บทที่ 37: บีบแก้ม
“เข้ามา สั่งสอนหว่านผินเกี่ยวกับกฎของวังหลังหน่อย”
เฟิงหลิงส่งสัญญาณให้นางกำนัล 2 คนที่อยู่ข้างหลังพร้อมกับเอ่ยปากสั่ง
นี่เป็นวิธีการทั่วไปที่พวกนางใช้เพื่อจัดการกับพระสนมในวังหลัง โดยใช้ข้ออ้าง ‘การสั่งสอนกฎเกณฑ์’ เพื่อทำให้พวกนางได้รับโทษเป็นการทำร้ายร่างกาย
พระสนมในวังต่างก็กลัวลี่เฟยกัน ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าออกมาเรียกร้องอะไรหลังจากที่ถูกกระทำ
มันจึงเป็นเรื่องปกติที่นางกำนัลของตำหนักอิ๋งชุนจะเคยได้ยินเกี่ยวกับวิธีการจัดการพระสนมคนอื่นของตำหนักชิงเหอ ดังนั้นนางกำนัลข้างกายหว่านผินจึงหน้าถอดสีทันที และพวกนางก็รีบไปรวมตัวกันอยู่รอบ ๆ ซูหว่านเพื่อปกป้องนางเอาไว้
อย่างไรก็ตาม น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ คราวนี้ลี่เฟยพาคนติดตามมามากมาย ดังนั้นเหล่านางกำนัลจึงถูกคนดึงออกไปทั้งหมดในไม่กี่อึดใจ และทุกคนก็ถูกควบคุมตัวไว้ด้านข้างโดยไม่สามารถขยับไปไหนได้อีก
“ลี่เฟย หม่อมฉันอยากจะถามว่าหม่อมฉันผิดกฎข้อไหนกัน?”
ซูหว่านพูดขึ้นมาเบา ๆ หากเป็นปกติน้ำเสียงที่นางใช้นั้นมันทำให้ผู้คนที่ได้ฟังรู้สึกผ่อนคลาย เมื่อลี่เฟยได้เห็นท่าทางของอีกฝ่ายเช่นนี้ นางกลับคิดว่าคนตรงหน้ารังแกได้ง่าย
แต่ใครจะไปคาดคิดว่าหว่านผินจะกล้าต่อต้าน
“เจ้ากำลังตั้งคำถามกับข้าอย่างนั้นหรือ!?” ลี่เฟยตะคอกเสียงดัง
“ข้าได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทให้คอยดูแลวังหลังทั้งหมด หว่านผิน การที่เจ้ากล้าตั้งคำถามกับข้า มันก็เหมือนกับเจ้าหมิ่นเกียรติของฝ่าบาท”
ซูหว่านเม้มริมฝีปากแน่นเพราะลี่เฟยหยิบยกฝ่าบาทขึ้นมาอ้าง
มันจึงเป็นเรื่องปกติที่นางจะไม่มีข้อโต้แย้ง และทำได้เพียงปล่อยให้นางกำนัลผลักนางลงกับพื้นอย่างอัปยศอดสู
ผ้าเช็ดหน้าผืนสวยที่อยู่ในมือของหญิงสาวหล่นลงกับพื้น ก่อนที่มือของนางจะถูกนางกำนัลจับเอาไว้แน่น
ทันใดนั้นร่องรอยของความโกรธก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เคยเยือกเย็นของซูหว่าน ในขณะที่นางตวัดตามองนางกำนัลที่จับตัวนางเอาไว้
“หยุดนะ ใครกล้าแตะต้องแม่ของข้า!”
เสียงเล็กแหลมของเด็กดังมาจากประตูตำหนัก
แล้วทุกคนก็หันไปมองตามต้นเสียง ก่อนจะเห็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลากำลังสาวเท้าเข้ามาโดยมีเด็กหน้าตาน่ารักอยู่ในอ้อมแขน
อีกทั้งข้างหลังของพวกเขามีองครักษ์จำนวนมากและเด็กหญิงผิวสีซีดคนหนึ่งเดินตามมา
“องค์หญิงหกมาแล้ว!”
“องค์หญิงหกรีบช่วยหว่านผินเร็วเข้าเพคะ”
“องค์หญิงหกช่วยด้วย!”
เหล่านางกำนัลในตำหนักที่ถูกจับตัวเอาไว้ก็เริ่มพากันตื่นเต้นและมองมู่ไป๋ไป่ทั้งน้ำตา
องค์หญิงหกของพวกนางอยู่ที่นี่ พวกนางมีทางรอดแล้ว!
มู่ไป๋ไป่ใช้หางตาเหลือบมองสถานการณ์โดยรอบ ก่อนจะตบไหล่มู่จวินฝานเบา ๆ เป็นสัญญาณให้เขาวางเธอลง
เมื่อ 1 เค่อที่แล้ว เธอกำลังงีบหลับอยู่ในศาลาหมิงหลี่ จู่ ๆ หลัวเซียวเซียวก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาบอกเธอว่าลี่เฟยไปหาเรื่องหว่านผินที่ตำหนักอิ๋งชุน
เธอจึงขออนุญาตอาจารย์เสิ่นกลับตำหนักทันที
ส่วนมู่จวินฝานที่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดก็เป็นกังวลว่าเด็กหญิงจะไม่สามารถจัดการเรื่องทั้งหมดได้เพียงลำพัง เขาจึงติดตามนางมาด้วย
“นี่คือองค์หญิงหกที่เขาร่ำลือกันอย่างนั้นหรือ? ได้ยินชื่อเสียงมานาน วันนี้ได้พบกันสักที” ลี่เฟยหัวเราะเยาะเย้ย
จากนั้นนางก็มองมู่จวินฝานด้วยหางตา ส่งผลให้สีหน้าของนางเข้มขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่ริมฝีปากสีแดงสดยังคงขยับไม่หยุด
“เอ๋ องค์รัชทายาทก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ”
น้ำเสียงที่ลี่เฟยใช้นั้นเหมือนกับนายน้อยแห่งตระกูลหลัวในยามที่พูดกับรัชทายาททุกประการ 2 คนนี้เหมือนเป็นแม่ลูกที่ถูกถอดออกมาจากพิมพ์เดียวกันไม่มีผิด
มู่ไป๋ไป่คิดกับตัวเองว่า ไม่น่าแปลกใจเลยที่ทำไมไอ้เด็กเหลือขอนั่นถึงไม่เคารพพี่ชายของเธอ นี่ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นชัด ๆ
“ลี่เฟย ท่านมีเหตุผลอันใดถึงพาผู้คนมากมายมาที่ตำหนักอิ๋งชุน?” มู่จวินฝานวางมู่ไป๋ไป่ลงบนพื้น แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือของนาง
เขามองไปที่หญิงสาวด้วยสายตาเย็นชา พร้อมกับทำเสียงเย็น
นี่เป็นครั้งแรกที่มู่ไป๋ไป่เห็นท่านพี่รัชทายาทโกรธขนาดนี้ และเธอก็อยากรู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
แม้ว่าคิ้วของเด็กหนุ่มจะขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แต่ใบหน้าหล่อเหล่านั้นกลับดูดุดันขึ้นชวนให้ผู้คนหลงใหลยิ่งนัก
ด้วยโครงหน้าที่เกลี้ยงเกลา คิ้วรูปกระบี่ ดวงตาสีเข้มที่ดูล้ำลึก ริมฝีปากสีอิงเถา* และจมูกได้รูป ชายคนนี้มีใบหน้าที่ทำให้ผู้คนหลงรักและอยากจะเข้าใกล้เขามากยิ่งขึ้น แต่เนื่องจากท่วงท่าที่สง่างามประกอบกับรัศมีที่น่าเกรงขามของเขา ทำให้ผู้คนไม่กล้ามองเขาตรง ๆ
*อิงเถา (樱桃) หรือ เชอร์รี่
เขาหล่อมาก แต่มู่ไป๋ไป่ก็คิดว่าเขาคือพี่ชายของเธอจริง ๆ
ต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก ลี่เฟยไม่กล้าคิดทำอะไรเกินเลยแม้ว่านางจะแสดงท่าทีดูหมิ่นองค์รัชทายาทก็ตาม แต่พออีกฝ่ายเอ่ยปากถามตน นางย่อมต้องตอบคำถาม
“ข้าได้ยินมาว่าในวันนี้ระหว่างองค์หญิงหกกับหลานชายของข้ามีความขัดแย้งกันที่ริมทะเลสาบไป่ฮวา”
“จากเหตุการณ์นี้หลานชายของข้าถูกโบยถึง 20 ครั้ง”
“ดังนั้นข้าจึงมาที่ตำหนักอิ๋งชุนเพื่อสอบถามหว่านผิน หลานชายที่น่ารักของข้าจะไปเสียมารยาทกับองค์หญิงหกได้อย่างไร ทำไมเขาจึงต้องถูกลงโทษรุนแรงถึงเพียงนั้น?”
“ตอนนั้นท่านแม่ไม่ได้อยู่ด้วยสักหน่อย ลี่เฟยมาถามแม่ของข้า แล้วท่านจะรู้เรื่องได้อย่างไร?” มู่ไป๋ไป่พูดสวนขึ้นมาขณะมองหน้าอีกฝ่าย
ตอนนี้แม่ของเธอถูกบังคับให้คุกเข่าอยู่บนพื้นแล้ว แล้วทำไมเธอจะต้องพูดดีกับลี่เฟยด้วยล่ะ?
ในเมื่ออีกฝ่ายกระทำการหยาบคายเช่นนี้ ดูเหมือนว่านิสัยของลี่เฟยจะไม่ได้ดีนัก เช่นเดียวกับหลานชายของนางที่ทั้งสารเลวและโง่เขลา
หญิงสาวเหมือนถูกเปิดเผยความจริงต่อหน้า ใบหน้าของนางจึงแข็งทื่อไปครู่หนึ่ง
นางจ้องมู่ไป๋ไป่เขม็งและพูดเสียงลอดไรฟัน “ข้าอยากจะขอบคุณองค์หญิงหกจริง ๆ ที่พูดเตือนข้า”
“ไม่เป็นไร” เด็กหญิงโบกมือเบา ๆ แบบไม่ใส่ใจ “ในเมื่อมันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน เช่นนั้นลี่เฟยโปรดสั่งคนของท่านปล่อยตัวแม่ข้าด้วย”
“หากท่านอยากรู้ว่าที่ริมทะเลสาบไป่ฮวาเกิดอะไรขึ้นบ้าง ท่านสามารถถาม—”
“ท่านสามารถถามเราแทนได้” มู่จวินฝานเอ่ยตัดคำพูดของมู่ไป๋ไป่ขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“เราเป็นคนออกคำสั่งให้โบยเด็กพวกนั้น ผู้กระทำผิดย่อมสมควรได้รับโทษ หากลี่เฟยไม่พอใจตรงไหนก็มาสอบถามเราได้”
เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพี่ชายด้วยความประหลาดใจ
เมื่อเด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงสายตาของคนตัวเล็ก เขาก็ก้มลงลูบหัวของอีกคนเบา ๆ พร้อมกับพูดปลอบว่า “อย่ากลัวไปเลย พี่จะอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ”
“ฮ่า ๆๆ! องค์รัชทายาทกับองค์หญิงหกช่างเป็นพี่น้องที่รักใคร่กลมเกลียวกันยิ่งนัก” ลี่เฟยเห็นแล้วแทบจะเก็บกักความโกรธเอาไว้ไม่ไหว
มู่เทียนฉงก็เป็นเช่นนี้ และมู่จวินฝานก็เช่นกัน
เด็กหนุ่มแสร้งทำเป็นไม่รับรู้คำพูดเสียดสีของอีกฝ่าย เขาจึงพยักหน้ารับอย่างภาคภูมิใจ “แน่นอนอยู่แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น พระองค์ก็ควรระวังตัวเองให้ดี อย่าให้ข้าจับจุดอ่อนของพระองค์ได้แม้สักวัน!” หญิงสาวเหยียดยิ้มน่ากลัว พร้อมกับดวงตาที่เขม็งมองคล้ายจะกินเลือดกินเนื้อ
มู่ไป๋ไป่ย่นคอโดยไม่รู้ตัว
ดวงตาของนางน่ากลัวชะมัด
ต่อมา ลี่เฟยหรี่ตาลงและสั่งให้คนของตัวเองปล่อยซูหว่านอย่างไม่เต็มใจ
“ในเมื่อหลานชายของข้าถูกองค์รัชทายาทลงโทษ เช่นนั้นข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก”
“หลังจากที่ข้ากลับไป ข้าจะสั่งสอนหลานชายของตัวเองให้ดี ไม่ให้เขาทำให้พระองค์ต้องขุ่นเคืองอีก!”
หญิงสาวพูดกระแทกแดกดันขึ้นมาด้วยท่าทางที่อยากจะฉีกทึ้งเด็กทั้ง 2 ออกเป็นชิ้น ๆ
จากนั้นนางก็เดินนำทุกคนออกไป ก่อนจะหยุดลงอย่างกะทันหันในตอนที่กำลังจะเดินผ่านมู่ไป๋ไป่
นางโน้มตัวลงมายิ้มให้เด็กหญิงแล้วกล่าวว่า “องค์หญิงหกช่างน่ารักน่าเอ็นดู พอเห็นองค์หญิงแล้วข้าเองก็อยากมีลูกสาวเช่นนี้”
หลังจากพูดจบหญิงสาวก็เอื้อมมือไปบีบแก้มคนตัวเล็กเต็มแรง ก่อนจะแค่นเสียงเย็นชาในลำคอ และเดินกระทืบเท้าออกไป
ขณะนี้ใบหน้าเล็ก ๆ ของมู่ไป๋ไป่นั้นบอบบางมากจนไม่สามารถทนรับสิ่งที่อีกฝ่ายทำได้
ทันใดนั้นก็เกิดรอยสีแดงขึ้นที่แก้มขาวนวลของเด็กน้อย ซึ่งมันทำให้เธอน้ำตาไหลซึมออกมาที่หางตา
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นรวดเร็วมากจนไม่มีใครทันได้ตอบสนอง มู่จวินฝานที่อยู่ใกล้ที่สุดเห็นรอยแดงบนแก้มของมู่ไป๋ไป่ก็ดวงตามืดลงทันที
“อูยยย เจ็บ…” เด็กหญิงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ขณะที่เธอกำลังจะยกมือลูบหน้าตัวเองเพื่อบรรเทาความเจ็บ มือเล็ก ๆ ของเธอก็ถูกฝ่ามือใหญ่จับเอาไว้
“อย่าขยับ” เด็กหนุ่มอุ้มน้องสาวขึ้นมาแล้วเดินไปนั่งบนโต๊ะหินด้วยสีหน้าจริงจัง
แล้วเขาก็จับคางของมู่ไป๋ไป่เบา ๆ เพื่อตรวจดูรอยบวมแดงบนใบหน้า
คนตัวเล็กรู้สึกอบอุ่นในใจเพราะท่าทางของผู้เป็นพี่ชายนั้นทำเหมือนกับว่าเขากำลังโมโหมาก เธอจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านพี่รัชทายาท ไป๋ไป่ไม่เป็นอะไร มันไม่เจ็บขนาดนั้น”
“ไม่เป็นอะไรได้อย่างไร แก้มของเจ้าบวมหมดแล้ว” มู่จวินฝานขมวดคิ้ว ก่อนจะหันไปสั่งองครักษ์ “เจ้าไปเอายารักษาอาการบาดเจ็บภายนอกที่ตำหนักของข้ามา”
“แล้วก็สั่งให้ใครสักคนไปที่ตำหนักชิงเหออีกครั้ง…”
ระหว่างนั้นมู่ไป๋ไป่แอบเงี่ยหูฟัง พลางคิดว่าทำไมพี่ชายเธอถึงต้องส่งคนไปที่ตำหนักชิงเหอ
“แล้วลงโทษหลานชายของลี่เฟยด้วยการตีเข้าที่ใบหน้าด้านขวาของเขา”
สิ่งที่ลี่เฟยเพิ่งทำก็คือการบีบแก้มขวาของมู่ไป๋ไป่
ในขณะนี้มู่จวินฝานไม่เกรงกลัวลี่เฟยเลย หากนางกล้ามาหาเรื่องคนของตำหนักอวี๋ชิง ครั้งต่อไปเขาก็จะทำแบบเดิม!
หากเขาไม่แสดงท่าทีตอบโต้กลับบ้าง เขาอาจจะทำให้มู่ไป๋ไป่ต้องขายหน้า และอีกฝ่ายก็จะกล้ามารังแกกันได้ง่าย ๆ
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: วังหลวงเริ่มเดือดแล้ววว บังอาจมาบีบแก้มน้อง อย่างนี้ต้องเอาคืน!