น้อยที่ตกอยู่ในสภาพนี้จะเป็นอันตรายใด ๆ ได้แล้ว
ฉินหลินเล่นกับฉินเฟิงน้อยอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ให้จ้าวโมชิงมาอุ้มเข้าไปในคฤหาสน์
เจ้าจระเข้น้อยเสี่ยวหยางที่ถูกปล่อยตัวแล้วและเห็นว่าฉินหลินกับจ้าวโม่ชิงเดินไปยังคฤหาสน์มันก็รีบสับเท้าวิ่งตามไป แต่เจ้าชื่อเหมาบนหลังก็ยังเกาะไม่ยอมปล่อย
เจ้าชื่อเหมามันเคยเป็นอัศวินขี่หมา และอัศวินขี่จิ้งจอกมาก่อน ตอนนี้มันกำลังเป็นอัศวินขี่จระเข้
ฉินหลินหยอกล้อฉินเฟิงน้อยในห้องโถงอีกครั้ง หลังจากที่จ้าวโมชิงพาเจ้าตัวน้อยไปอาบน้ำตัวเขาเองก็กลับไปที่ห้องทำงาน
พอกลับมานั่งที่ห้องทำงานแล้วก็ได้หยิบมือถือออกมาไถแก้เบื่อ
ตอนแรกก็อยากจะหาข่าวดูเพื่ออัปเดตสถานการณ์ปัจจุบันเล่น ๆ สนุก ๆ แต่ใครจะไปนึกล่ะว่าจะเจอข่าวจริงจังไปถึง 2 ข่าวติด
หนึ่งคือบริษัทเรียกแท็กซี่ถูกปรับมากกว่า 8 พันล้านหยวน ซึ่งเรียกได้ว่าเจ๋งเป้ง
อีกข่าวคือ
“เนื่องจากประเทศพลาสเตอร์ล้มเหลวในการบรรลุข้อตกลงกับประเทศเราในด้านการสนับสนุนด้านยารักษาโรคเลือดแข็งตัวที่อุณหภูมิสูงที่กำลังระบาดในสัตว์ ทำให้ตอนนี้โรคนี้ได้เกิดการปะทุโดยสมบูรณ์แล้วและทำให้ปศุสัตว์ต้องเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัววากิวของประเทศพลาสเตอร์นั้นได้รับผลกระทบหนักมาก มีวัวสายพันธุ์วากิวจากฟาร์มเลื่องชื่อหลายแห่งเสียชีวิตไปกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ โดยรวมไปถึงตัวพ่อพันธุ์ที่เลี้ยงดูอย่างระมัดระวังด้วย
เนื้อวากิวแห่งประเทศพลาสเตอร์กำลังเผชิญกับวิกฤติการการสูญพันธุ์ ประเทศพลาสเตอร์จึงกำลังเรียกร้องให้ประชาคมโลกประณามประเทศเราโดยหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจากประเทศเรา”