บทที่ 582 กลยุทธ์และพิธี
"พื้นที่เพาะปลูกวิญญาณระดับสาม 780 ไร่หรือ?" เฉินโม่ถึงกับยืนขึ้นด้วยความตกใจ
เขาเคยคิดว่าสำนักหย่งหนิงอุดมสมบูรณ์เพียงใด แต่ไม่คิดเลยว่าความแตกต่างจะมากถึงเพียงนี้!
ครั้งหนึ่งสำนักชิงหยางที่เคยมีชื่อเสียงในฐานะมีภูเขาเซียนถึง 112 ยอด กลับมีพื้นที่เพาะปลูกวิญญาณระดับสามเพียง 45 ไร่เท่านั้น
ขณะที่สำนักเซียนที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่นี้อย่างสำนักเซียนอู๋ก็มีเพียงเล็กน้อยกว่า 100 ไร่เท่านั้นแต่สำนักหย่งหนิงกลับมีมากกว่า 700 ไร่นี่เกินกว่าที่เขาจะคาดคิดได้
ต้องเข้าใจว่า ตอนนี้เขาได้เปลี่ยนพื้นที่เพาะปลูกวิญญาณระดับสาม 200 ไร่ให้กลายเป็นระดับสี่ทั้งหมดด้วยการใช้พรสวรรค์ในการรวมพลังวิญญาณ ทำให้สามารถปลูกพืชวิญญาณระดับสี่ เช่น ดอกไฟกลางใจดินได้
แต่ก็เพราะเหตุนี้ ทำให้พืชวิญญาณระดับสามเช่น ข้าววิญญาณลายไม้และดอกวิญญาณกวนไม่มีพื้นที่เพาะปลูกอีกต่อไป
แม้ว่าสำหรับสำนักมั่วไถในตอนนี้จะยังไม่มีผลกระทบมากนักแต่หากสำนักเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรือมีศิษย์ที่บรรลุขั้นทองมากขึ้นเรื่อยๆปัญหานี้ก็จะปรากฏชัดขึ้น
เฉินโม่เคยหารือกับผู้อาวุโสใหญ่หลายคนและตัดสินใจที่จะค่อยๆ สะสมกำลังเพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวาย แต่บางครั้งการพัฒนาของสถานการณ์ก็เกินความควบคุมของมนุษย์
มู่เถาพูดต่อเกี่ยวกับแหล่งแร่ในสำนักหย่งหนิง
มันมีความอุดมสมบูรณ์อย่างยิ่งเช่นกัน
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมในการเดินทางไปเขาหยานอวิ๋นสำนักต่างๆ ในบริเวณใจกลางภาคกลางจึงไม่เห็นคุณค่าของพวกเขาที่มาจากทางเหนือ ความแข็งแกร่งของพวกเขาเป็นอย่างไร และมรดกของสำนักก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“สำนักหย่งหนิงมีศิษย์ขั้นทองสักกี่คน?” เฉินโม่ถามขึ้น
“ประมาณ 40-50 คน”
“ข้าจำได้ว่า ไช่ฟางซานน่าจะอยู่ในช่วงปลายของขั้นทองใช่หรือไม่?”
มู่เถาพยักหน้า
“ถ้าจะให้พูดอย่างถูกต้องก็ควรจะเป็นขั้นทองระดับสูงสุด”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉินโม่ก็ขมวดคิ้ว
“สำนักหย่งหนิงไม่เคยมีผู้บรรลุขั้นปฐมภูมิเลยหรือ?”
“ไม่มีเลย”
“แล้วทำไมถึงมีสถานที่ที่อุดมสมบูรณ์เช่นนี้?”
“ได้ยินมาว่าแต่ก่อนท่านจางเหลียงมีความสัมพันธ์บางอย่างกับแม่ทัพคนหนึ่ง”
เฉินโม่มองไปที่อีกฝ่ายเป็นการส่งสัญญาณให้พูดต่อ
แต่มู่เถากลับพยักหน้าขอโทษแล้วกล่าวว่า
“ที่เหลือ ข้าก็ไม่ทราบแล้ว”
เฉินโม่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจนกระทั่งท้องฟ้ามืดสนิท
เขาลุกขึ้นและช่วยอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า
“เรื่องนี้ ข้าจะคุยกับผู้อาวุโสจางก่อน ยังไงเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสำนักที่เขาก่อตั้งด้วยตัวเอง ข้าคงไม่สามารถตัดสินใจเองได้ ท่ายกลับไปก่อนเถอะ พรุ่งนี้หลังพิธี ข้าจะไปคุยกับเขาเอง”
มู่เถาขอบคุณและจากไป ขณะที่ฉินซีก็กลับมาและส่งแขกกลับไปเรียบร้อยแล้ว
หลังจากอีกฝ่ายจากไป เฉินโม่ก็ยังคงครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ของเรื่องทั้งหมด
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดก็ตัดสินใจเรียกเนี่ยหยวนจือและซ่งหยุนซีมาหารือด้วย เพราะการคิดคนเดียวอาจมีข้อผิดพลาดและตกหลุมพรางได้ แต่เมื่อหลายคนพูดคุยกันแล้วก็จะได้ข้อสรุปที่ถูกต้องขึ้น
หลังจากฟังคำอธิบายของเฉินโม่ ซ่งหยุนซีเสนอให้ฟังความคิดเห็นของจางเหลียง
ขณะที่เนี่ยหยวนจือคิดว่าจางเหลียงน่าจะยอมรับแน่
ในตอนนี้ วิธีที่เหมาะสมที่สุดคือยึดสำนักหย่งหนิงและลอบควบคุมให้เป็นส่วนหนึ่งของสำนักมั่วไถ
อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ต้องพิจารณาถึงศึกกับฝู’ซากศพและปฏิกิริยาของแม่ทัพด้วย!
แม้ว่าสำนักหย่งหนิงจะมีศิษย์ขั้นทองประมาณ 40-50 คน แต่หากไม่มียันต์เปลี่ยนสายฟ้าสถานการณ์ของพวกเขาก็อาจจะไม่ได้ดีนัก
ตามที่เนี่ยหยวนจือพูดเรื่องนี้สามารถทำได้
และต้องทำให้เร็วที่สุด!
ท้ายที่สุดผู้ก่อตั้งสำนักยังมีชีวิตอยู่ แม้ว่าพวกเขาจะยึดคืนสำนักหย่งหนิง แม่ทัพก็ไม่น่าจะมีปฏิกิริยาใดๆ
เหตุผลที่เหมาะสมและเป็นเพียงการต่อสู้ภายในสำนัก
พวกเขาจะไม่ยุ่งเกี่ยว
แต่อย่างไรก็ตามไม่ควรมีเงาของสำนักเขามั่วไถอยู่เบื้องหลัง!
พวกเขาพูดคุยกันจนเกือบถึงยามเช้าจึงได้ข้อสรุปในเบื้องต้น
ต่อไปต้องทำให้จางเหลียงยอมรับ และร่วมเดินทางกลับไปที่สำนักหย่งหนิง ส่วนใครจะไปด้วย? แน่นอนว่าไม่ใช่เฉินโม่แล้ว!
“ข้าเกือบลืมไป! พิธีเลื่อนขั้นของจวงฉางซือเตรียมการเป็นอย่างไรบ้าง?”
เฉินโม่พูดคุยกับเนี่ยหยวนจือทั้งคืน จนลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
“ก่อนจะมา ข้าจัดให้หลี่ถิงอี้จัดการแล้ว สบายใจได้ตอนนี้เขาสามารถทำงานได้ด้วยตัวเองอย่างเต็มที่แล้ว”
“ช่างรอบคอบจริงๆ”
ขณะที่เนี่ยหยวนจือใช้โอกาสนี้พูดต่อว่า
“ท่านเจ้าสำนัก เนี่ยซ่งจือรับหน้าที่ดูแลกิจการของตระกูลเนี่ยแต่ข้าอยากขอให้ถิงอี้มาช่วยข้าทำงานได้ไหม?”
“ได้สิ เจ้าตัดสินใจเถอะ”
“แล้วเขา...”
“ดูว่าเขาคิดยังไงก่อน!”
“ขอบคุณท่านเจ้าสำนัก!”
ตระกูลเนี่ยที่อยู่ในสำนักมั่วไถ แม้ว่าจะได้รับภูเขาเซียนทั้งลูก แต่ก็ยังคงเป็นผู้พึ่งพิงอยู่ ถ้าหากหลี่ถิงอี้ไม่เข้าร่วมกับสำนัก เขาก็จะยังคงอยู่ข้างนอกต่อไป แม้ว่าจะมีพลังขั้นทองระดับปลายก็ตามก็ยังไม่สามารถมีบทบาทใดๆ ได้
ยิ่งไปกว่านั้นเหลือเวลาอีกเพียงสองปีเท่านั้นก่อนที่เขาจะบรรลุขั้นปฐมภูมิ
หากไม่ได้รับความสัมพันธ์กับเฉินโม่และได้รับยาวิญญาณเซียนเสริมพลังเพิ่มขึ้น เขาก็คงไม่มีโอกาส!
บางทีเฉินโม่อาจจะไม่ได้สนใจเรื่องตำแหน่งทหารหัวมังกร แต่สำหรับหลี่ถิงอี้และตระกูลเนี่ยแล้ว มันเป็นสิ่งที่ปรารถนาอย่างยิ่ง
“งั้นข้าขอตัวล่ะ”
เฉินโม่กล่าวและทั้งสามคนก็ขึ้นดาบเหินบินไป
ไม่นานก็ถึงยอดเขาเซวียนเซียว
ในเวลานั้น ศิษย์ทั้งสำนักมั่วไถได้รวมตัวกันที่นี่แล้ว หัวหน้หอกานซือ หัวหน้าหอฝ่ายยันต์และคนอื่นๆ ก็มารวมทั้งยังมีตัวแทนจากตระกูลเนี่ยและชาวนาวิญญาณอีกด้วย นับเป็นงานมหกรรมที่หายากมาก!
ในฐานะผู้อาวุโสใหญ่ฝ่ายหอถ่ายทอดวิชา แม้จางเหลียงจะไม่สามารถเดินได้แต่เขาก็ยังคงเป็นจุดศูนย์กลางของความสนใจ
จนกระทั่งเจ้าสำนักและผู้อาวุโสใหญ่สองคนมาถึง ทุกคนจึงหันไปสนใจพวกเขาแทน
หลี่ถิงอี้ก้าวขึ้นมาข้างหน้าและกล่าวว่า
“ขอรายงานท่านเจ้าสำนัก ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว”
เฉินโม่พยักหน้า จากนั้นก็เรียกจวงฉางซือที่อยู่ข้างหลังให้มาข้างหน้า
พิธีเลื่อนขั้นผู้อาวุโสนั้นไม่ซับซ้อนนัก เนื่องจากความหมายสำคัญกว่ารูปแบบ เหตุผลที่เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อสร้างแบบอย่างให้กับศิษย์ที่อยู่ในสำนักมั่วไถว่าในที่นี่ ทุกคนมีโอกาส!
แม้แต่คนธรรมดาที่เพิ่งเข้าสู่โลกแห่งการฝึกตนก็มีโอกาสบรรลุขั้นทองได้ในวันหนึ่ง
เมื่อพิธีสิ้นสุด จวงฉางซือคุกเข่าข้างหนึ่งต่อหน้าเจ้าสำนัก
เฉินโม่มองไปที่หลี่ถิงอี้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะปฏิบัติตามคำสั่ง เขาจัดให้ศิษย์หญิงสองคนจากสำนักเนี่ยนหยูนำกล่องหยกออกมา
“จวงฉางซือขยันฝึกตนจนบรรลุขั้นทองและเลื่อนขั้นเป็นผู้อาวุโส มอบรางวัลดาบกระดูกจันทราหนึ่งเล่ม พิณกระดูกยาวหนึ่งหลัง ยาวิญญาณเซียนเสริมพลัง 20 เม็ด ยาลอกคราบงูหนึ่งเม็ด...และหินวิญญาณระดับสูง 50 ก้อน!”
เมื่อเฉินโม่พูดถึงสิ่งใด ศิษย์หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็นำสิ่งนั้นไปวางต่อหน้าจวงฉางซือ
เมื่อสมบัติและยาเม็ดที่แสนล้ำค่าถูกวางรวมกันแบบนี้ความรู้สึกที่ได้เห็นมันนั้นทำให้ผู้คนถึงกับหายใจติดขัด
เหล่าศิษย์ที่เข้าสำนักพร้อมกับจวงฉางซือต่างก็กระตือรือร้นและตื่นเต้นไม่ใช่น้อย
บางคนถึงกับพูดกับตัวเองว่า
"ต้องทำได้ เจ้าก็ทำได้เหมือนกัน!"
"ไม่ได้แล้ว ข้าต้องเร่งฝึกให้หนักกว่าเดิม!"
เฉินโม่มองศิษย์ที่มีเลือดลมเดือดพล่านเหล่านั้นและยิ้มอย่างอ่อนโยน
(จบบท)