บทที่ 186 สนทนาเต๋า
ณ พระราชวังบนเกาะ ในดินแดนแคว้นจงโจว
งานประชุมใหญ่หมื่นนิกายได้เริ่มขึ้นแล้ว
ม่านกั้นระหว่างบันไดชั้นบนและชั้นล่างได้ถูกเปิดออก ผู้คนต่างสนทนากันอย่างออกรส
งานประชุมใหญ่หมื่นนิกายนี้ จะว่าไปแล้วก็เป็นเพียงโอกาสให้ผู้คนได้มาพบปะสังสรรค์กันเท่านั้น
แท้จริงแล้วมีนัยยะแฝงให้ทุกคนได้สานสัมพันธ์กันด้วย
เพราะหลังจากงานประชุมนี้ ก็จะเป็นการแข่งขันหมื่นนิกาย
หากศิษย์ในสังกัดพ่ายแพ้ ย่อมรู้สึกขุ่นเคืองใจ การได้สร้างความสัมพันธ์อันดีไว้ก่อน ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการปะทะกันระหว่างนิกายในภายหลังได้
แม้งานประชุมจะเริ่มแล้ว และม่านกั้นระหว่างชั้นบนล่างจะถูกเปิด แต่ความแตกต่างระหว่างสองฝ่ายก็ยังคงชัดเจน
เหล่านิกายศักดิ์สิทธิ์สนทนากันเอง ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากคุยกับผู้ที่อยู่บนบันไดซึ่งเป็นตัวแทนจากนิกายเร้นลับ ด้วยเกรงว่าจะทำให้พวกเขาไม่พอใจ
กลับกันมีหลายคนเร่งเร้าให้จั้วซูไปสนทนากับชูหยวน จนจั้วซูหน้าซีดเผือด พยายามหาข้ออ้างปฏิเสธไม่หยุด
ส่วนบนบันไดนั้นกลับเงียบสงบ ไม่มีความคึกคักเหมือนด้านล่าง
ชูหยวนยึดมั่นในท่าทีพูดน้อยนิ่งเงียบ เพียงนั่งขัดสมาธิอยู่เท่านั้น
เหล่าตัวแทนนิกายเร้นลับอื่นๆ เห็นชูหยวนเงียบขรึม
ก็นึกว่าเขาชอบความสงบ
จึงพากันนั่งขัดสมาธิตามไปด้วย ราวกับกลายเป็นรูปปั้นไปเสียอย่างนั้น
ทำให้บรรยากาศบนบันไดเงียบกริบ จนแทบจะน่าขนลุก
โชคดีที่อู่เยว่ฉลาดหลักแหลม รู้ทันสถานการณ์ จึงก้าวออกมาจากโต๊ะ เข้าไปหาชูหยวน ทำลายความเงียบลงเสียก่อน
"ท่านประมุขชู ครั้งก่อนที่ข้าได้มาเยือน ไม่มีโอกาสได้สนทนากับท่านมากนัก ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก ขอถือโอกาสนี้ได้พูดคุยกับท่านสักเล็กน้อยเถิด"
"อ้อ แล้วท่านผู้เจริญทั้งหลาย ในเมื่อเรานั่งเฉยๆ ก็คงน่าเบื่อ ไฉนเราไม่หาหัวข้อมาสนทนากันเล่าขอรับ?"
อู่เยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
"ได้สิ ได้เลย"
เหล่าตัวแทนนิกายเร้นลับแห่งแคว้นจงโจวต่างพยักหน้าเห็นด้วย
เมื่อได้ยินคำพูดนี้
สีหน้าของชูหยวนที่อยู่ข้างๆ พลันแข็งค้าง
หาหัวข้อมาคุยกันงั้นเหรอ?
คุยบ้าอะไรกัน
ข้ากับพวกเจ้าไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันสักหน่อย
พวกเจ้าเก่งจริง ส่วนข้านั้นเก่งแต่โม้
จะมีอะไรให้คุยกันได้
หรือจะให้ข้าสอนพวกเจ้าเรื่องข้อควรระวังในการฝึกฝนขั้นพื้นฐานของขั้นหลอมลมปราณช่วงต้น?
ชูหยวนรู้สึกประหม่าขึ้นมาทันที
แต่เขาก็ไม่กล้าปฏิเสธ
ได้แต่กัดฟันพยักหน้า
"ได้"
ชูหยวนเอ่ยปากเพียงคำเดียว ริมฝีปากขยับเบาๆ
เมื่อเห็นเช่นนั้น
อู่เยว่ถอนหายใจโล่งอก กำลังจะเอ่ยปากต่อ
แต่เขายังไม่ทันได้พูด
ตัวแทนนิกายเร้นลับอื่นๆ กลับรีบพูดขึ้นมาก่อน
ในสายตาของพวกเขา นี่คือโอกาสที่จะได้รู้ว่านิกายเร้นลับแห่งแคว้นตงโจวนี้มีแนวทางการสืบทอดวิชาไปในทิศทางใด
"ท่านผู้อาวุโส ไฉนเราไม่มาสนทนาเรื่องวิถีกันเล่า?"
"วิถี? ดีๆ ท่านผู้อาวุโส เรามาคุยเรื่องนี้กันเถอะขอรับ"
"พอเถอะๆ ให้ท่านผู้อาวุโสตัดสินใจเถิด ท่านว่าจะคุยอะไร เราก็คุยเรื่องนั้น"
ตัวแทนหลายคนต่างเอ่ยปากขึ้น
สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ
เมื่อตัวแทนเหล่านี้เอ่ยถึงหัวข้อนี้
ชูหยวนถึงกับอึ้งไป
หลังจากอึ้งไปครู่หนึ่ง เขาก็รู้สึกอยากหัวเราะ
คุยเรื่องวิถีงั้นเหรอ? บอกแต่แรกสิว่าจะคุยเรื่องนี้
หัวข้อนี้เขาถนัดนักหนา!!
เขาหลอกศิษย์มาหลายคนแล้ว
ไม่มีใครถนัดเรื่องนี้เท่าเขาหรอก!
เขาพูดเอง
ใครมาก็ไม่มีทาง!
ชูหยวนผ่อนคลายลง
"ได้"
ชูหยวนเอ่ยปากอีกครั้ง
ดวงตาของตัวแทนนิกายเร้นลับแห่งแคว้นจงโจวต่างเป็นประกาย
หนึ่งในนั้นก้าวออกมาทันที
"เมื่อจะสนทนาเรื่องวิถี ก็ต้องมีคนเริ่มก่อน เช่นนั้นข้าน้อยขอเริ่มก่อนแล้วกัน? ข้าน้อยอยู่ในขั้นเผชิญเคราะห์ มาจากนิกายเร้นลับแห่งหนึ่งในแคว้นจงโจว นั่นคือนิกายเจิ้นเทียน"
"นิกายเจิ้นเทียนของข้าสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ ล่วงเลยมาสองแสนปีแล้ว ในช่วงเวลานี้ได้ผลิตอัจฉริยะมากมาย ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด คงหนีไม่พ้นเทพบุรุษเย่เสวียนเมื่อหนึ่งแสนปีก่อน และเทพบุรุษเย่เสวียนก็เป็นผู้เสนอวิถีที่นิกายเจิ้นเทียนของเราถนัดที่สุด นั่นคือ วิถีแห่งการผนึก!"
"หนึ่งใบไม้คือหนึ่งโลก นี่คือวิถีพื้นฐานของนิกายเจิ้นเทียนเรา ในหนึ่งใบไม้บรรจุโลกหนึ่งใบ ใช้พลังของหนึ่งโลกไปผนึกผู้อื่น..."
ชายผู้นั้นพูดอย่างคล่องแคล่ว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในนิกายของตน
คนอื่นๆ ไม่ได้สนใจคำพูดของเขาเท่าไรนัก
หลังจากที่เขาพูดจบ
คนอื่นๆ ก็เริ่มเอ่ยปากบ้าง
"ข้าน้อยมาจากนิกายเร้นลับแห่งหนึ่งในแคว้นจงโจว นั่นคือนิกายหมิงเซียนเซิ่ง สิ่งที่นิกายหมิงเซียนเซิ่งของเราถนัดที่สุด ก็คือเวทมนตร์คาถา ในบรรดาสรรพสิ่งทั้งหลาย ทุกชีวิตที่มีจิตวิญญาณ ล้วนมีเหตุและผลนับหมื่นพันเกี่ยวพันอยู่ ส่วนเวทมนตร์คาถานั้น ก็คือการกระตุ้นเหตุและผลบนร่างของผู้อื่น ใช้เหตุและผลย้อนทำลายวิญญาณจนตาย!!"
"นิกายเบื้องหลังข้าน้อย คือวังวิญญาณหมื่นดวง..."
"ข้าน้อย..."
แต่ละคนต่างพูดถึงวิถีของนิกายตนเอง
ผลัดกันพูดทีละคน เป็นระเบียบเรียบร้อย
ประมาณสิบกว่านาทีต่อมา ก็มาถึงคิวของชูหยวน
ทุกคนหยุดพูด แม้แต่เปิดค่ายกลกั้นเสียงขึ้นมา ทำให้รอบข้างเงียบสงัด
ต่างตั้งใจฟังสิ่งที่ชูหยวนจะพูด
ข่าวเกี่ยวกับนิกายเร้นลับแห่งแคว้นตงโจวครั้งนี้ เป็นสิ่งที่พวกเขาอยากรู้มากที่สุด ส่วนเรื่องอื่นๆ ไม่สำคัญ
แต่ชูหยวนที่อยู่อีกฝั่งนั้นฟังจนงุนงง ยังไม่ทันได้สติ
นี่... เก่งกาจขนาดนี้เลยหรือ?
คำพูดของเขาล้วนล้วนแต่เป็นการโม้ ส่วนสิ่งที่หลุดจากปากคนพวกนี้ แปดในสิบส่วนคงเป็นเรื่องจริง
อีกครั้งที่เขาโม้ ส่วนคนอื่นเก่งจริง...
ผ่านไปสักพัก
ชูหยวนถึงได้สติ เห็นสายตาของทุกคนจับจ้องมาที่ตน รู้ว่าถึงคราวที่ตนต้องพูดแล้ว
เขาสูดลมหายใจลึก
สมองคิดอย่างรวดเร็ว
ควรพูดอย่างไรถึงจะทำให้พวกเขาตะลึง
ช่างเถอะ เป้าหมายคือการทำให้พวกเขาตะลึงอยู่แล้ว
งั้นก็พูดให้ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่จะทำได้เลย!
ชูหยวนคิดมาถึงตรงนี้ ก็สะบัดแขนเสื้อ สายลมเย็นพัดโชย
เขาหยุดชั่วครู่ แล้วเตรียมจะเอ่ยปาก
เสียงของเขาดังขึ้น...