บทที่ 34: สหายร่วมเรียนตัวน้อย
เจ้าส้มไม่อาจขัดขืนอะไรได้จึงถูกเด็กหญิงตัวน้อยพาออกจากตำหนักไป ในขณะที่มันตะโกนโวยวายใส่อีกฝ่ายอย่างฉุนเฉียว
แต่คนตัวเล็กก็แลบลิ้นท้าทายมัน “ข้าไม่ปล่อยหรอก”
ด้านนอกตำหนักอิ๋งชุน มู่จวินฝานกำลังยืนรออยู่ที่เดิมที่เขามารับมู่ไป๋ไป่เมื่อวานนี้
วันนี้เด็กหญิงสวมชุดสีเขียวมรกต ซึ่งมันขับให้ใบหน้ากลมนั้นดูน่ารักมากขึ้น
“ท่านพี่รัชทายาท” มู่ไป๋ไป่เอ่ยทักทายผู้เป็นพี่ชาย
“เมื่อคืนเจ้านอนไม่หลับหรือ?” มู่จวินฝานยื่นมือไปจูงคนตัวเล็กอย่างเป็นธรรมชาติและเห็นว่าดวงตาของนางมีรอยดำคล้ำ เขาจึงถามขึ้นมาอย่างเป็นกังวล
“เพคะ” มู่ไป๋ไป่ปิดปากหาวพลางพยักหน้า “ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงได้ฝันเยอะขนาดนั้น”
“เจ้าฝันอะไรหรือ?” เด็กหนุ่มขมวดคิ้วหลังจากได้ยินคำพูดของเด็กหญิง แล้วมือที่กุมมือเล็กไว้ก็เปลี่ยนมาจับตรงบริเวณชีพจร
“หืม? ท่านพี่รัชทายาท ท่านรู้วิชาการแพทย์ด้วยหรือ?” มู่ไป๋ไป่รู้สึกสงสัยเมื่อเห็นการกระทำของเขา
มู่จวินฝานพยักหน้าเบา ๆ “ข้าพอจะเข้าใจนิดหน่อย”
ในขณะที่เขาร่ำเรียนอยู่ในศาลาหมิงหลี่ อาจารย์เสิ่นได้หยิบยกตำราแพทย์โบราณขึ้นมาคุยกับเขาในเวลาว่างหลังจากทำการบ้านเสร็จ
พวกเขามักจะใช้เวลาตลอดทั้งบ่ายเพื่อพูดคุยถึงเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงมีความรู้เกี่ยวกับการรักษาเยอะมาก
“ยอดไปเลย...” มู่ไป๋ไป่พูดออกมาจากใจจริง สมแล้วที่เขาเป็นถึงองค์รัชทายาท ตัวเขานั้นได้อ่านตำราทุกแขนงและยังมีทักษะในการรักษาด้วย
“ไป๋ไป่เป็นอย่างไรบ้าง สุขภาพแข็งแรงดีหรือไม่?” เด็กหนุ่มเอ่ยถาม
ตัวนางนั้นได้กินอิ่มนอนอุ่น กินข้าวมื้อละ 2 ชาม แล้วก็นอนหลับพักผ่อนตลอดทั้งคืน
ซึ่งมันเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากที่ร่างของเด็กอายุ 4 ขวบครึ่งจะสามารถอุ้มเจ้าแมวอ้วนสีส้มตัวนี้ได้
มู่จวินฝานขมวดคิ้วน้อย ๆ ขณะที่เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เขาก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาดังมาจากด้านหน้า
“ช่วย บุ๋ง ๆๆ… บุ๋ง ๆ…”
“ช่วยด้วย!”
“ช่วย…”
“ท่านพี่รัชทายาทได้ยินหรือไม่?” มู่ไป๋ไป่มองไปยังทิศทางที่มาของเสียง “ดูเหมือนว่ามีคนกำลังร้องขอความช่วยเหลือ”
“เจ้ามนุษย์โง่ ไม่ใช่แค่เหมือน แต่มีคนกำลังร้องขอความช่วยเหลือจริง ๆ”
เนื่องจากประสาทสัมผัสในการได้ยินของแมวนั้นไวกว่ามนุษย์ เจ้าส้มจึงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเอือมระอา “ไม่ต้องเดาเลย เสียงมาจากทิศทางของทะเลสาบไป่ฮวา คงมีคนตกลงไปในน้ำ”
แถมมันยังได้ยินว่ามีคนอยู่บนฝั่งด้วย แต่ไม่มีใครยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือคนที่พลัดตกลงไปในน้ำเลย
ตัวมันนั้นเคยเจอเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมายในรั้ววังหลวง มันคงเป็นเพียงกลอุบายโง่ ๆ ที่มนุษย์ใช้ฆ่ากันเอง
มู่ไป๋ไป่จับมือของมู่จวินฝานแล้ววิ่งไปทางต้นเสียงโดยไม่รีรอ
ณ ริมทะเลสาบไป่ฮวา
ยามนี้เด็กผู้หญิงในชุดคลุมสีเหลืองพยายามตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำ ในขณะที่เด็กหลายคนโบกมืออยู่บนชายฝั่งกำลังหัวเราะและมองดูอยู่เฉย ๆ โดยไม่มีใครคิดจะลงไปช่วยนางเลยสักคน
ในตอนที่มู่ไป๋ไป่จูงมือมู่จวินฝานเข้ามา เด็กหญิงที่ตกลงไปในน้ำก็อ่อนแรงมากจนแทบพูดอะไรไม่ได้แล้ว
“ท่านพี่รัชทายาท!” พอคนตัวเล็กเห็นว่าคนผู้นั้นกำลังจะจมน้ำตาย เธอก็ตกใจและเหลือบมองพี่ชาย
มู่จวินฝานที่อยู่ด้านข้างโบกมือเป็นสัญญาณให้ทหารองครักษ์ลงไปช่วยคนทันที
“เจ้าเป็นใคร อย่ามายุ่งเรื่องของคนอื่น เอาเวลาไปสนใจแต่เรื่องของตัวเองเถอะ!” เด็กกลุ่มนั้นที่ยืนอยู่ริมฝั่งทะเลสาบมีคนหนึ่งที่ดูจะมีอายุมากกว่าทุกคนเล็กน้อยและเป็นผู้นำของกลุ่ม เมื่อเห็นว่ามีคนยื่นมือเข้ามาช่วยคนที่จมน้ำ เขาจึงตะโกนขึ้นมา
“บังอาจ!” ขันทีที่ติดตามรัชทายาทตะคอกเสียงดัง “นี่คือองค์รัชทายาทกับองค์หญิงหก ยังไม่ทำความเคารพกันอีก”
เด็กกลุ่มนั้นไม่คาดคิดว่าคนที่เข้ามาจะเป็นเชื้อพระวงศ์ พวกเขาจึงรีบคุกเข่าลงด้วยความตื่นตระหนก
ในทางกลับกัน คนที่เป็นหัวโจกกลับส่งเสียงดูถูกในลำคอ ก่อนจะคุกเข่าลงทำความเคารพอย่างไม่เร่งร้อน
เนื่องจากอีก 7 วันหลังจากนี้จะเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของลี่เฟย เนื่องด้วยลี่เฟยไม่มีวี่แววว่าจะมีทายาทมาหลายปีแล้ว นางจึงขออนุญาตมู่เทียนฉงโดยการเลือกเด็กจากญาติทางฝ่ายของนางมาเข้าร่วมงานฉลองวันเกิดกับนางในวัง
แล้วคนที่เป็นหัวโจกคนนี้ก็คือหลานชายคนโปรดของลี่เฟย ซึ่งเป็นนายน้อยของตระกูลหลัว
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงไม่มีใครไปช่วยคนตกน้ำ?”
สิ่งที่มู่ไป๋ไป่เกลียดที่สุดคือการรังแกคนที่อ่อนแอกว่า เพราะตัวเธอนั้นเคยถูกรังแกมามากแล้ว ดังนั้นเธอจึงรู้สึกไม่พอใจมากเมื่อเห็นท่าทีของคนกลุ่มนี้
“ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่อยากช่วย แต่เราเองก็ว่ายน้ำไม่เป็น”
นายน้อยตระกูลหลัวมักจะเข้าวังมาเพื่อติดตามลี่เฟย ส่วนใหญ่แล้วเขาใช้เวลาอยู่ในตำหนักชิงเหอ ดังนั้นเขาจึงทำตัวเลียนแบบลี่เฟยที่คอยดูถูกมู่จวินฝานในใจ และรู้สึกว่าอีกฝ่ายจะถูกปลดจากตำแหน่งในไม่ช้าก็เร็ว
สำหรับองค์หญิงหก ครั้งล่าสุดที่เขาเข้ามาในวังหลวง เขาไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับคนผู้นี้มาก่อนเลย มันจึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะไม่สนใจนาง
“ท่านว่ายน้ำไม่เป็นหรือไม่ยอมช่วยกันแน่?” มู่ไป๋ไป่รู้สึกไม่พอใจมากยามที่เห็นท่าทีของอีกฝ่าย “ถึงแม้ว่าท่านจะว่ายน้ำไม่เป็น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะว่ายน้ำไม่เป็นเหมือนกัน”
คำพูดของเด็กหญิงทำให้ทุกคนเงียบไป
ปัจจุบันเด็กที่จมน้ำได้รับการช่วยเหลือขึ้นมาอย่างทันท่วงที เด็กหญิงตัวน้อยคนนี้ดูเหมือนจะอายุพอ ๆ กับมู่ไป๋ไป่ ยามนี้ใบหน้าเล็ก ๆ ของนางซีดลงเพราะความหนาวเย็น
ร่างเล็กสั่นเทาจนแทบจะยืนไม่ไหว ทว่าสิ่งแรกที่นางทำหลังจากที่ขึ้นมาจากน้ำได้ก็คือทำความเคารพมู่ไป๋ไป่กับมู่จวินฝาน และกล่าวขอบคุณ
“ขอบพระทัยองค์รัชทายาทและองค์หญิงหกที่ทรงช่วยชีวิตหม่อมฉันไว้เพคะ พี่ชายของหม่อมฉันเพียงแค่หยอกล้อหม่อมฉันเพียงเท่านั้น เป็นเพราะหม่อมฉันทำผิดเพคะ…”
“เขาเป็นพี่ชายเจ้าหรือ?” มู่ไป๋ไป่ตกใจมากจนไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี “นี่มันไม่ใช่เรื่องตลก เจ้าเกือบจะจมน้ำตายแล้วนะ”
ตัวนางเองก็มีพี่ชาย แต่เมื่อเปรียบเทียบกับนายน้อยหลัวที่ยืนดูน้องสาวตัวเองจมน้ำ มู่จวินฝานเปรียบได้ดั่งเทพบุตรเลย
คนตัวเล็กคว้าแขนเสื้อของพี่ชายโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะเงยหน้ามองใบหน้าหล่อเหลาและอ่อนโยนของเขา พลางซึมซับความอบอุ่นจากร่างกายของอีกฝ่าย
มู่จวินฝานรู้สึกถึงสายตาที่มองมา เขาจึงก้มหน้าลงแล้วเห็นน้องสาวกำลังมองเขาด้วยสายตาชื่นชม
มันทำให้เด็กหนุ่มอดไม่ได้ที่จะหยิกแก้มกลม ๆ ของนางเบา ๆ
“มันเป็นเพียงการหยอกล้อระหว่างเราพี่น้องจริง ๆ เพคะ” ‘หลัวเซียวเซียว’ หมอบตัวสั่นขณะตอบเสียงหนักแน่น
นางไม่กล้าบอกความจริงกับอีกฝ่ายเพราะกลัวว่าพอกลับไปถึงบ้านแล้ว พี่ชายของนางจะตีนางจนตาย
ทางด้านมู่ไป๋ไป่มองดูเด็กหญิงที่มีท่าทีเช่นนี้ด้วยความรู้สึกอธิบายไม่ถูก เธอไม่รู้ว่านางถูกรังแกอย่างไรบ้าง
“นางก็บอกแล้วว่าเป็นเพียงการหยอกล้อกัน องค์รัชทายาทกับองค์หญิงหกยังต้องการอะไรอีก?” นายน้อยหลัวเชิดคางขึ้นขณะที่พูด
เขาดูไม่สำนึกอะไรเลย แถมยังทำลอยหน้าลอยตาอีก ทำให้มู่ไป๋ไป่อยากจะต่อยหน้าเขาสักหมัด
“หลัวเซียวเซียว มานี่เร็วเข้า เจ้าเก็บจี้หยกที่ข้าสั่งมาแล้วหรือยัง?”
เด็กหญิงที่กำลังคุกเข่าตัวสั่นลุกขึ้นโค้งคำนับให้กับมู่จวินฝานและมู่ไป๋ไป่เป็นการบอกลาก่อนจะเดินตามเด็กกลุ่มนั้นไป
“ท่านพี่รัชทายาท” มู่ไป๋ไป่มองดูแผ่นหลังของหลัวเซียวเซียวแล้วกระซิบพูดเสียงเบา “ท่านคิดว่าเสด็จพ่อจะเห็นด้วยหรือไม่หากข้าเอ่ยปากขอให้นางมาเป็นสหายร่วมเรียน”
มู่จวินฝานพยักหน้า “เสด็จพ่อน่าจะเห็นด้วย”
เด็กหญิงพยักหน้ารับอย่างจริงจัง “ใช่ ข้าก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”
แต่ไม่นานเด็กหนุ่มก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ช้าก่อน… นางเป็นเพียงเด็ก 4 ขวบ แล้วนางยังต้องการสหายร่วมเรียนที่อายุเท่ากันอีกหรือ?
ทันทีที่มู่ไป๋ไป่พูดจบ เธอก็เรียกหลัวเซียวเซียวเอาไว้ ซึ่งตอนนี้อีกฝ่ายกำลังจะเดินไปถึงตัวนายน้อยหลัวแล้ว
“ข้าต้องการสหายร่วมเรียน เจ้ายินดีจะมาเป็นสหายร่วมเรียนของข้าหรือไม่?”
วันนี้หลัวเซียวเซียวรู้สึกสิ้นหวังมาก นางพร้อมที่จะสละชีวิตในวังหลวงแห่งนี้ได้ทุกเมื่อ
พี่ชายที่ชอบด้วยกฎหมายของนางนั้นเกลียดนางมาโดยตลอด และคราวนี้เขาได้พานางเข้ามาในวังหลวงเพียงเพื่อที่จะหาเหตุผลในการกำจัดนาง
แต่นางไม่เคยคิดเลยว่าในยามที่สิ้นหวังที่สุด องค์หญิงหกจะมาปรากฏตัวต่อหน้า
อีกฝ่ายไม่ได้เพียงแค่ช่วยตนขึ้นจากน้ำเท่านั้น แต่ยังเอ่ยปากถามนางด้วยว่าต้องการจะเป็นสหายร่วมเรียนกับเจ้าตัวหรือไม่?
นางไม่เคยคิดฝันถึงเรื่องนี้มาก่อน
“ข้าถามเจ้าอยู่นะ”
มู่ไป๋ไป่เห็นหลัวเซียวเซียวเหม่อมองตนอยู่นาน จึงคิดว่าสมองของเด็กคนนี้ได้รับการกระทบกระเทือนเพราะอยู่ในน้ำนานเกินไปหรือไม่?
ขณะที่เธอกำลังจะสั่งให้นางกำนัลที่อยู่ข้างกายเรียกหมอหลวง เธอก็เห็นอีกคนคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว