ตอนที่แล้วบทที่ 100 ตัดทิ้ง (4)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 102 ละครสั้น (2)

บทที่ 101 ละครสั้น (1)


[_แปลโดยแฟนเพจ ยักษา_แปร_มาติดตามในแฟนเพจ_เพื่อติดตามข่าวสารได้นะ.]

[_Thai-novel _ลงไวกว่าที่อื่น.ทุกที่ 5 ตอนแต่_จะราคาแพงที่สุด_]

[_หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้น_อีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนหรือแชร์กันเป็นคณะ_100คน. ก็อ่านไปครับ เพราะผมจะแก้แบบแปลใหม่อีกรอบแค่ในThai-novel กับเว็บอื่น ๆ และแหล่งที่ผมแปลครับ ส่วนคนที่อ่านที่อื่นก็จะได้อ่านแบบเวอร์ชั่นแรกไปนะครับ_]

บทที่ 101 ละครสั้น (1)

‘เกาะแห่งผู้สูญหาย’ ถูกยกระดับขึ้นเป็น S+

แบบนี้สูงกว่าA+ ถึง2 ระดับเลยนะ คำนวณง่ายๆ  แค่นี้

แค่ซอแชอึนหายไป แล้วเอาคนใหม่มาแทนก็ขึ้น 2 ระดับแล้ว

ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องดี ถึงขั้นเต้นรำดีใจได้เลยทีเดียว

แต่...

“······”

คังวูจินมองแผ่นสีขาวนั้นอย่างว่างเปล่า

“ระดับ S+?”

เป็นเพราะเขาเพิ่งเคยเจอระดับนี้ขึ้นมาเป็นครั้งแรก

ที่ผ่านมา สำนักงานนักสืบอยู่ระดับ A นิติจิตวิทยาอยู่ระดับ S และไม่มีระดับสูงกว่าS อีกแล้ว

แถมอย่าลืมนะว่าระดับ S ของนิติจิตวิทยา อิทธิพลของมันล้นเหลือเกินจนเกือบจะเกินความคาดหมาย เพราะรวมรายละเอียดเล็กๆ  น้อยๆ  แล้วมันก็ทำลายสถิติเรตติ้งไปถึง25% เลยนะ

ฉะนั้น วูจินคิดว่าระดับ S มันคือสูงสุดแล้ว

แต่ความคิดนั้นมันเร็วไปหน่อย มิติว่างเปล่า มันสร้างความพลิกผันให้วูจินอีกครั้ง เหมือนกับกำลังพูดว่า ‘นายจะมาตัดสินฉันเหรอ?’ อะไรประมาณนั้น วูจินที่ยังคงตาโตยิ้มออกมา

“ว้าว- ระดับ S+ อ่ะ งั้นระดับสูงกว่านี้มีอะไรอีกหรอ?”

แต่เอาจริงๆ  คิดไปก็ไม่มีความหมายหรอก เพราะมิติว่างเปล่า มันมักจะพลิกโผโลกของคังวูจินเสมอ เกินความเข้าใจไปหมด ตอนนี้แค่ดีใจก็พอ

“สุดยอดไปเลย มิติว่างเปล่า”

พร้อมๆ  กับนั้น คังวูจินก็รู้สึกภูมิใจในตัวเอง เหมือนว่าเขาเริ่มรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นคนทำให้ ‘เกาะแห่งผู้สูญหาย’ คืนชีพประมาณนนั้นมั้ง? ไม่สิ มากกว่านั้นอีก เหมือน ‘เกาะแห่งผู้สูญหาย’ กลายเป็นเกาะที่แข็งแรงขึ้นไปอีกหลังจากเขาคืนชีพมัน

เอาล่ะ- ถ้างั้นลองมาจินตนาการถึงอนาคตดูสิ

เผลอแป๊บเดียว คังวูจินก็ยิ้มกว้างในขณะที่ลบช่องสี่เหลี่ยมขาวที่เรียงกันอยู่ตรงหน้า ซึ่งเขาใช้ในการจดรายชื่อผู้ต้องสงสัย คังวูจินก็พึมพำออกมาเบาๆ

“รอเดี๋ยวนะ ’นิติจิตวิทยา’ได้เรตติ้ง 25% ไปแล้ว ถ้าหนังระดับ ‘S+’ แสดงว่าจะได้คนดู10 ล้านคนไปแบบง่ายๆ เลยสินะ?”

10 ล้านคน มันมากขนาดนี้แล้วจะไปถึงตรงไหนได้อีก แม้จะคาดเดายาก แต่เขาก็พยายามวิเคราะห์ออกมาให้ได้ ความสนุกขนาดนี้มันก็ไม่เลว ต่อมา คังวูจินก็เริ่มนึกภาพในหัวไม่หยุด

แน่นอน ทุกอย่างมันเจ๋งไปหมด

แล้วเขาก็พลันนึกถึงฮายูรา นักแสดงหญิงระดับท็อปที่ไม่เคยเจอมาก่อน เธอไปถึงฮอลลีวูดแล้วด้วย ถึงสถานการณ์จะไม่ค่อยดี แต่ก็ไม่เท่ากับเมื่อก่อน เธอปรับตัวเข้ากับวงการนี้ได้แล้วหรือเปล่า คังวูจินพยายามกดความตื่นเต้นลงแล้วหันกลับมามองความเป็นจริง

ยังคงเป็นชเวซองกุนที่ขับรถตู้วิ่งอยู่บนท้องถนน และวูจินผู้ไร้สีหน้าก็เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างก็พึมพำในใจ

‘ฮายูราเป็นคนยังไงนะ อืม คงจะรู้ก็ต่อเมื่อเจอหน้าล่ะมั้ง’

ในวันเดียวกัน บริษัทภาพยนตร์อีอูลลิม เวลาเที่ยง

ชเวซองกุน ผมหางม้าเดินเข้าไปในห้องประชุมขนาดใหญ่ของบริษัทภาพยนตร์อีอูลลิม ห้องประชุมเงียบสงบที่กลางโต๊ะประชุมรูปตัวยู

“ยินดีต้อนรับครับ CEO ชเว”

ผู้กำกับควอนกีแท็กนั่งอยู่ ต้อนรับชเวซองกุนทันทีที่เห็น เขายิ้มแย้มออกมาด้วย แต่ลึกๆ ในนั้นมีความหนักอึ้งอยู่ ต่อจากนั้น ชเวซองกุนก็ทักทายผู้กำกับควอนกีแท็กอย่างสุภาพ

“หู- วุ่นวายจริงๆ”

ขณะนั่งลง พร้อมกับถอนหายใจ ผู้กำกับควอนกีแท็กก็เกาหัวที่เต็มไปด้วยเส้นผมหงอก

“สถานการณ์ค่อนข้างวิกฤตนะคะ ทั้งตัวผม บริษัทภาพยนตร์ และบริษัทจัดจำหน่ายต่างก็...”

“แน่นอนว่าภายนอกอาจจะดูไม่เกี่ยวข้องกันเลย...”

“แต่ภายในคงต้องจัดการให้เรียบร้อย”

“ก็ตามนั้นแหละ ภายในสัปดาห์หน้าจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย”

ผู้กำกับควอนกีแท็กพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลพลางลูบแก้มตัวเอง แล้วถาม

“งั้นลองเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังหน่อยสิ บอกตามตรง ผมไม่คาดคิดว่าคุณวูจินจะเข้ามาเกี่ยวข้องก็เลยรู้สึกสงสัยมาตลอด”

ชเวซองกุนทำท่าเหมือนกำลังคิดหนัก

“คุณควอนกีแท็ก คงจำเรื่องผู้กำกับวูฮยอนกูคงจำได้ใช่ไหมครับ?  แน่นอนว่าคงจำได้อยู่แล้ว”

ผู้กำกับควอนกีแท็กเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าราวกับว่าเป็นความทรงจำที่ไม่ค่อยดีนัก

“อืม... จำได้”

“ครับ คือว่าคุณวูจินเคยปฏิเสธข้อเสนอของผู้กำกับวูฮยอนกูแบบไม่ใยดีเลยครับก่อนที่เขาจะล้มเหลว”

“รู้ครับ ผู้กำกับวูฮยอนกูเล่าเอง”

“อย่างนั้นเหรอครับ?”

“อืม... ผมจำได้ว่าเขาเล่าให้ฟัง มีเด็กใหม่หน้ามึนๆ  คนหนึ่งมันด่าเขา เค้าเลยโวยวายใหญ่เลยล่ะ หลังจากนั้นเรื่องก็เกิดขึ้น”

“อ๋อ งั้นเหรอ ผมไม่รู้เรื่องเลย”

ชเวซองกุนที่รูเรื่องทั้งหมดแล้ว ก็เปิดปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง

“คุณรู้หรือเปล่าว่าวูจินด่าผู้กำกับวูฮยอนกูทำไม”

“อาจจะเพราะไปบุกเข้าไปในรอบออดิชั่นแบบไม่มีอะไรเลยก็ได้มั้ง”

“เปล่าครับ ที่จริงวูจินพูดแค่ประโยคเดียวตอนนั้น ‘รู้สึกไม่ค่อยดีเลย’ ซึ่งปกติเขาก็เป็นคนแปลก ๆ แบบนี้แหละครับ”

“..... อืม?”

ผู้กำกับควอนกีแท็กขมวดคิ้ว เพราะไม่เข้าใจสักนิด ชเวซองกุนจึงเริ่มอธิบายแบบสั้นๆ  แม้จะไม่ละเอียด แต่ก็ได้ใจความสำคัญ ทั้งเรื่องของผู้กำกับวูฮยอนกู และเรื่องของซอแชอึน เพียงแค่พูดแค่สองเรื่องนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้กำกับควอนกีแท็กตกใจแล้ว

เรื่องทั้งหมดพอมาประสานเข้าด้วยกัน ก็ทำให้ผู้กำกับควอนกีแท็กรู้สึกช็อกจริงๆ

“หมายความว่าไม่ว่าจะเป็นตอนที่ผู้กำกับวูฮยอนกูหรือครั้งนี้ ก็เป็นฝีมือคุณวูจินอีกแล้วสินะครับ”

“ใช่ครับ เหมือนกับหัตถ์ทองของไมดัสเลยครับ คงมีมาตั้งแต่เกิดแล้ว แล้วค่อยๆ  เผยออกมาทีละน้อย”

“แบบสัญชาตญาณงั้นเหรอครับ?”

“น่าจะเป็นอย่างนั้นครับ แน่นอนว่าไม่ใช่พลังวิเศษอะไรหรอกครับ ครั้งนี้ก็ไม่ได้รู้ทุกอย่างขนาดนั้นหรอก แต่แน่นอนว่า…”

“ฟังดูเหลือเชื่อจริงๆ  นะครับ ฝีมือการแสดงระดับนั้น แล้วก็ยังมีสายตาในการเลือกคนและผลงานอีก”

“ครับ”

“จะว่าไป ผมรู้สึกว่าแววตาคุณวูจินจะต่างออกไปนิดๆ  นะครับ เหมือนกับไม่ใช่คนในวงการนี้เลย”

ตรงนี้เอง ผู้กำกับควอนกีแท็กก็นึกถึงPDซงมันวูขึ้นมา คนผู้ที่ซึ่งแพร่เชื้อความเข้าใจผิดเกี่ยวกับคังวูจินกระจายออกไปทั่ว ผู้กำกับควอนกีแท็กพลันนึกถึงคำพูดหนึ่งของPDซงมันวู

“นั่นน่ะสิ เขาคนนั้นมีสัมผัสที่เฉียบคมที่อธิบายด้วยคำพูดไม่ได้เลย รู้สึกว่าราวกับมีพลังวิเศษจริงๆ”

ตอนนั้นผู้กำกับควอนกีแท็กงงๆ  นิดหน่อยไม่รู้ว่าหมายความว่ายังไง ก็เลยพยักหน้าผ่านๆ  ไป แต่พอตอนนี้มานึกดูคำพูดตอนนั้นกับสถานการณ์ตอนนี้ มันก็เชื่อมโยงกันได้พอดิบพอดี

“อ๋อ หมายถึงแบบนี้เองสินะ...”

“ครับ?”

“เปล่า ผมแค่พูดกับตัวเอง”

“อ๋อ”

ผู้กำกับควอนกีแท็กยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

‘ยิ่งแกะ ยิ่งแงะดู ก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเด็กคนนี้เป็นยังไงกันแน่ เพิ่งเคยเจอแบบนี้ครั้งแรกเลยนะเนี่ย’

พอตรวจสอบทุกอย่างครบแล้ว ผู้กำกับควอนกีแท็กก็พึมพำออกมาเบาๆ

“อืม-”

แล้วจึงสบตาชเวซองกุนที่อยู่ตรงข้าม ซึ่งตอนนี้ดูผ่อนคลายขึ้นเยอะ

“ดูเหมือนผมคงจะติดหนี้จากวูจิน และCEOชเวมากพอสมควรแล้วสิ ผมขอบใจจริงๆ  จากใจจริงเลย”

เหมือนรอคำพูดนี้มานาน ชเวซองกุนโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย

“คุณผู้กำกับครับ เรียกว่าการช่วยเหลือน่าจะดีกว่าหนี้อยู่นะครับ”

“ฮึๆ ถูกต้องแล้วครับ ช่วยเหลือมากกว่าหนี้สินะครับ ผมก็ไม่อยากจะปล่อยผ่านไปเฉยๆ  เหมือนกัน หากก่อหนี้ก็ต้องชดใช้สินะ เราก็ต้องทำงานด้วยกันไปนานๆ  อย่างนี้แหละครับ งั้นลองบอกมาสิว่าคุณต้องการอะไร?”

บรรยากาศในตอนนี้เหมือนกับการเจรจาต่อรอง เริ่มต้นด้วยชเวซองกุน

“ผมขอปรับเรื่องค่าตัวของวูจินนิดหน่อยครับ”

“ขอขึ้นค่าตัวเหรอ?”

“ครับ เรื่องตัวเลขคุณผู้กำกับเป็นคนตัดสินใจก็ได้ครับ”

“จะชดใช้หนี้ ก็ต้องให้สมกับที่ได้รับ-”

ผู้กำกับควอนกีแท็กเริ่มนึกอะไรออกในทันที

“คิดว่าค่าตัวในการฉาย เป็นไงล่ะครับ”

ค่าตัวในการฉายในสัญญาของวูจินมีแค่ค่าตัวเท่านั้น ไม่ได้ระบุค่าตัวในการฉาย

“เพิ่มค่าตัวในการฉาย ไปอีก 100 วอน”

แป๊บหนึ่งนะ ลองนึกดูสิ ค่าตัวฉาย 100 วอนดูน้อยไปหน่อย แต่จริงๆ ไม่ใช่เลยนะ ต้องมีเรื่องของจุดคุ้มทุน และค่าใช้จ่ายแบ่งกับบริษัท บวกกับค่าใช้จ่ายอื่นๆ  อีกเพียบ แต่คิดแบบง่ายๆ  คนดู 1 คน ค่าตัวฉาย 100 วอน คนดู 1 ล้าน ก็ 100 ล้าน คนดู 10 ล้าน ก็ 1000 ล้าน

ยังไม่รวมค่าตัวจากในสัญญาอีกนะ

เงื่อนไขแบบนี้เป็นเงื่อนไขของนักแสดง ระดับ A ไปจนถึงระดับ S เท่านั้น

ช่วงนี้ในวงการหนัง นักแสดงระดับท็อปมักจะมีเงื่อนไขอยู่ 2 แบบ ค่าตัวฉาย และ ค่าเฉลี่ยรายได้ ค่าเฉลี่ยรายได้นั้น เขาจะได้ส่วนแบ่งประมาณ 6 - 7% ของกำไร นั่นก็คือ เหมือนกับเอาเงื่อนไขที่เป็นของนักแสดงระดับท็อปติดให้กับคังวูจินนั่นเอง

เรียกได้ว่าเป็นกรณีพิเศษ และเป็นการดูแลเป็นพิเศษจริงๆ

อย่างไรก็ตาม ค่าตัวฉายมันเหมือนดาบสองคม ถ้าหนังไม่ประสบความสำเร็จ วูจินก็ไม่ได้เงินสักวอนนอกเหนือจากค่าตัว ถึงอย่างนั้นชเวซองกุนก็คิดว่าเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจอยู่

" ‘เกาะแห่งผู้สูญหาย’ ที่วูจินเลือกเองนี่นาไม่น่าจะธรรมดาหรอก แถมยังมีผู้กำกับควอนกีแท็ก กับนักแสดงชื่อดังอีกเพียบ คงไม่ใช่แค่ค่าตัวที่เพิ่มขึ้นหรอก แต่รายได้น่าจะดีแน่เลย"

แต่ชเวซองกุนไม่จบแค่นี้

“ดีครับ แต่คุณผู้กำกับ ผมว่าลองเพิ่มออปชั่นให้ผมอีกอย่างสิ เพราะผมชอบมองไปที่อนาคตมากกว่า”

“ออปชั่น?”

“ใช่ครับ เอาเป็นซื้อรถให้วูจินสักคันแบบดีๆ  สิครับ”

ผู้กำกับควอนกีแท็กหัวเราะเสียงดังทันทีที่ได้ยินคำว่าออปชั่น

“ฮ่าๆ ได้ครับ เดี๋ยวผมจะเพิ่ม ‘รถดีๆ  สักคัน’ เป็นออปชั่นในสัญญาด้วย”

สิ่งที่เขาทำไปก็เหมือนช่วยชีวิตหนังที่กำลังจะตาย แค่นี้จิ๊บๆ  เลย เขาทำหน้าเหมือนกำลังคิดอยู่ แล้วจู่ๆ  ก็หัวเราะเบาลงพร้อมกับเปลี่ยนเรื่อง

"อ่า ลืมบอกเรื่องหนึ่ง"

"ครับพูดมาเลยครับ ผู้กำกับ"

“คราวนี้ คุณฮายูราจะเปลี่ยนมารับบทบาทแทน ผมไม่เคยคิดเลยนะ คือ...จริงๆ  แล้วผมให้คุณฮายูราเล่นเป็นดารารับเชิญ แล้วทีนี้ ตอนนี้ตำแหน่งนั้นก็ดันว่างแล้วน่ะ คือ ผมเลยอยากจะถามว่าคุณฮเยยอนถ่ายนิติจิตวิทยาเสร็จแล้วใช่ไหม?”

ชเวซองกุนรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร

‘อืม นี่แหละ…’

ชเวซองกุนพยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้

“ครับ ผมเข้าใจแล้ว เดี๋ยวผมจะไปเช็คตารางกับฮเยยอนให้ครับ”

โดยรวมแล้ว เรียกได้ว่าเป็นข้อเสนอที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งสำหรับบริษัทบันเทิง bw

ต่อมา

เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก เพราะมีเหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้น รวดเร็วและน่าตกใจ แต่หากจะให้เล่าให้ฟัง คงต้องเริ่มต้นจากซอแชอึนที่ปิดปากเงียบมาตลอดทั้งวันนี้

『[ข่าวร้าย] “ซอแชอึน” ที่เงียบมาตลอด ปล่อยแถลงการณ์ผ่านเว็บไซต์ของค่าย』

ตอนดึกทางต้นสังกัดออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ แต่ความสนุกมันไม่มีเลย เหมือนเดิม มีข้ออ้างมากมายที่คลุมเครือแบบน้ำกับน้ำ

แต่ ‘PowerPatch’ ไม่ยอมง่าย ๆ

สาดข่าวต่อเนื่องถึง 3 ครั้ง ครั้งนี้เป็นข่าวที่รวมทั้งหลักฐานและพยาน ดังนั้น วันที่ 30 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของเดือนมิถุนายน

『[ข่าวทางการ] ‘คดีใช้โปรโพฟอลเป็นประจำ’ ซอแชอึนจะถูกเรียกสอบปากคำโดยตำรวจในอีกไม่กี่วัน』

สุดท้าย ตำรวจและอัยการก็ลงมือแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าค้นบ้านซอแชอึน และจะเรียกเธอไปสอบปากคำ ผลออกมาอย่างไรก็ต้องรอลุ้นกันอีกสักพัก แต่ถึงแค่นี้ก็

『 ‘ซอแชอึน’ ทุกอย่างหยุดชะงัก ตั้งแต่โฆษณาไปจนถึงภาพยนตร์ ค่าเสียหายมีเท่าไหร่กันนะ? 』

เรียกว่าชีวิตนักแสดงของซอแชอึนจบลงแล้วก็ไม่แปลก

ช่วงนี้ คังวูจินได้รับเพลงประกอบละครเรื่อง ‘เพื่อนชาย’ ไปแล้ว เพลงที่ได้คือแบบเดโม โดยผู้แต่งทำทำนองและเนื้อร้องเสร็จเรียบร้อย ผู้ที่ส่งเพลงมาคือ ผู้กำกับชินดงชุน

“วูจินครับ งานยุ่งอยู่แน่ๆ  แต่พยายามฟังและทำความคุ้นเคยให้ได้มากที่สุดนะครับ การอัดเสียงจะทำกันในสัปดาห์นี้ ถ้ารู้สึกเหนื่อยเกินไปก็อัดทีหลังได้นะครับ อย่ากดดันตัวเองนะ”

คังวูจินได้เพลงมาทั้งหมดสองเพลง เพลงแรกเป็นแบบเดี่ยว ส่วนเพลงที่สองเป็นเพลงคู่ วูจินก็คิดในใจว่า

‘ดีมากเลยแฮะ ? ? ติดหูมากๆ เลยด้วย’

นี่เป็นช่วงเวลาที่เพลงโปรดของเขากำลังจะเปลี่ยนไป คังวูจินฟังเพลงเดโมเหล่านี้เรื่อยๆ  ตลอดเวลาว่าง ระหว่างที่ทำงาน เขาชอบฮัมเพลงด้วย เพื่อให้ตัวเองคุ้นเคยกับเพลงเหล่านี้

เวลาผ่านไปหลายวัน

เดือนมิถุนายนที่คึกคักผ่านพ้นไป เดือนกรกฎาคมเริ่มต้นขึ้นพร้อมกับการดำเนินงานมากมาย อากาศร้อนจัดเป็นช่วงฤดูร้อน วันแรกของเดือนกรกฎาคมมีทางเลือกที่น่ายินดีรอคังวูจินอยู่

“วูจิน นายเลือกคันที่อยากได้แล้วใช่ไหม หลังจากหักค่าตัวออกไป ก็เลือกเอาตามใจชอบเลยนะ”

“อ่า กำลังเลือกอยู่ครับ”

“เลือกสบายๆ  ตามใจชอบได้เลย ไม่ว่าจะรถเกาหลีหรือรถต่างประเทศก็ได้ แต่ถ้าเป็นไปได้รถต่างประเทศน่าจะดีกว่านะ”

วูจินได้โอกาสจะมีรถเป็นของตัวเองเป็นครั้งแรก และไม่ใช่เงินของตัวเองด้วย เป็นรถที่คนอื่นซื้อให้ ถึงจะได้สิ่งที่ควรได้ แต่เขาก็เผลอโยกย้ายร่างกายไปมาอย่างมีความสุขอยู่ข้างในใจ

‘เมื่อไม่กี่เดือนก่อนยังคิดว่าจะต้องเป็นคนเดินเท้าไปตลอดชีวิต แต่ตอนนี้ จะได้รถต่างประเทศเลยเหรอ?’

ไม่คิดว่าจะมีวันนี้ ชีวิตของเขากำลังดีขึ้นเรื่อยๆ  อย่างไรก็ตาม วูจินเลือกบริษัท B รถต่างประเทศที่ราคาเหมาะสม แม้จะไม่ใช่รถในฝัน แต่ก็เป็นรถที่เขาคิดว่าดี ระบบการซื้อคือ บริษัทบันเทิงbwจะซื้อก่อน แล้วบริษัทภาพยนตร์อีอูลลิมจะชำระเงินในภายหลัง

หลังจากนั้น วันที่ 2 กรกฎาคม วันพฤหัสบดี

ตารางงานของคังวูจินในวันที่ 2 เต็มไปด้วยการทำงานตั้งแต่เช้าจนถึงบ่ายแก่ๆ  นั่นคือการอัดเสียงเพลงประกอบละคร "เพื่อนชาย" อย่างเป็นทางการ วันนี้แค่เพียงอัดเสียงร้องเท่านั้น ดังนั้นทีม "เพื่อนชาย" ทุกคนจึงมารวมตัวกันที่สตูดิโอ แน่นอนว่าผู้กำกับชินดงชุนกับผู้อำนวยการดนตรีคอยควบคุม ส่วนผู้จัดการทั่วไปคิมโซฮยาง นักเขียนชเวนานา และคนอื่นๆ อยู่ในสถานะผู้ชม

เพราะเป็นการอัดเสียงอย่างเป็นทางการ ทุกคนจึงดูเคร่งเครียด

แล้ว...

-ฟึบ

เสียงร้องในช่วงเริ่มต้นก็มาจากคังวูจินวูจินที่สวมหมวกปิดหน้าเข้าไปในห้องเสียง ภาพที่เห็นเหมือนกับตอนทดสอบ แต่ความรู้สึกในใจเขานั้นแตกต่าง

‘ฮึ้บ ฮึ้บไม่เป็นไรน่า ฉันไม่ตื่นเต้นมากขนาดนั้นหรอก อย่าคิดมากว่าจะต้องทำแบบนี้แบบนั้น แค่ทำอย่างสบายๆ  ก็พอ’

เพลงประกอบละครครั้งแรกของเขา เขากำลังจะได้มีเพลงที่มีเสียงร้องของตนเองปล่อยออกไปสู่โลกได้ วูจินทำหน้าตาเนียนๆ  เหมือนกำลังทำตามคอนเซ็ปต์อันแสนเย็นชาของตัวเอง เพื่อพยายามทำให้หัวใจที่เต้นรัวสงบลง เขาควบคุมความสั่นไหวของร่างกายได้เร็วกว่าที่คิด สงสัยว่าคงเพราะการฝึกฝนแสดงมานานสินะ

ผ่านไปสักพัก

“อ่า วูจิน คุณได้ยินชัดใช่มั้ย?”

“ได้ยินครับ”

วูจินได้ยินคิวของผู้กำกับเพลงจากหูฟังที่ใส่อยู่

“เนื่องจากเป็นครั้งแรก เราเลยจะลองไปยาวๆ เลยนะ ถ้าผิดเนื้อร้องก็ไม่เป็นไร คุณแค่ร้องจนจบได้เลยนะ โอเคไหม?”

“ครับ”

ผู้กำกับเพลงพยักหน้าและปรับเครื่องดนตรี เพลงเดี่ยวของคังวูจินเริ่มขึ้น

-♬♪

ความรู้สึกมันคุ้นเคยแล้ว ไม่รู้สึกแปลกเลย เพราะเขาชอบฟังมันบ่อยและฮัมตามตลอดนี่นา ทำให้เพลงนี้ดูคุ้นเคยกับเขามาก จากนั้น เขาก็เปิดดูเนื้อเพลงบนโทรศัพท์มือถือและเริ่มร้องตามจังหวะ เพลงเริ่มต้นอย่างแผ่วเบา แต่ค่อย ๆ เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ

ตอนนี้ทุกคนกำลังโยกหัวตามจังหวะกันอยู่ ขณะเดียวกัน ผู้กำกับเพลงที่อยู่ข้างนอกบู้ทก็พูดกับผู้กำกับชินดงชุน ว่า

“ร้องดีนะ ปกติคนที่มาอัดเสียงครั้งแรกจะติดขัดตอนช่วงท่อนแรก แต่วูจินนี่ร้องได้เนียนเลย อารมณ์ก็ดีด้วย”

“อืม เพลงนี้เหมาะกับน้ำเสียงของวูจิน จริง ๆ  เสียงมันต่างจากตอนร้องนำแนวทางเลย”

“ถ้าร้องได้เนียนขนาดนี้คงไม่ต้องเหนื่อยแก้กันมากในวันนี้นะ”

สองคนกำลังประเมินเสียงร้องของคังวูจินอย่างใจเย็น

ในขณะเดียวกัน คิมโซฮยาง รวมถึงนักเขียนชเวนานา กับคนอีกสิบกว่าคน ก็จ้องมองคังวูจินที่อยู่ในบู้ทอย่างไม่กระพริบตา ฮวาลิน ก็หลับตา ที่ตลกคือไม่มีใครพูดอะไรออกไปเลย

ทุกคนเหมือนแค่เพลิดเพลินกับการฟังเสียงร้องของคังวูจิน

เสียงร้องของวูจินค่อยๆ  สูงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดสูงสุด เสียงสูงของคังวูจินดังก้องไปทั่วสตูดิโอ

-♬♪

ชเวซองกุนที่มัดผมรวบไว้ด้านหลังนั่งอยู่มุมสตูดิโอ เขามองไปที่ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ  เธอใส่แว่นกรอบหนา ใบหน้าของเธอแปลกตา ชเวซองกุนถามเบาๆ

“คิดว่ายังไงบ้างครับ?”

ผู้หญิงที่ใส่แว่นกรอบหนา เธอจ้องไปที่คังวูจินในบูธ แล้วตอบ

“······น่าจะโดนใจคนดูแน่นอนค่ะ บอกตรงๆ  ว่าแอบตกใจเลยนะคะ? ไม่คิดว่าจะร้องเพลงเก่งขนาดนี้ แสดงละครก็ดี คังวูจินนี่ไม่มีอะไรที่ทำไม่เป็นเลยเหรอคะ?”

“คิดว่าจะโดดเด่นในละครเพลงไหมครับ?”

“ค่ะ ถ้าปรับแต่งนิดหน่อยคงได้”

ผู้หญิงคนนั้นเป็นผู้อำนวยการฝ่ายคัดตัวนักแสดงชื่อดังในวงการละครเพลง

เวลาเดียวกัน ณ โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น บริษัทโทเอกะ

มีคนประมาณ 5-6 คนนั่งอยู่ในห้องประชุมเงียบๆ ได้ยินเสียงญี่ปุ่นคุยกัน คนที่จมูกโด่งเป็นคนคุ้นหน้า เขาคือ ผู้กำกับเคียวทาโร่ คนญี่ปุ่น รอบๆ ตัวเขานั้นก็เต็มไปด้วยพนักงานของบริษัทหนัง

ตรงหน้าผู้กำกับเคียวทาโร่นั้นมีชายคนหนึ่งนั่งหลังตรง

“รู้สึกเป็นเกียรติมากๆ  ครับ คุณผู้กำกับ”

ชายคนนั้นมีผมยาวจนต้องใส่ผ้าคาดผม เขาคือนักแสดง ส่วนชื่อคือ 'มานะ โคซะกุ' เป็นสมาชิกของวงดนตรีชื่อดังในญี่ปุ่น และยังเป็นนักแสดงที่ประสบความสำเร็จสูงสุด เขามีใบหน้าคม มีชื่อเสียงเรื่องฝีมือการแสดงในญี่ปุ่น

ในไม่ช้า ผู้กำกับเคียวทาโร่ก็ยิ้มให้มานะ โคซะกุ แล้วพูดออกมาว่า

“ผมเองต่างหากที่อยากเจอมานะซัง ขอบคุณที่ยอมเจอผมนะ”

“ไม่ๆ ไม่เป็นไรเลยครับ”

“อือๆ ได้ยินจากทางบริษัทแล้วใช่ไหม?  หนังที่ผมกำลังทำอยู่นี่เป็นการดัดแปลงจากนิยายของนักเขียนอาคาริ ทาคิกาวา นะ”

“ครับได้ยินแล้วครับ”

โคซะกุ พึมพัมในใจ

‘ผู้กำกับเคียวทาโร่ กับนักเขียนอาคาริเป็นคนสร้างงาน เรื่องนี้ แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะต้องรับงาน’

ในขณะนั้น ผู้กำกับเคียวทาโร่ได้รับกองเอกสารจากพนักงานที่นั่งข้างๆ  แล้วเขาก็ส่งมันไปยังโคซะกุที่นั่งฝั่งตรงข้าม

“เราเลือกนักแสดงคนหนึ่งได้แล้วเป็นนักแสดงเกาหลี”

“นักแสดงเกาหลี?” ดวงตาของโคซะกุ เบิกกว้าง

“···นักแสดงเกาหลี?  ถ้าเป็นนักแสดงดัง ผมขอทราบชื่อได้ไหม?”

“ไม่ได้หรอก เป็นนักแสดงหน้าใหม่ แต่ยังไม่ถึงเวลาจะเปิดเผยชื่อ”

“······?”

ตาของโคซะกุเบิกกว้างขึ้นเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม ไม่ใช่นักแสดงหน้าเก่า แต่เป็นมือใหม่งั้นเหรอ? ในขณะเดียวกัน ผู้กำกับเคียวทาโร่ที่ดูสงบนิ่งก็ชี้ไปที่กองกระดาษที่ยื่นให้พร้อมกับพูดว่า

“ก่อนอื่น ลองดูรายละเอียดบทนำก่อนอ่านบทภาพยนตร์ดูสิ”

“···เอ่อ ครับเข้าใจแล้วครับ”

โคซะกุเงยหน้าขึ้นอย่างไม่แน่ใจ เขาเริ่มต้นด้วยการตรวจสอบชื่อเรื่องก่อน

- ‘การสังเวยอันน่าสะพรึงกลัวของคนแปลกหน้า’

ชื่อเรื่องคุ้นเคย เพราะเป็นชื่อเดียวกับหนังสือขายดี แต่โคซะกุไม่ได้อ่านต้นฉบับ เขาจึงมุ่งความสนใจไปที่บทสรุป

มีคำหลายคำที่สะดุดตา

การกลั่นแกล้ง คนญี่ปุ่นในเกาหลี กับดัก แผนการ ฆาตกรรม การสืบสวน ฯลฯ โคซะกุอ่านบทสรุปอย่างตั้งใจ และพึมพำเบาๆ ในใจ

‘เรื่องราวการแก้แค้น’

และเป็นการแก้แค้นที่โหดร้าย ไร้ความปรานี

จบ

_ติดตามผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:ยักษาแปร _ลงแบบราคาถูกแค่ในMy-NovelและThai-novel_เท่านั้น หากอ่านที่อื่นรบกวนมาสนับสนุนทีนะครับ_หรือจะมากดไลก์แฟนเพจก็ได้ กระซิกกระซิก. ;-;_

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด