บทที่ 225-226
[_แปลโดยแฟนเพจ ยักษา_แปร_มาติดตามในแฟนเพจ_เพื่อติดตามข่าวสารได้นะ.]
[_Thai-novel _ลงไวกว่าที่อื่น.ทุกที่ 5 ตอนแต่_จะราคาแพงที่สุด_]
[_หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้น_อีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนหรือแชร์กันเป็นคณะ_100คน. ก็อ่านไปครับ เพราะผมจะแก้แบบแปลใหม่อีกรอบแค่ในThai-novel กับเว็บอื่น ๆ และแหล่งที่ผมแปลครับ ส่วนคนที่อ่านที่อื่นก็จะได้อ่านแบบเวอร์ชั่นแรกไปนะครับ_]
บทที่ 225 การชนะพนัน (I)
เหมิงฉีมิอาจปล่อยใจให้จมอยู่กับความอาลัยต่อจันทร์สีเลือดได้นาน นางเงยหน้าขึ้นสบตาฟ้าครามเบื้องบน เหยี่ยวมหึมาสง่างามกางปีกครอบคลุมทั่วผืนนภา ดุจเทพพญาแห่งเวหา ณ เบื้องบน
แม้ร่างเหยี่ยวจะเป็นเพียงภาพฉายที่อัญเชิญขึ้นมา ทว่ากลับเสมือนมีชีวิตจริง เส้นขนแต่ละเส้นบนปีกคมกริบล้วนเด่นชัด จ้องมองร่างน้อยสีขาวซีดของหุ่นผีเบื้องล่างอย่างดุดัน
เหมิงฉีหันไปมองจี๋อู๋จิ่ว ดวงตาของเขาแดงก่ำดุจโลหิต รอยแผลเป็นบนใบหน้าเรืองรองสีเลือดจางๆ ราวกับเปลวไฟที่พร้อมจะลุกโชน
ดาบดำเรียวยาวในมือชี้ลงพื้นเฉียง ใบหนาขยับเล็กน้อย ราวกับกำลังสะกดกลั้นอารมณ์อันคุกรุ่น
"เพียงแมลงน้อยไร้ค่า!" เสียงของบุรุษในใจเหมิงฉีคลายความตึงเครียดลง แฝงไว้ด้วยความเหนื่อยหน่าย "เจ้าเริ่มคิดได้หรือไม่ ว่าปรารถนาให้มันรับโทษทัณฑ์เช่นไรในยี่สิบสี่ชั่วยามต่อจากนี้"
ครั้นได้ยินน้ำเสียงอันแสนเกียจคร้าน ดวงจิตของเหมิงฉีพลันหวนนึกถึงร่างของอาจารย์ บุรุษในอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ แขนอาภรณ์กว้างพลิ้วไสว ศีรษะประดับศิราภรณ์งดงาม ใบหน้าหล่อเหลางดงามยิ่งกว่าเทพเซียน ท่วงท่าสง่างาม ราวกับมิใช่ผู้คนในใต้หล้า
ท่านผู้นั้นโปรดปรานยามบ่ายในฤดูใบไม้ผลิยิ่งนัก ใต้ต้นท้อใหญ่มีตั่งไม้เนื้อดีวางตั้ง ปูทับด้วยฟูกกำมะหยี่แสนนุ่ม เบื้องข้างมีโต๊ะไม้สีดำขนาดย่อมวางผลไม้ตามฤดูกาล ท่านเอนกายลงบนตั่ง หลับตาลงครึ่งหนึ่ง มองดูเหมิงฉีบ่มเพาะพลังปราณอยู่ใต้ร่มเงาไม้งาม
นั่นเป็นห้วงเวลาอันแสนสงบสุขและงดงามที่สุดในภพชาติของนาง
บัดนี้ เมื่อได้ยินเสียงทุ้มลึกที่แฝงไว้ด้วยความผ่อนคลายของบุรุษผู้มิได้ใส่ใจสิ่งใด สีหน้าของเหมิงฉีก็พลอยคลายความตึงเครียดลงเช่นกัน ตรงกันข้ามกับดวงตาและรอยแผลเป็นของจี๋อู๋จิ่วที่กลับแดงก่ำยิ่งขึ้น
แม้ตามจริงแล้ว วิทยายุทธ์ของจี๋อู๋จิ่วเหนือล้ำกว่านางนัก ทว่าเหมิงฉีกลับรู้สึกปลอดโปร่งอย่างน่าประหลาด
ในฉับพลันนั้น ความหวาดกลัวทั้งมวลพลันมลายหายสิ้น
บัดนี้นางพร้อมเผชิญหน้ากับความยากลำบากและอุปสรรคทั้งปวงโดยไม่หวั่นเกรง!
มุมปากของเหมิงฉียกขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มเบ่งบานไปถึงดวงตา
จี๋อู๋จิ่วจ้องมองนางด้วยความรำคาญใจ แววตาเย็นเยียบ ในพริบตานั้น อาคมพลังเบื้องหน้าพลันปะทุขึ้นอย่างรุนแรง หุ่นผีที่เหลืออยู่ทั้งหมดหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ก่อนที่แขนสีขาวขนาดมหึมาจะผุดขึ้นจากพื้นดิน
ร่างของยักษ์สีขาวค่อยๆ ปรากฏขึ้นภายในอาคมพลัง
"หึ" เสียงของบุรุษหัวเราะเยาะอย่างดูแคลน
"ฮ่าฮ่าฮ่า..." จี๋อู๋จิ่วหัวเราะอย่างเย็นชา
เหมิงฉียืนนิ่งสงบ ในมือของนางมีหินวิญญาณขั้นสูงอยู่หลายก้อน หลังจากได้รับค่าตอบแทนจากสหพันธ์เฟิง นางมีทรัพย์สมบัติมากมาย สามารถจัดหาสิ่งที่อาจารย์ต้องการเพื่อปราบจี๋อู๋จิ่วได้โดยง่าย
เสียงร้องอันกึกก้องดังขึ้นอีกครั้งทั่วท้องฟ้าสีคราม เหยี่ยวมหึมาโผบินลงมา กางกรงเล็บอันแหลมคมตะครุบยักษ์สีขาวอย่างดุดัน แม้ยักษ์จะมีร่างกายใหญ่โตกว่า ทว่าการเคลื่อนไหวกลับเชื่องช้ากว่าเหยี่ยวมากนัก
ยิ่งไปกว่านั้น เหยี่ยวอยู่บนอากาศ เคลื่อนไหวว่องไวและเฉียบคม สามารถบินหลบหลีกและโจมตีกลับได้ทุกเมื่อด้วยพลังอันมหาศาล
ในชั่วพริบตา ยักษ์สีขาวถูกบังคับให้หลบซ้ายหลบขวา ต้องถอยร่นไปหลายครั้ง
"จ้องมองการเคลื่อนไหวของมันให้ดี" เสียงของบุรุษเตือนเหมิงฉีขึ้นกะทันหัน
"เจ้าค่ะ" เหมิงฉีจ้องมองจี๋อู๋จิ่ว กระบี่ดำเรียวยาวในมือของเขากำลังแกะสลักลงบนพื้นดินอีกครั้ง ดูเหมือนกำลังวาดอาคมพลังบทใหม่
เหมิงฉีปล่อยมือขวาลงข้างลำตัว ใช้นิ้วมือเลียนแบบวิถีการเคลื่อนไหวของจี๋อู๋จิ่ว จดจำอาคมพลังที่เขากำลังวาดอย่างละเอียดทุกเส้นสาย
"เจ้าจำได้แล้วหรือไม่" บุรุษเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน
"เจ้าค่ะ" เหมิงฉีพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย "ทว่าข้ามิรู้ว่ามันคือสิ่งใด"
"มันคงเป็นวิชาที่มันร่ำเรียนมาจากผู้ฝึกตนฝ่ายมาร" บุรุษกล่าว "บัดนี้เจ้าจงจำไว้ก่อน แล้วข้าจะค่อยๆ สั่งสอนเจ้าภายหลัง"
"...เจ้าค่ะ" เหมิงฉีตกตะลึงครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ
เพียงประโยคธรรมดา ทว่าด้วยเหตุใดก็มิทราบ นางกลับรู้สึกจมูกแสบร้อน ดวงตารื้นน้ำ นางมิควรเศร้าโศกเพียงเพราะคำพูดไร้สาระของจี๋อู๋จิ่ว
เพราะเห็นได้ชัดว่าอาจารย์ดีต่อนางยิ่งนัก!
เหมิงฉีกะพริบตาถี่ๆ ไล่หยาดน้ำตาที่คลอหน่วยกลับเข้าไป
การต่อสู้ระหว่างเหยี่ยวมหึมากับหุ่นผียักษ์ใกล้ถึงบทสรุป โดยหุ่นผีที่จี๋อู๋จิ่วอัญเชิญขึ้นมานั้นตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ
จี๋อู๋จิ่วสบถคำรามออกมาอย่างกะทันหัน เขากระแทกกระบี่ดำลงพื้น หันมาจ้องมองเหมิงฉีด้วยแววตาเย็นเยียบ สีเลือดในดวงตาค่อยๆ จางหาย รอยแผลเป็นบนใบหน้ากลับคืนสู่สีดำสนิทดังเดิม
ดวงตาของจี๋อู๋จิ่วกลับเป็นปกติ ขณะที่เขากล่าวกับเหมิงฉีด้วยน้ำเสียงเย็นชา "เจ้าชนะแล้ว"
"หือ?" เหมิงฉีเอ่ยถามอย่างสงสัย "แล้วอาคมพลังบทใหม่ของเจ้าเล่า? เจ้าจะไม่ใช้อีกแล้วหรือ?"
"หินวิญญาณหมดแล้ว" จี๋อู๋จิ่วกล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด สิ้นคำพูด ร่างของหุ่นผียักษ์ก็ค่อยๆ สลายหายไป
เหยี่ยวมหึมาส่งเสียงร้องก้อง กรงเล็บอันแหลมคมตะครุบร่างหุ่นผียักษ์อย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับหุ่นผีตนเล็กเมื่อครู่ ยักษ์ใหญ่พลันกลายเป็นควันจางๆ พร้อมกับเสียง 'ฟุ่บ' เบาๆ แล้วสลายหายไปกับสายลม
เหยี่ยวใหญ่กลับคืนสู่ท้องฟ้า และเหยี่ยวตัวน้อยก็เริ่มบินกลับมาจากทั่วทุกสารทิศ นอกจากพืชสมุนไพรสองชนิดที่พวกมันโฉบเอาไปจากจี๋อู๋จิ่วก่อนหน้านี้ เหยี่ยวก็รีบนำส่วนผสมอื่นๆ ที่จำเป็นในการปรุงยาแก้พิษผงฉีอู่กลับมาให้เหมิงฉี
จี๋อู๋จิ่ว ใบหน้าเรียบเฉย ปฏิเสธที่จะสบตาเหมิงฉี
แท้จริงแล้ว เขายังมีหินวิญญาณเหลืออยู่บ้าง นอกจากหินวิญญาณที่เขาใช้เพื่อชดใช้หนี้บางส่วนของลู่ชิงหรันให้กับสหพันธ์ผู้บ่มเพาะแล้ว เขายังมีหินวิญญาณขั้นแปดเหลืออยู่ประมาณหนึ่งร้อยก้อน สำหรับผู้บ่มเพาะโดยทั่วไป จำนวนนี้คงเพียงพอสำหรับการใช้งานเป็นเวลานาน
ตลอดชีวิตของจี๋อู๋จิ่ว เขาไม่เคยต้องกังวลเรื่องหินวิญญาณมาก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่รู้เลยว่าการอยู่ในสามภพโดยไม่มีหินวิญญาณเพียงพอจะเป็นเรื่องยากลำบากเพียงใด
หลังจากที่เขาถูกบังคับให้ตกอยู่ในสถานการณ์อันน่าอับอายเพราะหนี้สินของลู่ชิงหรัน จี๋อู๋จิ่วผู้ตกอยู่ในสภาพอ่อนแอที่สุด ก็เริ่มเก็บหินวิญญาณไว้กับตัวตลอดเวลาเพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ในการประลองกับเหมิงฉีเมื่อครู่ โดยเฉพาะในช่วงสุดท้าย เขาใช้หินวิญญาณทั้งหมดที่เขามีอย่างรวดเร็ว
อาคมพลังบทใหม่เสร็จสมบูรณ์แล้ว ทว่าไร้ซึ่งหินวิญญาณ เขาจึงไม่อาจใช้งานมันได้
นี่เป็นครั้งที่สองที่จี๋อู๋จิ่วพ่ายแพ้เพราะขาดแคลนหินวิญญาณ
และทั้งสองครั้งก็ล้วนเป็นเพราะเหมิงฉี!
บทที่ 226 การชนะพนัน (II)
เหมิงฉีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มละไม บ่งบอกถึงอารมณ์อันเบิกบาน ชัยชนะเหนือจี๋อู๋จิ่วเป็นเพียงหนึ่งในเหตุผล และเป็นเหตุผลที่น้อยนิดที่สุดเสียด้วย
ดวงหน้างามเปี่ยมสุข นางเรียกหม้อโอสถใบเล็กประจำกายออกมาอย่างทะนุถนอม ก่อนจะบรรจงหย่อนพืชสมุนไพรที่เหยี่ยวเพิ่งนำมาให้ลงไปทีละชนิด จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นสบตาจี๋อู๋จิ่ว เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงใสกังวาน "เจ้าไม่มีหินวิญญาณแล้วหรือ?"
แววตาของนางเป็นประกายระยิบระยับราวกับดวงดาว แฝงไว้ด้วยรอยยิ้มขบขัน "หรือเจ้ายังคงหลงคิดว่าตนเองอยู่เหนือฟ้าดิน?" นางเว้นวรรคเล็กน้อย พลางเอ่ยต่อ "แท้จริงแล้ว..."
ทว่า เหมิงฉีเอ่ยไม่ทันจบประโยค ความหนาวเหน็บยะเยือกก็แผ่ซ่านออกมาจากทะเลวิญญาณ ดูดดึงพลังทั้งหมดในร่างกายนางไปจนหมดสิ้น ภาพตรงหน้าพลันพร่าเลือน ราวกับโลกทั้งใบกำลังหมุนคว้าง
"อุ๊..." เหมิงฉีครางเสียงแผ่ว สติเลือนราง ร่างบอบบางทรุดลงกับพื้น หมดสติไปในที่สุด
จี๋อู๋จิ่วหันมาเห็นเหตุการณ์พอดี
"เฮ้!" โดยไม่รู้ตัว เขารีบสาวเท้าเข้าไปใกล้ ทอดมองร่างของหญิงสาวในชุดคลุมสีฟ้าที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ใบหน้างามซีดเซียว แพขนตายาวงอนงามปิดสนิท ร่างกายบอบบางชวนทะนุถนอม ดูน่าสงสารยิ่งนัก
แต่รอยยิ้มจางๆ ที่มุมปากของนางยังคงปรากฏอยู่
แม้คำพูดก่อนหน้าจะขาดหายไป แต่จี๋อู๋จิ่วก็พอจะเดาได้ว่านางต้องการจะพูดอะไร นางคงคิดว่าเขายอมแพ้เพราะรู้ตัวว่าสู้ไม่ได้ จึงหาข้ออ้างมาปกปิดความพ่ายแพ้
นางคิดว่าเขาเป็นคนเช่นนั้นหรือ?!
จี๋อู๋จิ่วทรุดกายลงนั่งยองๆ ชายแขนอาภรณ์สีดำสนิทเย็นเฉียบ ปัดผ่านพวงแก้มนวลเนียนของเหมิงฉีอย่างแผ่วเบา ปลายนิ้วเรียวยาวเปล่งประกายอาคมจางๆ สาดส่องใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ซีดเซียวของเด็กสาว
"พลังวิญญาณเหือดหาย..." นัยน์ตาคมกริบของจี๋อู๋จิ่ววูบไหว ก็สมควรอยู่แล้ว ผู้บ่มเพาะขั้นสร้างรากฐานเช่นนาง มิยอมล่าถอย กลับยืนหยัดต่อกรกับเขาซึ่งอยู่เหนือชั้นกว่า นับว่านางยังมีโชคที่เขาเลือกใช้อาคมอัญเชิญ มิได้ใช้อาคมโจมตีโดยตรง มิเช่นนั้น ต่อให้มีเหมิงฉีอีกสิบร้อย ก็คงมลายหายไปในพริบตาเดียว
จี๋อู๋จิ่วสะบัดชายแขนอาภรณ์ยืดกายขึ้น สายตาคมกริบจับจ้องหม้อโอสถสีน้ำตาลที่เหมิงฉีใช้ในการปรุงโอสถ หม้อใบนั้นดูเรียบง่ายไร้ลวดลาย ราวกับหยิบมาจากร้านค้าข้างทาง เป็นหม้อโอสถชั้นต่ำสุดที่ผู้บ่มเพาะทั่วไปใช้กัน
เขามิได้รู้สึกแปลกใจอันใด เมื่อเทียบกับวิชาอาคมอันล้ำลึกของนางแล้ว สิ่งของที่นางใช้กลับเรียบง่ายไร้ซึ่งความพิเศษ
"สามภพบัดนี้ ช่างไร้ตา มิอาจแยกแยะ หยกแก้วกับก้อนกรวด หลงใหลรูปลักษณ์ภายนอก มองข้ามแก่นแท้ภายใน" จี๋อู๋จิ่วพึมพำ พลางทอดมองใบหน้างามที่ซีดเซียว กับอาภรณ์สีฟ้าหม่นไร้ลวดลายของเหมิงฉี
ครู่ก่อน เพื่อต่อกรกับเหมิงฉี จี๋อู๋จิ่วจำต้องใช้หินวิญญาณไปมิใช่น้อย บัดนี้หินวิญญาณที่ติดตัวมาล้วนหมดสิ้น แม้แต่จะใช้หลอมโอสถก็ยังมิอาจทำได้ เขาจึงเลือกนั่งขัดสมาธิ สงบนิ่งอยู่ข้างกายนาง
จี๋อู๋จิ่วหลับตาลง ประสานมือทั้งสอง เริ่มโคจรพลังลมปราณไปทั่วร่าง ทว่าทุกครั้งที่พลังลมปราณไหลเวียนครบรอบ กลับคืนสู่ทะเลวิญญาณ เขากลับขมวดคิ้วอย่างมิรู้ตัว มิช้า หยาดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ก็ผุดพรายขึ้นบนหน้าผาก อาภรณ์สีดำสนิทเริ่มเปียกชุ่ม
โดยปกติเมื่อผู้ฝึกตนโคจรพลังย่อมรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า แต่เหตุใดจี๋อู๋จิ่วกลับดูทรมานเช่นนี้ หยาดเหงื่อยิ่งไหลรินมากขึ้นทุกขณะ
...
ภายในเขตแดนประลองยุทธ์ ราวกับไร้กาลเวลา ท้องฟ้ายังคงสว่างไสว สายลมพัดผ่านผืนดินแห้งแล้ง ไร้ซึ่งพืชพันธุ์
เหมิงฉีมิอาจล่วงรู้ว่าตนเองหมดสติไปนานเพียงใด เมื่อลืมตาขึ้น สภาพแวดล้อมรอบกายก็ยังคงสว่างไสวเช่นเดิม หม้อโอสถสีน้ำตาลทองใบเล็กตั้งอยู่ไม่ไกล ราวกับเอื้อมมือคว้าได้
"อุ๊..." เหมิงฉีพยายามขยับกาย ความปวดเมื่อยยังคงแล่นริ้วอยู่ทั่วร่าง แต่ความหนาวเหน็บที่ราวกับจะกัดกินวิญญาณกลับจางหายไป นางใช้มือยันพื้น พยุงกายลุกขึ้นนั่ง ความรู้สึกนี้ช่างคุ้นเคย คล้ายกับครั้งก่อน ณ ตำหนักฮวาเจียง พลังวิญญาณในกายถูกดึงออกไปจนหมดสิ้น ทะเลวิญญาณว่างเปล่า ทำให้นางสลบไสลไป ก่อนจะฟื้นคืนสติในที่สุด
เหมิงฉีก้มมองมือของตนเอง ก่อนจะกวาดตามองรอบกายอย่างมิรู้ตัว
ท่านอาจารย์...
นางลองร้องเรียกในใจ
แต่ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ หากมิใช่เพราะทะเลวิญญาณยังคงปวดหนึบ และสมุนไพรที่นางใส่ลงในหม้อโอสถก่อนหมดสตินั้นยังคงอยู่ นางคงคิดว่าเสียงที่ได้ยินก่อนหน้าเป็นเพียงความฝัน
"เฮ้!" รองเท้าหนังสีดำคู่หนึ่งหยุดอยู่ตรงหน้า
เหมิงฉีเงยหน้าขึ้น สบตากับจี๋อู๋จิ่ว นางกลืนความผิดหวังลงคอ พยุงกายลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก
จี๋อู๋จิ่วแค่นเสียงเย็นชา แต่ก็นับว่าแปลก ที่เขามิได้เอ่ยวาจาเสียดแทงใดๆ
เหมิงฉีสูดลมหายใจเข้าลึก นางร่ายอาคมรอบหม้อโอสถสีน้ำตาลทอง ก่อนจะหย่อนหินวิญญาณลงไป เปลวเพลิงพลันพวยพุ่งขึ้นจากอักขระอาคม โอบล้อมหม้อโอสถไว้ มิช้า กลิ่นยาอันขมปร่า ก็คละคลุ้งไปทั่ว ผสานกับกลิ่นหอมของทุ่งหญ้า อบอวลอยู่ทั่วบริเวณ
จี๋อู๋จิ่ว: "..."
เขาตาฝาดไปแล้วหรือไร?!
เด็กสาวผู้นี้ ใช้อาคมเพลิงมหาลีฮั่ว เพียงเพื่อปรุงโอสถแก้พิษธรรมดาๆ เช่นนั้นรึ?!
จี๋อู๋จิ่วจ้องมองอักขระอาคมที่เหมิงฉีใช้ สีหน้าของเขา ยากจะคาดเดา
จากนั้น เขาก็จ้องมองนางอีกครั้ง
เขาเองก็สามารถใช้อาคมเพลิงมหาลีฮั่วได้เช่นกัน จึงมองออกอย่างชัดเจนว่า อาคมที่เหมิงฉีใช้นั้น มิใช่อาคมเพลิงมหาลีฮั่วแบบดั้งเดิม หากแต่เป็นแบบที่อ่อนด้อยกว่า
กระนั้น การนำมาใช้หลอมโอสถ...
ช่างเหมาะสมยิ่งนัก!
ดี! ดีมาก!
จี๋อู๋จิ่วผู้มักโอหังเช่นนี้ ในที่สุดเขาก็คลายความขุ่นเคืองลงเสียทีเมื่อมองดูเหมิงฉี