บทที่ 36: บอกนางให้กลับไป
เมื่อไม่นานมานี้ลี่เฟยเริ่มรู้สึกไม่พอใจเพราะหว่านผินเริ่มได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท แต่หลังจากได้ยินสิ่งที่หลานชายของตัวเองพูด นางก็ไม่อาจอยู่เฉยได้อีก
นางได้ส่งคนไปที่ตำหนักเย่าเจิ้งทันทีเพื่อให้มู่เทียนฉงเรียกร้องความยุติธรรมจากหว่านผิน
เมื่อนายน้อยหลัวเห็นลี่เฟยเริ่มลงมือ เขาก็รู้สึกพึงพอใจ
และเพื่อเติมเชื้อไฟลงในกองเพลิง เขาได้ฟ้องเรื่องหลัวเซียวเซียว น้องสาวของเขาด้วย
ตอนนี้ไม่ว่าใครหน้าไหนที่มาทำให้เขาโกรธ คนพวกนั้นย่อมมีจุดจบที่ไม่ดี
ณ ตำหนักเย่าเจิ้ง
มู่เทียนฉงกำลังจัดการฎีกาที่กองอยู่บนโต๊ะ ในช่วงนี้เกิดน้ำท่วมทางใต้ของแคว้น อีกทั้งยังมีศัตรูรุกรานอยู่ทางเหนือ
ท่ามกลางปัญหาทั้งภายในและภายนอก ฎีกานับไม่ถ้วนจึงถูกส่งมายังโต๊ะทรงพระอักษรของเขา ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องด่วนที่ให้เขาต้องตัดสินใจแก้ไขปัญหาให้ทันท่วงที
ช่วงนี้เขายุ่งมากจนแทบจะไม่มีเวลานอนด้วยซ้ำ ส่วนใหญ่แล้วเขาจะได้ผ่อนคลายในช่วงเวลาสั้น ๆ ขณะรับประทานอาหารกับมู่ไป๋ไป่
พอฮ่องเต้หนุ่มนึกถึงลูกสาวที่เหมือนเจ้าก้อนแป้งนุ่ม ๆ คิ้วที่ขมวดแน่นของเขาก็ผ่อนคลายลง ส่งผลให้ใบหน้าหล่อเหลาอ่อนลงเช่นกัน
อันกงกงที่อยู่ด้านข้างเห็นแล้วก็เดาได้เลยว่าเขาจะต้องคิดถึงมู่ไป๋ไป่อยู่แน่นอน
ในขณะที่ชายสูงวัยกำลังประเมินว่าควรรอจนกว่าชั้นเรียนจะสิ้นสุดลงเพื่อเรียกองค์หญิงหกมาดีหรือไม่ เขาก็ได้ยินเสียงร้องโศกเศร้ามาจากด้านนอกประตู “ฝ่าบาท… ฝ่าบาทต้องตัดสินแทนหม่อมฉันนะเพคะ”
ตุบ!
ฎีกาในมือของมู่เทียนฉงหล่นลงบนโต๊ะทันที
สีหน้าที่เพิ่งอ่อนลงเมื่ออึดใจที่แล้วถูกปกคลุมไปด้วยความเยือกเย็นอย่างรวดเร็ว พร้อมกับความน่ากลัวที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเขา “เกิดอะไรขึ้น?”
ขณะเดียวกัน ขันทีคนหนึ่งก็รีบวิ่งเข้ามา แล้วคุกเข่าลง “ทูลฝ่าบาท ลี่เฟยมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีและนางกำนัลที่คอยรับใช้อยู่ในตำหนักเย่าเจิ้งทุกคนรู้ดีว่าฝ่าบาทกำลังอารมณ์ไม่ดีเนื่องจากเรื่องราชกิจที่มากมาย ในระหว่างที่คอยรับใช้ฝ่าบาท พวกเขาก็อกสั่นขวัญแขวนกันอยู่ทุกวัน
พวกเขาแทบจะไม่กล้าเดินเสียงดังเลยด้วยซ้ำ เพราะกลัวว่าจะไปทำให้ฝ่าบาทโกรธเคืองและรักษาชีวิตน้อย ๆ ของตัวเองเอาไว้ไม่ได้
สำหรับลี่เฟย ก่อนที่นางจะทันได้ก้าวผ่านประตูตำหนักเย่าเจิ้งเข้ามาด้านใน เสียงของนางก็ดังมาก่อนตัว ซึ่งทำให้ทุกคนตกใจกันมาก
ขันทีคนนั้นแอบเหลือบมองทุกคนในตำหนัก
มันเป็นไปตามที่เขาคาดไว้ ตอนนี้ฝ่าบาทที่จดจ่ออยู่กับการทำงานกำลังขมวดคิ้วแน่น เห็นได้ชัดว่าพระองค์ไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“บอกให้นางกลับไป” มู่เทียนฉงสั่งเสียงเฉียบขาด
เขารู้สึกรังเกียจเมื่อได้ยินลี่เฟยกำลังคร่ำครวญเหมือนจะหางานให้เขาปวดหัวเพิ่มอีก จึงทำให้คิ้วเข้มผูกกันเป็นปม
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีผู้น้อยไม่กล้ารีรอ หลังจากได้ยินรับสั่ง เขาก็รีบเดินออกไปถ่ายทอดถ้อยคำ
ลี่เฟยที่เดินเข้ามาในตำหนักอย่างราบรื่นถูกขวางเอาไว้ที่ด้านนอกห้องโถงหลักของตำหนักทันที
“เจ้าบอกว่าฝ่าบาทไม่ยอมพบข้าอย่างนั้นหรือ?” หญิงสาวจ้องเขม็งไปยังขันทีที่กำลังขวางทางอยู่ และส่งเสียงเยาะเย้ย “เฮอะ เป็นไปได้อย่างไร ฝ่าบาทจะไม่ยอมพบข้าได้อย่างไรกัน”
ในอดีต นางสามารถเข้าออกตำหนักเย่าเจิ้งได้ทุกเมื่อที่ต้องการ
“ลี่เฟย ฝ่าบาททรงมีราชกิจรัดตัวพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีที่มารายงานขมวดคิ้วด้วยความลำบากใจ อันที่จริงเขาอยากจะบอกอีกฝ่ายไปตามตรงว่าฝ่าบาทไม่ต้องการพบนาง
แต่ท้ายที่สุดแล้ว การที่เขาได้ทำงานอยู่ในวังมาเนิ่นนาน เขารู้ว่าบางครั้งคำพูดบางคำจำเป็นจะต้องได้รับการปรับแต่งให้ดูสวยงามก่อนที่จะเอ่ยออกมา
ลี่เฟยเองก็เป็นคนที่มีอำนาจในวังหลัง ดังนั้นมันคงจะเป็นการดีที่สุดที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้นางโกรธเคือง
หญิงสาวเม้มปากแน่นอย่างไม่เต็มใจ นางรู้เต็มอกว่าขันทีคนนี้ไม่กล้าพอที่จะเอ่ยคำสั่งของฝ่าบาทออกมาตามตรง แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้มากว่ามู่เทียนฉงกำลังยุ่งอยู่กับราชกิจ ดังนั้นเขาจึงไม่มีเวลาพบ
แต่ในวันนี้นางไม่อาจกล้ำกลืนความคับข้องใจลงท้องไปได้
นางจึงทำได้เพียงส่งเสียงร้องไห้ผ่านประตูตำหนักเข้าไป “ฮึก ๆ… ฝ่าบาท ชีวิตพระสนมของพระองค์ช่างน่าสังเวชยิ่งนัก หลานชายของหม่อมฉันไม่รู้ว่าบังเอิญไปพบองค์รัชทายาทและองค์หญิงหกได้อย่างไร พวกเขาทั้ง 2 สั่งให้คนโบยหลานชายของหม่อมฉัน ตอนนี้ชีวิตของเขาหายไปครึ่งหนึ่งแล้วเพคะ”
ในเวลาเดียวกัน มู่เทียนฉงชะงักพู่กันที่กำลังเขียนฎีกาลงชั่วคราว ก่อนที่เขาจะเลิกคิ้ว
เด็ก 2 คนนั้นลงโทษหลานชายของลี่เฟยอย่างนั้นหรือ?
ต้องเป็นเพราะหลานชายของลี่เฟยที่ทำให้ทั้ง 2 โกรธเคืองอย่างแน่นอนถึงได้รับการลงโทษ
แล้วทำไมนางถึงต้องมาขอให้เขาตัดสินเรื่องแบบนี้ด้วยล่ะ?
เมื่อลี่เฟยเห็นว่ายังไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรจากในตำหนักเย่าเจิ้ง นางก็กัดฟันและเริ่มร้องไห้พร้อมกับสุมเชื้อไฟมากยิ่งขึ้น
“องค์หญิงหกอาศัยความโปรดปรานของฝ่าบาทเพื่อรังแกคนในวังหลวง แล้วนางยังขู่ว่าจะทำร้ายหม่อมฉันต่อหน้าหลานชายด้วยเพคะ”
“ฝ่าบาทไม่สนพระทัยเรื่องนี้จริง ๆ หรือ?”
“หม่อมฉันช่างอาภัพยิ่งนัก…”
เอี๊ยดดด!
เสียงประตูตำหนักที่หนักอึ้งถูกเปิดออก
ลี่เฟยคิดว่าในที่สุดมู่เทียนฉงก็หันมาสนใจตนแล้ว นางจึงรู้สึกมีความสุขมาก
หญิงสาวเงยหน้าที่อาบน้ำตาขึ้น เตรียมจะเติมเชื้อไฟลงในกองไฟต่อหน้าฮ่องเต้อีกครั้ง
แต่คนที่ออกมากลับเป็นอันกงกงที่มักจะอยู่ข้างกายฝ่าบาท นั่นทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของลี่เฟยลดลง
จากนั้นเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดว่า “ฝ่าบาทมีรับสั่ง องค์หญิงหกเป็นบุตรสาวของโอรสสวรรค์ พระนางอยู่เหนือคนนับหมื่น เป็นรองเพียงคนเดียว ดังนั้นพระนางจึงสามารถลงโทษใครก็ได้ที่พระนางต้องการ”
ลี่เฟยตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ทันทีพร้อมกับความรู้สึกหายใจไม่ออก
“หากลี่เฟยไม่พอใจ” ในที่สุดอันกงกงก็ลดสายตาลงและมองสตรีตรงหน้าอย่างดูถูก “โปรดอดทนเอาไว้พ่ะย่ะค่ะ”
“...” หญิงสาวถึงกับพูดไม่ออก
หลังจากอันกงกงถ่ายทอดคำพูดของมู่เทียนฉงแล้ว เขาก็หันไปสั่งองครักษ์ที่เฝ้าประตูอย่างใจเย็น “พวกเจ้าส่งลี่เฟยออกไปด้วย”
องครักษ์ทั้ง 2 รับคำสั่งแล้วก้าวออกไปเพื่อพยุงลี่เฟย ก่อนจะลากนางออกจากตำหนัก
เมื่อถึงเวลาที่หญิงสาวกลับมามีสติอีกครั้ง นางก็ถูกองครักษ์โยนออกมานอกตำหนักและนั่งกองอยู่บนพื้นด้วยความมึนงง
“พระสนม พระสนมเป็นอะไรหรือไม่เพคะ” เฟิงหลิงรีบเข้ามาช่วยพยุงผู้เป็นนายขึ้นพลางถามอย่างเป็นกังวล “ทำไมเราไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปก่อนเพคะ วันนี้ฝ่าบาทอาจจะกำลังอารมณ์ไม่ดี…”
“ปล่อยไปก่อนอย่างนั้นหรือ?” ลี่เฟยนึกถึงสิ่งที่อันกงกงพูดเมื่อครู่ แล้วนางก็รู้สึกเหมือนถูกตบหน้าอย่างแรง
ตั้งแต่ที่นางก้าวเข้ามาในวัง เส้นทางของนางก็ราบรื่นเสมอมา และมู่เทียนฉงก็ตอบรับคำขอของนางเสมอ นางไม่เคยรู้สึกโกรธขนาดนี้มาก่อนเลย
ตอนนี้ทุกอย่างดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเพียงเพราะองค์หญิงหกกับหว่านผินคนนั้น
ถ้าวันนี้นางไม่ได้ชำระบัญชีกับสองแม่ลูกคู่นี้ พรุ่งนี้คนของตำหนักอิ๋งชุนจะไม่ถึงขั้นมาเหยียบหัวนางเลยหรือ?
“พระสนม…”
“ไปตำหนักอิ๋งชุน” ลี่เฟยเดินขึ้นเกี้ยวและสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฝ่าบาททรงกำลังปกป้ององค์หญิงหก ดังนั้นข้าจะไปหาหว่านผินด้วยตัวเอง! ถ้าลูกสาวยังกล้าอวดดีขนาดนี้ คนเป็นแม่จะขนาดไหนกัน?”
หลังจากนั้นขบวนเสด็จของลี่เฟยก็มุ่งหน้าไปยังตำหนักอิ๋งชุน
เมื่อซูหว่านได้ยินเสียงประกาศว่าผู้ใดมาเยือน นางที่กำลังตัดแต่งดอกไม้อยู่ในลานบ้านก็ชะงักไปทันที
ก่อนที่นางจะทันได้ตอบโต้ นางก็เห็นสตรีที่สง่างามและมีเสน่ห์สวมเสื้อผ้าสีม่วงที่ตัดเย็บอย่างประณีตเดินเข้ามาด้วยสีหน้าถมึงทึง
“หว่านผินอารมณ์ดีจริง ๆ” ลี่เฟยเหลือบมองคนตรงหน้าด้วยสายตาเยาะเย้ย “เจ้ายังจะมีอารมณ์สุนทรีย์มาคอยตัดแต่งกิ่งไม้ได้อีก ทั้งที่เป็นลูกตัวเองแต่กลับปล่อยให้ประพฤติตัวไม่เหมาะสมอยู่ข้างนอกตลอดทั้งวัน และคอยสร้างปัญหาให้กับคนอื่น”
“หม่อมฉันถวายบังคมลี่เฟย” ถึงแม้ว่าผู้มาเยือนจะมาแบบก้าวร้าว แต่ซูหว่านก็ยังเอ่ยทักทายด้วยท่าทางสงบนิ่ง ในขณะที่ดวงตาของนางหรี่ลงเล็กน้อย
จากนั้นนางก็เอ่ยถามเสียงเรียบ “หม่อมฉันไม่เข้าใจว่าลี่เฟยหมายความว่าอย่างไร”
“บังอาจ พบลี่เฟยแล้วยังไม่คุกเข่าลงอีก!” เฟิงหลิงที่คอยพยุงผู้เป็นนายเดินเข้ามาดุเสียงดัง “ท่านไม่เข้าใจมารยาทในวังหลวงเลยหรือ?”
“คุกเข่าลงอย่างนั้นหรือ?” ซูหว่านพูดทวนขึ้นมาเบา ๆ ด้วยความงุนงง
ตามกฎของวังหลวง ขุนนางจะต้องคุกเข่าทำความเคารพเมื่อพบกับพระสนม
แต่ตอนนี้นางเองก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นพระสนมขั้นผิน ในยามที่นางได้พบกับพระสนมขั้นเฟย นางเพียงแค่ต้องโค้งคำนับเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องคุกเข่า
นางกำนัลข้างกายของลี่เฟยกำลังพยายามหาเรื่องนางอย่างชัดเจน
“ทำไมหรือ กระดูกของหว่านผินแข็งกระด้างเกินไปจึงไม่รู้วิธีการคุกเข่าเช่นนั้นหรือ?” เฟิงหลิงที่เห็นว่าหว่านผินยังไม่ยอมขยับจึงรีบพูดขึ้นมา “หว่านผิน หากเช่นนั้นให้หม่อมฉันเรียกคนมาช่วยท่านดีหรือไม่?”