บทที่ 33: น่องไก่มีไว้สำหรับเด็ก
ซูหว่านรู้อยู่แล้วว่าคนของห้องครัวหลวงคนนี้คิดจะทำอะไร
แต่นางรู้ดีว่าทุกสิ่งที่นางมีในตอนนี้เป็นเพราะมู่ไป๋ไป่ ฝ่าบาทไม่ได้รักนาง แม้แต่การตั้งครรภ์มู่ไป๋ไป่ก็เป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น
ดังนั้นนางจึงไม่ได้มีความคิดที่จะพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองได้รับความรักจากมู่เทียนฉงเหมือนสตรีคนอื่น ๆ ในวัง
เพียงมองดูปราดเดียวก็รู้แล้วว่าสุรานี้จงใจนำมาเพื่อสิ่งนี้โดยเฉพาะ
นางไม่ได้อยากทำลายความตั้งใจของตัวเอง และทำให้ฝ่าบาทได้เห็นว่าตนนั้นไม่มีเจตนาใดแอบแฝง
“ข้าน้อยสมควรตาย” ขันทีที่ถูกตำหนิไม่ว่าเขาจะเป็นคนโง่มากเพียงใด เขาก็รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรผิด
เขารีบคุกเข่าลงและร้องขอความเมตตา “หว่านผิน โปรดทรงยกโทษให้ข้าน้อยด้วย”
“คราวนี้ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าก่อน” ซูหว่านไม่ได้คิดที่จะทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่
หลังจากที่ขันทีคนนั้นร้องขอความเมตตาอยู่ครู่หนึ่ง นางก็เงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “เอาสุรากานี้กลับไปเถอะ หากทำเช่นนี้อีก ก็อย่าได้ตำหนิว่าข้าโหดร้ายกับเจ้า”
ขันทีน้อยคล้ายกับได้รับการอภัยโทษ เขาจึงรีบก้มหัวขอบคุณ และกอดกาสุราวิ่งออกไปจากตำหนักทันที
“พระสนม คนของห้องครัวหลวงมีเจตนาดี…”
นางกำนัลที่อยู่ด้านข้างรู้สึกสับสนมาก
ในความคิดของนาง ในที่สุดฝ่าบาทก็ทรงสนพระทัยหว่านผินเพราะองค์หญิงหก หว่านผินเองก็ควรพยายามทำให้ฝ่าบาทพอใจเช่นเดียวกับพระสนมคนอื่น ๆ
มันจะเป็นการดีกว่าหรือไม่ถ้าสามารถรั้งฝ่าบาทให้มาเยือนที่ตำหนักได้ 2-3 คืน และให้กำเนิดทายาทเพิ่มขึ้น?
“ข้ารู้”
ซูหว่านเหม่อมองไปที่มู่เทียนฉงซึ่งกำลังอุ้มมู่ไป๋ไป่เดินมาอยู่ไม่ไกลด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
จากนั้นนางก็กระซิบบอกนางกำนัลในตำหนักว่า “สำหรับเรื่องนี้ข้ามีแผนของตัวเอง ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องนี้อีก”
นางกำนัลเม้มปากก่อนจะตอบอย่างไม่เต็มใจนัก “เพคะ…”
“หอมมาก!” มู่ไป๋ไป่ได้กลิ่นอาหารมาแต่ไกล แล้วเธอก็เลียริมฝีปากด้วยความหิวโหย
มู่เทียนฉงมองภาพนั้นอย่างขบขันและใช้นิ้วชี้เกลี่ยปลายจมูกของคนตัวเล็กด้วยความรัก “เจ้าเด็กตะกละ”
“ฮึ่ม” มู่ไป๋ไป่บิดตัวออกจากอ้อมแขนของพ่อตัวเอง
ทันทีที่เท้าของเธอแตะพื้น เธอก็วิ่งไปที่โต๊ะอาหารด้วยขาป้อมสั้น
ก่อนที่จะไปถึงโต๊ะ เธอก็ยังหันมายิ้มพร้อมกวักมือเรียกทุกคน “ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่รัชทายาท มานั่งกินข้าวเร็วเข้า เดี๋ยวอาหารจะเย็นเสียก่อน มันจะไม่อร่อย”
“เสียมารยาท” หว่านผินส่งสายตาดุลูกสาว “ฝ่าบาทยังไม่ทันได้นั่งโต๊ะเลย…”
“แต่ไป๋ไป่หิวแล้ว” เด็กหญิงกระเง้ากระงอด “นอกจากนี้ ไป๋ไป่อยู่ในวัยกำลังโต ถ้าไม่กินข้าวให้เยอะ ๆ ไป๋ไป่ก็จะไม่สูง”
“ถ้าเจ้าหิวก็กินก่อนเลย” มู่เทียนฉงพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ
“เย้ ท่านพ่อใจดีที่สุดเล้ย!”
มู่ไป๋ไป่ได้คีบท้องปลาอ้วน ๆ ให้กับผู้เป็นพ่อ จากนั้นก็คีบน่องไก่ให้มู่จวินฝานที่นิ่งเงียบมาตลอด
“ท่านพี่รัชทายาทก็ใจดีกับไป๋ไป่เช่นกัน”
คำพูดนั้นทำให้ดวงตาของมู่เทียนฉงหรี่ลง “มือของเจ้าหายดีหรือยัง?”
เด็กหญิงสะดุ้งเฮือก แล้วเพิ่งคิดได้ว่ามือของตัวเองนั้นยังไม่หายดี
แล้วเธอคีบอาหารเองได้อย่างไร?
การคีบอาหารนั้นต่างจากการเขียน
เพราะถ้าเขียนตัวหนังสือเบี้ยวก็ยังไม่เป็นไร แต่หากคีบตะเกียบเบี้ยว ของที่คีบอยู่ก็จะหล่น
คนตัวเล็กกะพริบตาปริบ ๆ พลางตอบว่า “อาจเป็นเพราะว่าปลามีน้ำหนักเบา”
แล้วน่องไก่ล่ะ?
เธอคีบน่องไก่ได้อย่างไร?
เด็กหญิงไม่ทันได้คิดถึงเรื่องนี้ จึงยกมือขึ้นปิดปาก ขมวดคิ้ว และทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
ทางด้านมู่เทียนฉงที่เห็นดังนั้นก็คีบเนื้อปลาใส่ปากโดยไม่พูดอะไรอีก
ท่านพ่อดีที่ซู้ดดด~
“ตอนกลางวันเจ้ากินยาหมดหรือไม่?” จู่ ๆ คนเป็นพ่อก็ถามขึ้นมา
มู่ไป๋ไป่เงยหน้าขึ้นตอบอย่างภาคภูมิใจว่า “ดื่มหมดแล้วเพคะ ท่านพี่รัชทายาทเป็นพยานได้!”
คำพูดที่ภาคภูมิใจของเด็กน้อยทำให้ทุกคนหัวเราะ
จากนั้นมู่ไป๋ไป่ก็คีบเนื้อส่วนที่ติดมันให้กับหว่านผิน
เมื่อคนตัวเล็กเห็นว่าน่องไก่ในชามของมู่จวินฝานไม่พร่องลงเลย เธอจึงถามขึ้นมาด้วยความสงสัย “ท่านพี่รัชทายาท ท่านไม่ชอบน่องไก่หรือ?”
“อะไรนะ? มีคนไม่ชอบกินน่องไก่ด้วยหรือ” เจ้าส้มที่เพิ่งกินน่องไก่เสร็จเงยหน้าขึ้นมอง “ส่งมาให้ข้าเถอะ ข้าจะจัดการเอง!”
หลังจากพูดจบมันก็ลุกขึ้นตั้งท่าจะกระโดดไปหาเด็กหนุ่ม
ในขณะที่ร่างของมันกำลังย่อตัวตั้งท่าจะกระโดดขึ้นไปกลางอากาศ มันก็สบเข้ากับสายตาเย็นชาของมู่เทียนฉงพอดี
“...” แมวจอมตะกละถึงกับชะงักค้างไป
เอิ่ม เกือบลืมไปว่ามู่เทียนฉงก็อยู่ที่นี่ด้วย ผู้ชายคนนี้ไม่ยอมให้มันร่วมโต๊ะด้วย
เลือกปฏิบัติ! นี่เป็นการเหยียดเผ่าพันธุ์!
เจ้าส้มรู้สึกโกรธมาก
“ข้าไม่ชอบ” มู่จวินฝานส่ายหัว ก่อนจะยิ้มให้กับมู่ไป๋ไป่และคีบน่องไก่ใส่ชามของนาง
“น่องไก่มีไว้สำหรับเด็ก”
“หืม? แล้วท่านพี่รัชทายาทไม่ใช่เด็กหรือ?”
ตอนนี้กับข้าวในชามของเธอนั้นกองสูงเป็นเนินเขาแล้ว พอมีน่องไก่มาวางเพิ่มบนนั้น มันก็ทำท่าจะหล่นลงได้ทุกเมื่อ
คนตัวเล็กที่เห็นดังนั้นก็รีบหยิบน่องไก่ขึ้นมากัดคำใหญ่
มันทำให้แก้มของเด็กน้อยพองขึ้น
“...” มู่จวินฝานมองภาพตรงหน้าเงียบ ๆ
มู่ไป๋ไป่เหมือนกำลังพึมพำอะไรบางอย่าง ทำให้หว่านผินมองลูกสาวด้วยสายตาสับสน
ในขณะนั้นคนตัวเล็กอ้าปากกว้างงับน่องไก่คำใหญ่และกระชากมือที่จับน่องไก่ออกอย่างแรง
แล้วน้ำลายที่ยืดจากน่องไก่นั้นก็กระเด็นใส่ตาของมู่เทียนฉงพอดี
ฮ่องเต้หนุ่มเหลือบมองลูกสาวด้วยสายตารังเกียจ ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทันที
ลูกสาวของเขาคนนี้แกล้งเขาได้ทุกวันจริง ๆ!
ขณะนั้นมู่ไป๋ไป่รับรู้ได้ถึงสีหน้ารังเกียจจากพ่อขี้โมโหของตน เธอจึงรีบก้มหน้าลงด้วยความอับอายพลางคีบอาหารเข้าปากต่อไป
หลังจากเด็กหญิงได้กินของอร่อยแล้ว เธอก็เตะขาป้อมสั้นไปมาอย่างมีความสุข
“ท่านพี่รัชทายาท ลองชิมนี่ดูสิ อร่อยสุด ๆ ไปเลย!”
“เวลากินห้ามพูด!” มู่เทียนฉงดุพร้อมกับเคาะหัวของลูกสาว “ทำไมเจ้าถึงได้พูดมากขนาดนี้”
มู่ไป๋ไป่เม้มริมฝีปากกุมหัวตัวเอง พร้อมกับทำหน้ามุ่ย
ท่านพ่อเองก็พูดตอนกินข้าวกับเธอ!
หรือว่าพ่อขี้หงุดหงิดคนนี้จะแอบอิจฉาท่านพี่รัชทายาท?
ขณะนี้ขาเล็ก ๆ ของเด็กน้อยยังคงแกว่งไปมาราวกับชิงช้า เธอได้กลายเป็นคนที่ทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารรื่นเริง
เมื่อทุกคนรับประทานอาหารเสร็จ มู่เทียนฉงก็ตั้งใจจะพามู่ไป๋ไป่กลับไปที่ตำหนักของตัวเอง แต่ทันใดนั้นก็มีราชกิจทางทหารให้เขาต้องจัดการ ดังนั้นเขาจึงต้องเปลี่ยนใจอย่างกะทันหัน
หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน พอหนังท้องตึง หนังตาของเด็กหญิงก็เริ่มหย่อน
ตอนนี้กรงของเจ้าแมวอ้วนได้ถูกนำมาวางไว้ในตำหนักของหว่านผินเรียบร้อยแล้ว มู่ไป๋ไป่จึงอุ้มเจ้าส้มเหมือนเด็กทารกไปส่งที่กรง
“หนักชะมัด เจ้าต้องลดน้ำหนักหน่อยแล้ว” เธอพูดพร้อมกับปล่อยแมวตัวโตเข้าไปในกรง
เจ้าส้มเชิดหน้ามองมู่ไป๋ไป่แล้วก็ทำเป็นไม่สนใจเธอ มันเดินตรงไปที่เตียงนอนของตัวเอง และซุกตัวลงในที่นอนอุ่น ๆ ทันที
ทางด้านคนตัวเล็กก็ถอดรองเท้าของตัวเอง เธอกลิ้งลงบนเตียง หาวครั้งหนึ่งก่อนจะหลับไป
เธอไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่ามีควันลอยออกจากกระถางในห้องของตน
คืนนั้นมู่ไป๋ไป่นอนกระสับกระส่าย
เธอฝันถึงเรื่องราวมากมาย พอถึงเวลาที่นางกำนัลในตำหนักมาปลุกให้ตื่นในเวลารุ่งสาง ใต้ตาของเธอก็ดำคล้ำไปหมด
“ง่วงจังเลย...” มู่ไป๋ไป่กลิ้งไปมาบนเตียง ทำเป็นไม่ได้ยินเสียงเรียกของนางกำนัล “เจ้าส้ม ข้าไม่อยากไปเรียนเลย”
ยามนี้แมวส้มขดตัวนอนอยู่บนหมอน เมื่อได้ยินอย่างนั้น มันก็อ้าปากหาวแล้วพูดขึ้นมาว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องไป”
“เจ้าพูดเหมือนง่าย...” เด็กน้อยพยายามจะลุกขึ้นจากเตียงโดยไม่ลืมที่จะคว้าเจ้าส้มไปด้วย “ดั่งคำที่ว่า สหายจะต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน ในเมื่อข้าต้องไปเรียนที่ศาลาหมิงหลี่ การปล่อยให้เจ้าอยู่ที่นี่คนเดียวมันคงจะไม่ดี”
“...” แมวตัวอวบอ้วนไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
ต้องขอโทษด้วย มันเป็นความผิดของข้าเอง… ถุย!
“แง้วววว!”
“วางข้าลงนะ!”