บทที่ 28 น้ำพุร้อนที่สามารถล้างเส้นลมปราณชำระไขกระดูก
บทที่ 28 น้ำพุร้อนที่สามารถล้างเส้นลมปราณชำระไขกระดูก
หลิ่วเซียนเซียนประสานหมัดขึ้น แล้วตั้งท่าเตรียมพร้อม ก่อนกล่าวคำสีหน้าจริงจัง “ศิษย์น้องหญิงหลี โปรดชี้แนะ”
“ศิษย์น้องหญิงหลี” เลิกคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับเหยียดริมฝีปากเย้ยหยัน
ศิษย์พี่หญิงหลิ่วกล้าดีอย่างไรถึงได้มาท้าทายเธอ?
แม้ระดับการฝึกฝนของเธอจะด้อยกว่า แต่หลิ่วเซียนเซียนเคยเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้เธอมาก่อน ต่อให้มีความก้าวหน้าขึ้นบ้างแล้ว ทว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่ลบล้างช่องว่างระหว่างพวกเธอภายในชั่วข้ามคืน
ด้วยความแตกต่างด้านความแข็งแกร่ง เธอจึงมีความมั่นใจอย่างมาก และไม่กังวลว่าผลลัพธ์จะพลิกผัน
เธอไม่ลังเลที่จะกล่าวเตือนหลิ่วเซียนเซียนด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า “ศิษย์พี่หญิงหลิ่ว เตรียมรับการโจมตีให้ดี”
สิ้นเสียง “ศิษย์น้องหญิงหลี” เหลือบมองคู่ต่อสู้เล็กน้อย แล้วจึงใช้ปลายเท้าแตะพื้นเพื่อพุ่งตัวคล้ายกับวิหคเหินฟ้า แล้วฟาดฝ่ามือใส่หลิ่วเซียนเซียน
หลิ่วเซียนเซียนยังคงยืนนิ่งไม่ขยับไหว ราวกับวิญญาณล่องลอยออกจากร่าง
เมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามใกล้เข้ามา ความหวาดกลัวในจิตใจที่เธอเคยเผชิญในอดีตก็กลับมาแจ่มชัดอีกครั้ง
เธอรู้สึกราวกับว่าขุนเขาอันยิ่งใหญ่ถล่มลงมา ซึ่งทำให้ความหวาดกลัวในจิตใจยิ่งทวีคูณ
เธอนึกถึงประสบการณ์ในอดีตอีกครา พ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า ถูกผู้คนหัวเราะเยาะและเหยียดหยาม และยังถูกปฏิเสธนับครั้งไม่ถ้วน
เธอจะสามารถลุกขึ้นมาได้อีกครั้งจริง ๆ หรือ? และจะพลิกสถานการณ์ตามดังคาดหวังได้หรือไม่?
หลิ่วเซียนเซียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล อารมณ์หม่นหมองเริ่มเข้าครอบงำจิตใจ ส่งผลให้เธอหลบหลีกการโจมตีของศิษย์น้องหญิงหลีโดยไม่รู้ตัว
“ศิษย์น้องหญิงหลี” เปลี่ยนท่าทางการเคลื่อนไหวและส่งระลอกการโจมตีอย่างต่อเนื่อง
หลิ่วเซียนเซียนยิ่งตื่นตระหนก จึงหลบเลี่ยงครั้งแล้วครั้งเล่า และตกอยู่ในสภาวะจิตใจที่สับสน
ไม่ จะหลบเลี่ยงต่อไปไม่ได้ จำเป็นต้องเผชิญหน้าเท่านั้น และเอาชนะคู่ต่อสู้อย่างตรงไปตรงมาเพื่อลบล้างความอัปยศในอดีต
ทว่า หากเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ล่ะ?
หากเธอแพ้ขึ้นมา สหายทั้งเก้าที่ร่วมฝึกฝนด้วยกันเมื่อวานจะมองเธออย่างไร? หากขาดการสนับสนุนจากสำนัก พวกเขาจะต้องเกลียดชังเธอจนวันตาย
ยิ่งครุ่นคิดมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งทำให้เธอไม่สามารถปล่อยวางได้มากขึ้นเท่านั้น
หลิ่วเซียนเซียนรู้สึกวิตกกังวล และพยายามนึกถึงประสบการณ์เมื่อวาน เพื่อฟื้นคืนสภาพจิตใจยามเมื่อต่อสู้กับกระสอบทราย
หลังจากพยายามอย่างหนัก แม้จะไม่สามารถฟื้นคืนสภาพจิตใจตอนนั้นได้ แต่เธอพลันตระหนักถึงข้อเท็จจริงบางประการ…
เธอพบว่า ตนเองสามารถหลบหลีกการโจมตีได้อย่างรวดเร็วทุกครั้ง ทำให้ “ศิษย์น้องหญิงหลี” ไม่สามารถสัมผัสแม้แต่ชายเสื้อของเธอ!
“ศิษย์น้องหญิงหลี” ไล่ตามและล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า เธอจึงโพล่งด้วยความหงุดหงิด “ศิษย์พี่หญิงหลิ่ว ได้โปรดเผชิญหน้ากันโดยตรง ผู้คนต่างจ้องมองอยู่มากมาย ท่านจะหลีกหนีแบบนี้เรื่อยไปหรือ? แทนที่จะถ่วงเวลาอย่างน่าเวทนา เป็นการดีกว่าที่จะเผชิญหน้าอย่างกล้าหาญ อย่างน้อยหากพ่ายแพ้ ท่านยังรักษาหน้าตนเองไม่ให้คนอื่นดูแคลนได้”
ภายในโถงใหญ่ นอกจากเจ้าสำนักที่สงบนิ่งดุจบ่อน้ำไร้คลื่น เหล่าศิษย์ทั้งหลายมิได้ออกความคิดเห็นใด ๆ แต่กลับเริ่มแสดงความไม่พอใจและวิตกกังวล
“ศิษย์น้องหญิงหลี” รู้สึกอับอายอยู่ในใจ ศิษย์พี่หญิงหลิ่วผู้นี้ช่างไร้ศักดิ์ศรีมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่ความกล้าที่จะประลองกับเธอก็หามีไม่
โดยไม่คาดคิด สิ้นเสียงของเธอ กลับเห็นร่างเงาของหลิ่วเซียนเซียนหยุดชะงัก ก่อนหมุนตัวกลับและเริ่มตอบโต้
“ศิษย์น้องหญิงหลี” ประหลาดใจ นางกล้ารับคำท้าจริง ๆ งั้นหรือ?
โดยไม่ทันได้เตรียมตัว “ศิษย์น้องหญิงหลี” เกือบจะถูกอีกฝ่ายโจมตี
โชคดีที่หลิ่วเซียนเซียนด้อยฝีมือกว่า ชัดแจ้งว่าท่าทางการเคลื่อนไหวนั้นเต็มไปด้วยช่องโหว่
ดูเหมือนว่า ผลลัพธ์ของการประลองครั้งนี้จะได้รับการตัดสินแล้ว “ศิษย์น้องหญิงหลี” แค่นหัวเราะเบา ๆ ด้วยความโล่งอก
จากผลงานในปัจจุบันของหลิ่วเซียนเซียน นี่น่ะหรือที่เรียกว่ามีความก้าวหน้า? เห็นได้ชัดว่าการเคลื่อนไหวของนางย่ำแย่กว่าเดิมมาก แล้วเหตุใดหลิ่วเซียนเซียนและคณะจึงกล่าวคำเท็จ?
เดิมทีเธอคิดว่า หากหลิ่วเซียนเซียนและคณะมีความก้าวหน้าด้านฝีมือจริงดังกล่าวอ้าง เธอตั้งใจจะไปดูสถานที่ฝึกซ้อมด้วยตนเอง ทว่าตอนนี้ดูท่าจะไม่จำเป็นเสียแล้ว
เธอถอยหลังหนึ่งก้าว จับข้อบกพร่องของหลิ่วเซียนเซียนได้อย่างง่ายดาย ก่อนส่งฝ่ามือเข้าใส่ช่องโหว่นั้น
ในเสี้ยววินาที พลันเกิดสิ่งที่เหนือความคาดหมาย หลิ่วเซียนเซียนดูราวกับเป็นคนใหม่ เปลี่ยนท่าทางการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วดั่งสายฟ้า และปิดผนึกข้อบกพร่องได้ทันท่วงที
ในเวลานี้ กระบวนท่าของ “ศิษย์น้องหญิงหลี” กลับกลายเป็นล้าหลัง แรงเก่าไม่จบ แรงใหม่ยังไม่เกิด แน่นอนว่าปรับเปลี่ยนกระบวนท่าไม่ทัน
เธอทำได้เพียงมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า หลิ่วเซียนเซียนไม่เพียงสามารถปัดป้องฝ่ามือเธอได้ แต่ยังนำพาแรงมโหฬารโจมตีสวนกลับ
“ศิษย์น้องหญิงหลี” รู้สึกว่าพลังของฝ่ามืออีกฝ่ายล้นหลามจนไม่อาจต้านทานได้ ร่างกายถูกดันกลับลอยออกไป นี่เป็นการบดขยี้อย่างรุนแรงด้วยความได้เปรียบทางด้านฝีมือ
ทว่าสถานการณ์เช่นนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นในอดีต ด้วยการเคลื่อนไหวที่งุ่มง่ามของหลิ่วเซียนเซียน มันเป็นไปไม่ได้ที่จะโจมตีเธอ หรือเอาชนะเธอได้เลย
ทั้งสองต่างเป็นนักสู้ที่ไม่ทรงพลัง ไร้ซึ่งลมปราณปกป้องร่างกาย ไม่อาจโจมตีได้จากระยะไกล และไม่มีความเข้าใจอันลึกซึ้งในวิถีการต่อสู้
นักสู้ที่ไม่มีลมปราณ หากระดับการฝึกฝนไม่แตกต่างกันเกินไป จำเป็นต้องอาศัยความชำนาญของกระบวนท่าเป็นสำคัญ
เนื่องจากหลิ่วเซียนเซียนสามารถโจมตีเธอได้ เมื่อเทียบกับอดีตแล้ว ถือว่าเธอพัฒนาฝีมือขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ปรากฏว่า เธอเข้าใจหลิ่วเซียนเซียนผิด และประเมินอีกฝ่ายต่ำเกินไป
เจ้าสำนักพลันโบกแขนเสื้อแผ่วเบา ราวกับสายลมที่กลายเป็นฝน หันเหพลังฝ่ามือของหลิ่วเซียนเซียนอย่างง่ายดาย ส่งผลให้ “ศิษย์น้องหญิงหลี” รอดพ้นจากภัยหนัก
“ศิษย์น้องหญิงหลี” ทรุดตัวลงบนพื้นด้วยใบหน้าซีดเซียว “ข้าพ่ายแล้ว ทว่า…”
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเหตุผลที่เธอพ่ายแพ้อย่างแท้จริงจะเกิดจากการประมาท แต่พ่ายแพ้ก็คือพ่ายแพ้ การโต้แย้งเวลานี้จะมีประโยชน์อันใด?
“ศิษย์น้องหญิงหลี” คิดทบทวน แล้วเปลี่ยนคำกล่าว “ศิษย์พี่หญิงหลิ่วแตกต่างจากในอดีตโดยสิ้นเชิง ช่างน่าประทับใจยิ่ง ไม่ทราบว่าเมื่อวานท่านได้ไปฝึกซ้อมที่แห่งใด โปรดพาข้าไปด้วยได้หรือไม่?”
เนื่องจากหลิ่วเซียนเซียนพัฒนาฝีมือขึ้นมาก เพราะการไป “สถานที่แห่งนั้น” ที่ท่านเจ้าสำนักกล่าวถึง หากเธอได้ติดตามไปฝึกฝนด้วย บางทีอาจสามารถพัฒนาฝีมือให้เหนือยิ่งกว่าหลิ่วเซียนเซียนก็เป็นได้?
หลิ่วเซียนเซียนยื่นนิ่งอยู่กับที่พร้อมยกมือกุมหน้าอก รู้สึกหัวใจเต้นรัวลั่นคล้ายกับจะทะลุออกมา
เธอคว้าชัยชนะมาได้ ในที่สุดเธอก็ได้ลบล้างความอัปยศ และเอาชนะศิษย์น้องหญิงที่เคยชนะเธอ
ตราบใดที่เธอยังคงฝึกฝนที่โรงแรมแห่งนั้น อย่างน้อยในระดับเดียวกัน เธอคงจะไม่พ่ายแพ้ต่อศิษย์น้องอีกต่อไปใช่ไหม?
หลิ่วเซียนเซียนกลับมามีความมุ่งมั่น อยากจะพุ่งตรงไปยังโรงแรมในบัดดล
เจ้าสำนักกล่าวคำสีหน้าเรียบเฉย “ดูเหมือนว่าจะได้ผลดี สมควรรักษาความลับเกี่ยวกับลานบ้านไม่ให้แพร่งพรายออกไป เข้าใจหรือไม่? นอกจากนี้ เพื่อความยุติธรรม ตราบใดที่ข่าวสารเรื่องลานบ้านยังไม่รั่วไหล ค่าใช้จ่ายในการฝึกของพวกเจ้าทุกคนจะยังคงเป็นความรับผิดชอบของสำนัก”
แน่นอนว่า ศิษย์ของสำนักมีมากมายหลายชีวิต นอกจากสิบคนที่ส่งไปชุดแรก เขาวางแผนที่จะคัดเลือกศิษย์เพิ่มเติม
โรงแรมแห่งนั้นได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นประโยชน์และไร้พิษภัย กำไรที่ได้รับในปัจจุบันจึงต้องถูกรวมเข้าด้วยกัน
หลิ่วเซียนเซียน “…”
เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกซับซ้อนในใจ ความรู้สึกหวั่นไหวและลังเลใจเมื่อครู่ ดูเหมือนจะไม่มีความจำเป็นเลย
แต่หลังจากคิดเรื่องนี้อีกครา เธอก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา เพราะหากปราศจากแรงกดดันจากท่านเจ้าสำนัก เธอจะเอาชนะใจตัวเอง เอาชนะความขลาด และเอาชนะศิษย์น้องหญิงหลีได้อย่างไร?
เจ้าสำนักหยุดชั่วครู่ แล้วถามด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “มีใครในพวกเจ้าเคยทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจากโรงแรมนั้นบ้างไหม?”
ศิษย์ที่ไปฝึกฝนที่โรงแรมเซียนหยวนเมื่อวานนี้ต่างพากันตอบว่า
“ไม่เคยขอรับ เมื่อวานท่านผู้อาวุโสกัวเชิญเหล่าพี่น้องไปทานอาหารเท่านั้น”
“ใช่ขอรับ วัตถุดิบในร้านนั้นแปลกมาก ท่านผู้อาวุโสกัวบอกว่า โรงแรมแห่งนั้นอาจมีโลกอีกใบหนึ่งอยู่เบื้องหลัง จึงนำสิ่งที่ไม่มีในโลกของเรามาได้”
“ไม่เพียงแค่แปลก แต่ยังอร่อยมากอีกด้วย ข้าไม่เคยกินของที่อร่อยเท่านี้มาก่อนเลย”
ศิษย์ที่ไม่ได้ไปฝึกฝนที่โรงแรมเซียนหยวนกล่าวขึ้นว่า
“ที่พวกเจ้าพูดถึงคือโรงแรมเซียนหยวนงั้นหรือ? เมื่อวานเช้าข้าออกไปซื้อของบางอย่างที่นั่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและหม้อไฟสำเร็จรูปต่างก็เลิศรสมาก ทว่าเหตุใดถึงไม่เคยได้ยินว่าโรงแรมแห่งนั้นช่วยเหลือผู้คนด้านการฝึกฝนด้วย?”
“โดยปกติ เมื่อพบเจอกับโอกาสที่หาได้ยาก คนส่วนใหญ่จะเก็บเป็นความลับ เพื่อที่จะได้นำหน้าผู้อื่นอยู่หนึ่งก้าว”
“เท่าที่ข้าทราบ โรงเตี๊ยมหมิงก็ขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและหม้อไฟสำเร็จรูปเช่นกัน ราคาไม่แพงมาก เถ้าแก่หมิงยังบอกที่มาของสินค้าอย่างชัดเจน ทว่าข้าเกียจคร้านเกินกว่าจะไปโรงแรมด้วยตนเอง”
เจ้าสำนักกระแอมเบา ๆ “เงียบเสียงหน่อย แล้วพวกเจ้าทิ้งถ้วยกระดาษของบะหมี่ไปแล้วหรือ?”
“ท่านเจ้าสำนัก ไม่ต้องทิ้งถ้วยกระดาษหรอกขอรับ พวกเขาบอกว่าเถ้าแก่โรงแรมได้ร่ายเวทมนตร์ไว้ พวกมันจะหายไปเองหลังเสร็จสิ้นหน้าที่แล้ว”
เจ้าสำนักเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “… อืม”
…
หุบเขาการแพทย์ส่งคนไปที่โรงแรมเซียนหยวนเพิ่มเติม ขณะที่หน่วยสืบสวนก็ไม่ได้นิ่งเฉย พวกเขาส่งคนมาเพิ่มเช่นกัน ซึ่งต่างฝ่ายต่างรีบไปฝึกฝนที่ลานบ้านตั้งแต่เช้าตรู่
ดังนั้นในช่วงเช้า
ขณะที่เฟิงหยวนหนิงกำลังหลับใหล พลันได้ยินเสียงแจ้งเตือนของระบบดังขึ้นว่า “จำนวนคนที่มาใช้ลานบ้านธีม ‘สวนน้ำพุ’ ครบ 50 คนแล้ว จะปลดล็อกธีมลานบ้านใหม่หรือไม่?”
รำคาญจัง นอนยังไม่เต็มอิ่มเลย เธอพลิกตัวไปมาอย่างฉุนเฉียว แล้วพยายามหลับต่อ
ไม่นานนัก เธอก็ลืมตาตื่นด้วยความตกใจ ธีมลานบ้านอันใหม่งั้นเหรอ?!!!
เธอรีบลุกขึ้นนั่ง รู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว กระดูกทุกท่อนเหมือนจะส่งเสียงร้องประท้วง
ก่อนจะข้ามมายังโลกนี้ เฟิงหยวนหนิงต้องต่อสู้กับโค้ดอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ในออฟฟิศ เวลาเลิกงาน 21:00 น. เป็นเวลาปกติ แต่บางครั้งเธอก็ต้องทำงานล่วงเวลาจนถึงตีสาม หรือแม้กระทั่งตลอดทั้งคืน
เธอขาดการออกกำลังกายมานานหลายปี ร่างกายจึงอ่อนแอลงมาก
เมื่อวานเธอทำงานหนักมาทั้งวัน วันนี้ร่างกายจึงส่งสัญญาณออกมา กล้ามเนื้อและกระดูกที่ขาดการออกกำลังกายเริ่มส่งเสียงประท้วง
เฟิงหยวนหนิงทุบหลังของตัวเองไปด้วย พลางเปิดหน้าจอระบบไปด้วย
เงื่อนไขการอัปเกรดโรงแรม: ร้านอาหารรองรับลูกค้าทั้งหมด 113/3000 และทำภารกิจให้สำเร็จ 0/3 ภารกิจ
ภารกิจ: ขายปลาต้มพริกให้ลูกค้าครบ 25/100 จาน เพื่อปลดล็อกเอฟเฟกต์พิเศษของโรงแรม “สี่ฤดูดุจดั่งฤดูใบไม้ผลิ”
จำนวนคนที่มาใช้ลานบ้านธีม “สวนน้ำพุ” 50/50 คน
ข้อมูลของร้านอาหารยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ซิ่วเอ๋อร์ไม่มีสิทธิ์เข้าถึงระบบ ถ้าต้องการให้ร้านอาหารดำเนินการต่อไป เฟิงหยวนหนิงต้องทำเอง
ห้องพักเต็มหมดแล้ว เมื่อคืนนี้ ลูกค้าบางส่วนที่มาทานอาหารที่ร้านตัดสินใจพักค้างคืนที่นี่
ในที่สุดเฟิงหยวนหนิงก็สามารถปลดล็อกธีมลานบ้าน “น้ำพุน้ำแข็งและน้ำพุร้อน” ตามแผนการที่วางไว้
เงื่อนไขการปลดล็อกสำหรับธีมลานบ้านที่สามกลายเป็น: จำนวนคนสำเร็จการทะลวงขั้น 0/50 ในธีมลานบ้าน “น้ำพุน้ำแข็งและน้ำพุร้อน”
เฟิงหยวนหนิงเหลือบมอง แล้วปิดหน้าจอระบบ โดยไม่ได้สนใจที่จะปรับราคา
เธอคิดว่าจะเสนอส่วนลดสำหรับหนึ่งวันก่อน แล้วจึงพิจารณาราคาในภายหลัง สำหรับน้ำพุร้อนมหัศจรรย์นี้ เธอยังไม่มีเวลาคิดให้ลึกซึ้งเกี่ยวกับราคาที่เหมาะสม
ตอนนี้เธออยากจะลองแช่น้ำพุร้อนเองก่อน สิ่งอื่น ๆ ค่อยว่ากันทีหลัง
เธอลุกไปอาบน้ำ แต่งตัว และแต่งหน้าแบบง่าย ๆ ก่อนรีบวิ่งลงมายังชั้นหนึ่ง
น้ำพุร้อนที่สามารถล้างเส้นลมปราณชำระไขกระดูกจ๋า เธอมาแล้ว!
โดยไม่คาดคิด เมื่อลงมายังชั้นล่าง ปรากฏว่ามีกลุ่มคนกำลังมุงดูเครื่องจำหน่ายตั๋วของลานบ้านอยู่