บทที่ 38: น่าดูชม
“ฮ่า ๆๆ” มู่ไป๋ไป่กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ไหว
ที่แท้ท่านพี่รัชทายาทของเธอในตอนที่โกรธเคืองนั้นน่ารักมาก
“เจ้ายังจะหัวเราะอีก” มู่จวินฝานส่ายหัวอย่างเอือมระอาเบา ๆ “ถ้าวันนี้ข้าไม่ได้มากับเจ้า เจ้ามีแผนจะรับมืออย่างไร?”
เด็กหญิงที่ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะแห้ง ๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
เธอจะทำอะไรได้อีกล่ะ แน่นอนว่าเธอจะต้องต่อสู้กับลี่เฟยให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย
สิ่งที่แย่ที่สุดที่เธอทำได้ก็คือ อดทนปล่อยให้ลี่เฟยระบายความโกรธใส่ตน หลังจากที่นางกลับไป เธอก็จะรีบไปฟ้องเรื่องนี้กับมู่เทียนฉง
“ในอนาคตอย่าได้ทำอะไรหุนหันพลันแล่น” มู่จวินฝานมองทะลุความคิดของคนตัวเล็ก จึงเอ่ยปากพูดสั่งสอนนางด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่ใช่ทุกคนในวังหลังจะโง่เหมือนกับเจ้า คราวหน้าหากพบเจอปัญหาอย่าได้เผชิญกับมันเพียงลำพัง”
“ไป๋ไป่ไม่ได้โง่สักหน่อย” มู่ไป๋ไป่รู้สึกมั่นใจว่าตนนั้นสามารถจัดการกับคนที่จะมารังแกเธอได้
“เอาล่ะ ๆ เจ้าไม่ได้โง่”
มู่จวินฝานมองดูเด็กน้อยที่กำลังทำหน้ามุ่ย และอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปจิ้มแก้มป่อง ๆ ของนาง
สัมผัสที่ผ่านปลายนิ้วนั้นละเอียดอ่อนและนุ่มนวล ทำให้หัวใจที่ตึงเครียดของเขาผ่อนคลายลง
เด็กหนุ่มยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ทันใดนั้นน้ำแข็งและหิมะที่เกาะอยู่ในใจของเขาก็ดูเหมือนจะละลายหายไป ซึ่งภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ผู้คนที่อยู่บริเวณโดยรอบต่างพากันอ้าปากค้าง
“อะแฮ่ม…” ซูหว่านกระแอมในลำคอ พร้อมกับถลึงตาใส่นางกำนัลที่กำลังมององค์รัชทายาทด้วยสายตาหลงใหล “ไปเอาไข่มา 2 ลูก”
เมื่อหญิงสาวหันกลับมา นางก็กล่าวกับมู่จวินฝานว่า “ขอบคุณองค์รัชทายาทที่ช่วยเหลือพวกเราในวันนี้”
“หว่านผินไม่จำเป็นต้องขอบคุณ” ทันทีที่เด็กหนุ่มเบือนหน้าหนีจากมู่ไป๋ไป่ เขาก็กลับมามีสีหน้าเรียบเฉยดังปกติ “สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ทั้งหมดเป็นเพราะข้าเป็นต้นเหตุ”
เด็กหญิงพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้ว ท่านแม่ ท่านไม่จำเป็นต้องมากพิธีกับท่านพี่รัชทายาท เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้มันเป็นเพราะความไร้เหตุผลของลี่เฟย หลานชายของนางรังแกคนอื่นและเกือบจะฆ่าหลัวเซียวเซียวด้วยซ้ำ”
ขณะที่มู่ไป๋ไป่พูดอย่างนั้น เธอก็นึกขึ้นได้ว่าหลัวเซียวเซียวยังคงอยู่ที่นี่
เธอจึงรีบเรียกอีกฝ่ายมาแล้วพูดว่า “หลัวเซียวเซียวเป็นคนดี ฉลาด และซื่อสัตย์ ตั้งแต่นี้ต่อไปเราจะเป็นสหายกัน”
เป็นที่รู้กันดีว่าหลัวเซียวเซียวเป็นหลานสาวของลี่เฟย แต่นางก็ไม่เกรงกลัวอำนาจของลี่เฟยแล้วรีบไปแจ้งข่าวให้มู่ไป๋ไป่ทราบ
ด้วยเหตุผลนี้เพียงอย่างเดียว เด็กคนนี้ก็คู่ควรที่เธอจะผูกมิตรด้วยแล้ว
“นั่นเป็นสิ่งที่หม่อมฉันสมควรทำเพคะ” เด็กหญิงที่เพิ่งตกน้ำกลับต้องวิ่งสุดแรงเกิดไปแจ้งข่าว ทำให้สีหน้าที่เริ่มดีขึ้นของนางซีดลงอีกครั้ง
“องค์หญิงหกช่วยชีวิตหม่อมฉันเอาไว้ ท่านแม่ของหม่อมฉันสอนเอาไว้ว่าบุญคุณแม้เพียงน้ำหยดเดียว ก็ควรตอบแทนดั่งสายธาร”
“เด็กคนนี้รู้ความยิ่งนัก” ซูหว่านรู้สึกสะเทือนใจหลังจากได้ยินคำพูดของหลัวเซียวเซียว
“ไม่เสียแรงที่ข้านับเจ้าเป็นสหาย” มู่ไป๋ไป่เงยหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ และมู่จวินฝานก็หรี่ตาลงมองท่าทางของคนตัวเล็ก
หลังจากนั้นองครักษ์ก็ได้นำยาทาแผลมาให้อย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มประคองใบหน้าเล็ก ๆ ของน้องสาวและทายาให้นางด้วยตัวเองจนเขาแน่ใจว่ารอยแดงนั้นจางลงมาก ก่อนที่เขาจะหยุดมือด้วยท่าทางพึงพอใจ
ก่อนออกเดินทางกลับ เขาได้ทิ้งองครักษ์เอาไว้เพื่อคอยรักษาความปลอดภัยของตำหนักอิ๋งชุนอย่างลับ ๆ
…
ในอีกด้านหนึ่ง ลี่เฟยที่ถูกมู่จวินฝานขัดขวางแผนการของนางที่จะจัดการกับหว่านผิน มันทำให้นางได้แต่กล้ำกลืนความรู้สึกโกรธเคืองเอาไว้ในใจโดยไม่มีที่ระบาย
ผลก็คือ ทันทีที่นางกลับมาถึงตำหนักชิงเหอ นางก็ได้ยินเสียงใครบางคนบอกว่าหลานชายของนางถูกตีอีกครั้ง
ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ตีนายน้อยหลัวในครั้งนี้ก็เจ้าเล่ห์มาก คนผู้นั้นตีเข้าที่ใบหน้าด้านขวาของเขา
“พระสนม ใบหน้าซีกขวาของนายน้อยบวมยิ่งกว่าซาลาเปา และรอยบวมนั้นก็ทำให้เขาพูดไม่ชัดด้วยเพคะ” นางกำนัลในตำหนักรายงานด้วยท่าทีหวาดกลัว
นางไม่คาดคิดว่าในระหว่างที่นางออกไปเอาน้ำมา นายน้อยหลัวจะถูกทำร้ายเช่นนี้
ลี่เฟยยกม่านขึ้นและเห็นหลานชายของตนนอนอยู่บนเตียง เผยให้เห็นใบหน้าซีกขวาของเขาที่เปลี่ยนไปแทบจะมองไม่ออกว่าแต่เดิมเป็นเช่นไร “...”
“พระสนม… คนของตำหนักอิ๋งชุนเป็นคนลงมืออย่างนั้นหรือเพคะ?” เฟิงหลิงอดไม่ได้ที่จะมองไปยังทิศทางที่เพิ่งจากมา “พระสนม เมื่อสักครู่นี้พระสนมไม่ได้แตะแก้มขวาขององค์หญิงหกหรอกหรือเพคะ?”
ตอนนี้แก้มขวาของนายน้อยของพวกนางกลับถูกฟาดจนกลายเป็นแบบนี้ มันไม่น่าใช่เรื่องบังเอิญ
“ตำหนักอิ๋งชุนช่างวิเศษยิ่งนัก” ลี่เฟยกัดฟันพูด “หากข้าไม่สามารถแก้แค้นได้สำเร็จ ข้าจะเปลี่ยนชื่อแซ่ของตัวเองซะ!”
…
เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืด มู่ไป๋ไป่ก็เพิ่งกินข้าวเสร็จและกำลังพลิกตัวไปมาบนเตียงพร้อมกับเจ้าส้มตัวอ้วนที่กลับมาจากการหาของกินลงท้องเช่นกัน
ขณะที่เธอกำลังจะผล็อยหลับไปก็มีการเคลื่อนไหวบางอย่างจากข้างนอก
อันกงกงมาแจ้งว่ามู่เทียนฉงให้เธอไปนอนที่ตำหนักเย่าเจิ้ง
“ข้าไม่ไปได้หรือไม่?” ยามนี้มู่ไป๋ไป่รู้สึกง่วงมากจนลืมตาแทบไม่ขึ้น
การเดินทางไปยังตำหนักเย่าเจิ้งต้องใช้เวลาเดิน 2 เค่อ ตอนนี้เด็กหญิงไม่อยากขยับตัวไปไหนเลยจริง ๆ
“องค์หญิงหก ในช่วงนี้ฝ่าบาททรงยุ่งอยู่กับราชกิจจึงไม่ได้บรรทมดี ๆ มาสักพักหนึ่งแล้ว” อันกงกงพยายามโน้มน้าวคนตัวเล็ก “ตอนนี้ขึ้นอยู่กับองค์หญิงแล้ว ให้ฝ่าบาทได้ทรงบรรทมดี ๆ สักคืนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
มู่ไป๋ไป่ขยี้ตาพร้อมกับอ้าปากหาว และนึกขึ้นได้ว่าตอนที่เธอเห็นมู่เทียนฉงเมื่อวานนี้ สีหน้าของเขาดูเหนื่อยล้ากว่าที่เคย จึงทำให้เธอรู้สึกลังเลขึ้นมาเล็กน้อย
ไม่นานคนตัวเล็กก็พยักหน้า “เอาเถอะ ข้าจะพาเจ้าส้มไปด้วย”
“ข้าไม่ไป!” แมวส้มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก “ข้าเพิ่งหนีออกมาจากสถานที่ชั่วร้ายนั่นได้ เจ้าอย่าได้ลากข้ากลับไปลงหลุมอีกเลย”
“ตำหนักเย่าเจิ้งไม่ใช่ที่ที่เอาไว้นอนสักหน่อย”
“เตียงก็แข็งเหมือนแผ่นเหล็ก”
“แล้วก็ผู้ชายคนนั้น มู่เทียนฉงไม่ยอมให้ข้าขึ้นไปนอนบนเตียงเลยด้วยซ้ำ”
เจ้าส้มบ่นออกมาไม่หยุดปาก
ทางด้านมู่ไป๋ไป่ฟังเสียงบ่นของเจ้าแมวอ้วนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
จากนั้นเธอก็คว้ามันยัดเข้าใส่กรงแล้วบอกให้อันกงกงถือกรงนั้นไปด้วย
แล้วมู่ไป๋ไป่ก็เดินไปที่ตำหนักเย่าเจิ้งในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น
ตำหนักอันหนาวเหน็บยังคงเหมือนกับครั้งสุดท้ายที่เธอมาที่นี่ ภายในตำหนักนั้นสว่างไสวด้วยแสงเทียน แต่มันกลับดูเยือกเย็นเช่นเดียวกับมู่เทียนฉง
“ทำไมมาช้านัก”
บนตั่งไม้ ฮ่องเต้หนุ่มถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกแล้ว โดยสวมเพียงเสื้อคลุมบาง ๆ เท่านั้น แล้วเขาก็ยังถอดเหมี่ยนกวานบนศีรษะออกด้วย ทำให้ผมยาวสีดำขลับของเขาถูกปล่อยลงมาคลอเคลียอยู่ด้านหลัง
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ขับให้เจ้าตัวดูอ่อนเยาว์กว่าวัยและดูอ่อนโยนกว่าปกติมาก
มู่ไป๋ไป่อ้าปากค้างทันทีที่เห็นภาพนั้น พ่อขี้โมโหของเธอมีรูปร่างที่ดีมากจริง ๆ เขามีรูปร่างสูงโปร่ง แถมตอนนี้เขายังดูเย้ายวนมากยิ่งขึ้น ซึ่งน่าดูชมมากกว่าปกติ
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ทำไมถึงมีคนจำนวนมากพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเข้าใกล้เขา แม้ทุกคนจะรู้ว่าบุรุษผู้นี้อันตรายมากก็ตาม
ถึงจะมีเงินมีอำนาจ แต่ก็ยังต้องพึ่งพาหน้าตาหาเลี้ยงชีพอยู่ดี
“ท่านพ่อ~” มู่ไป๋ไป่เอ่ยปากเรียกชายที่หน้าตาหล่อเหลาดั่งเทพเซียนเสียงหวาน
และชายคนนั้นก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นจากฎีกา เมื่อสายตาของเขามองเห็นมู่ไป๋ไป่ ดวงตาที่อบอุ่นขึ้นในตอนแรกก็มืดลงทันที
“เจ้าพามันมาด้วยทำไม?” มู่เทียนฉงขมวดคิ้วด้วยท่าทางรังเกียจ
ทางด้านเจ้าส้มเองก็กลอกตามองบน “เจ้าคิดว่าข้าอยากมานักหรืออย่างไร?”
“ไป๋ไป่พาเจ้าส้มมานอนกับท่าน” เด็กหญิงเอาแมวตัวโตออกจากกรงแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าส้มมีไขมันบนร่างกายเยอะ ดังนั้นการนอนกอดมันจึงทำให้หลับสบายขึ้นมาก”
“สกปรก” มู่เทียนฉงจับหลังคอเจ้าส้มแล้วยกลอยขึ้นกลางอากาศ “เราไม่อนุญาตให้มันขึ้นไปนอนบนเตียงเด็ดขาด”
“แง้ววว!” แมวส้มตัวอ้วนแยกเขี้ยวกางกรงเล็บของตัวเองด้วยความโกรธ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากขนาดตัวที่เกินมาตรฐานของมัน ทำให้มันขยับตัวลำบาก
“ไปให้พ้น!!”
“...” มู่ไป๋ไป่ตกใจชะงักค้าง
เมื่อเด็กน้อยเห็นว่าเจ้าส้มกำลังจะโดนผู้เป็นพ่อโยนออกไปนอกหน้าต่าง เธอก็รีบก้าวออกไปกอดต้นขาของอีกฝ่าย “ท่านพ่อ ปล่อยเจ้าส้มไปเถอะ”
“ถ้าไม่มีเจ้าส้ม ไป๋ไป่ก็จะนอนไม่หลับ”
มู่ไป๋ไป่พยายามแสดงท่าทางน่าสงสารให้ได้มากที่สุด
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เธอคุ้นเคยกับการพูดคุยกับเจ้าส้มก่อนเข้านอน ถ้ามันถูกโยนออกไป เธอคงนอนไม่หลับจริง ๆ
“เถอะนะท่านพ่อ” มู่ไป๋ไป่กะพริบตากลมโตปริบ ๆ ซึ่งมันดูน่ารักมากในสายตาของมู่เทียนฉง