บทที่ 27 ความก้าวหน้าอันก้าวกระโดด
บทที่ 27 ความก้าวหน้าอันก้าวกระโดด
ก่อนที่ประตูอำเภอเมืองฉ่างหลิงจะปิดลง จำนวนผู้คนในโรงแรมเซียนหยวนกลับลดลงเพียงเล็กน้อย
ในจำนวนนั้น หลายคนไม่ได้อยู่ในอำเภอเมืองฉ่างหลิง แต่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านใกล้เคียง บางคนพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมหมิง และบางคนก็มาจากหุบเขาการแพทย์
จากการพูดคุยของพวกเขา เฟิงหยวนหนิงทราบว่าหลายคนมาที่นี่เพื่อซื้อของโดยเฉพาะ และเมื่อพบว่าโรงแรมเปิดร้านอาหารด้วย จึงรู้สึกสนใจและอยากเข้ามาลิ้มลองอาหาร
เฟิงหยวนหนิงทำงานจนถึงดึกดื่น กระทั่งลูกค้าทุกคนกลับไปหมดแล้ว เธอจึงล้มตัวลงนอนบนโซฟาด้วยความเหนื่อยล้า
แม้จะเหนื่อยล้า แต่เธอก็รู้สึกมีความสุขมาก เธอเปิดหน้าจอระบบขึ้นมาเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลด้วยความพึงพอใจ
เงื่อนไขการอัปเกรดโรงแรม: ร้านอาหารรองรับลูกค้าทั้งหมด 113/3000 และทำภารกิจให้สำเร็จ 0/3 ภารกิจ
ภารกิจ: ขายปลาต้มพริกให้ลูกค้าครบ 25/100 จาน เพื่อปลดล็อกเอฟเฟกต์พิเศษของโรงแรม “สี่ฤดูดุจดั่งฤดูใบไม้ผลิ”
จำนวนคนที่มาใช้ลานบ้านธีม “สวนน้ำพุ” 31/50 คน
ซ่งอวี้หลวนที่อาสาเข้ามาช่วยหลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว ยืนมองมาที่เธอด้วยความชื่นชม
เถ้าแก่แสร้งทำเป็นคนธรรมดาได้แนบเนียนมาก
เพื่อที่จะฝึกฝนตัวเองและปรับปรุงการปฏิบัติทางจิตวิญญาณ เถ้าแก่จึงไม่ลังเลที่จะปรุงอาหารและเสิร์ฟอาหารให้กับแขกด้วยตัวเอง นับเป็นจิตวิญญาณที่น่าเคารพยิ่ง
ซ่งอวี้หลวนรู้มาตลอดว่า ปรมาจารย์อาวุโสมักจะปลอมตัวเป็นคนธรรมดาเพื่อสัมผัสประสบการณ์ความสุขความทุกข์ของมนุษย์ และเพื่อเข้าใจถึงความหมายที่แท้จริงของวรยุทธ์
เถ้าแก่พยายามอย่างเต็มที่เพื่อรับบทเป็นคนธรรมดา ทำงานหนักที่ยุ่งยากแบบนี้ แต่กลับไม่รู้สึกอับอายเลย ตรงกันข้ามเธอดูมีความสุขกับมันเสียด้วย
หรือว่าเถ้าแก่ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากชีวิตแบบนี้แล้ว?
เธอต้องการจะเรียนรู้จากเถ้าแก่ จึงทำทุกอย่างอย่างเต็มที่
เฟิงหยวนหนิงปิดหน้าจอระบบ มองไปที่ซ่งอวี้หลวนและกล่าวขอบคุณ “ข้ารับรู้ถึงความจริงใจของท่านแล้ว จึงต้องการบอกให้ทราบว่า อีกไม่นาน ท่านอาจจะสามารถฟื้นฟูเส้นลมปราณที่เสียหายได้”
ธีมสวนน้ำพุน้ำแข็งและสวนน้ำพุร้อน อาจจะช่วยแก้ปัญหาที่ซ่งอวี้หลวนกำลังเผชิญอยู่
ซ่งอวี้หลวนดีใจมากจนเกือบจะร้องไห้ออกมา “จริงหรือ? ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ ข้า… ตราบใดที่สามารถฟื้นฟูเส้นลมปราณได้ ต่อให้ข้าทำงานหนักเป็นวัวเป็นควายให้ท่าน ข้าก็เต็มใจ!”
เหมายี่ผู้ติดตามที่องค์ชายเฉินส่งมาช่วยเหลือรีบสาวเท้าเข้ามาด้วยสีหน้ากังวล “เถ้าแก่ขอรับ แล้วเจ้านายของข้าล่ะ? ไม่ใช่ว่าเจ้านายไม่ต้องการมาช่วย เพียงแต่ร่างกายของเขาอ่อนแอเกินไป จึงส่งข้ามาช่วยงานแทน นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาไม่จริงใจนะขอรับ”
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของทั้งสองคน เฟิงหยวนหนิงรู้สึกกดดัน จึงรีบเปลี่ยนคำพูดว่า “ความจริงข้ายังไม่แน่ใจนัก พวกท่านอย่าเพิ่งดีใจกันไปก่อนเลย ส่วนเรื่องเจ้านายของท่าน ข้าเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน รอจนถึงเวลานั้นค่อยดูสถานการณ์ ไม่ต้องรีบร้อนไปหรอก”
ให้เธอมาแบกรับชะตาชีวิตของใครสักคน ขอโทษนะ มันหนักหนาเกินไป เธอทำไม่ได้หรอก
ซ่งอวี้หลวนมองมาด้วยสายตาที่มั่นคงและแน่วแน่ “เถ้าแก่ ช้าจะพยายามทำดีต่อไปเจ้าค่ะ”
เหมายี่พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เถ้าแก่โปรดวางใจ หากมีสิ่งใดให้ข้าช่วยเหลือ ขอให้ท่านออกคำสั่งได้เลย อย่าได้เกรงใจกัน”
…
หลิ่วเซียนเซียน ศิษย์ธรรมดาคนหนึ่งของหุบเขาการแพทย์ การฝึกฝนขั้นมานะสร้างเจ็ดชั้น ทว่าฝีมืออ่อนแอจนมักถูกคนที่ระดับสูงกว่ากลั่นแกล้ง
แม้เธอจะมีพรสวรรค์ทางด้านร่างกาย แต่กลับขาดความรู้ความเข้าใจ ไม่เพียงจะเรียนรู้วิชาแพทย์ไม่ได้ แม้แต่วิชาวรยุทธ์ก็ยังไม่แตกฉาน จึงมักถูกอาจารย์มองด้วยสายตาที่เสียดาย
เมื่อแรกเข้าหุบเขา เธอเคยเป็นดาวเด่นที่เปล่งประกาย แต่บัดนี้กลับกลายเป็นคนธรรมดา และยังถูกหัวเราะเยาะเย้ย
เธอเคยรู้สึกกระวนกระวาย และไม่อยากยอมรับ
แต่เธอทำอะไรไม่ได้ เนื่องจากไม่สามารถตามทันความก้าวหน้าของคนอื่น จึงต้องยอมรับความโง่เขลาของตนเอง และยอมรับว่าตนเองด้อยกว่าผู้อื่นโดยกำเนิด
เดิมทีเธอเคยคิดว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้ไปตลอดชีวิต
แต่แล้ววันนี้
ผู้อาวุโสกัวอวี่ฉือพาเธอไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ที่นั่นเธอได้เห็นกับโลกใบใหม่ และได้รับโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อน
หลังจากฝึกฝนหนักตลอดทั้งวัน เธอรับรู้ได้ถึงความก้าวหน้าของตนเองอย่างชัดเจน
หลังจากพูดคุยกับสหายร่วมสำนักที่มาด้วยกัน เธอพบว่าคนที่มีพื้นฐานอ่อนแอจะได้รับประโยชน์มากกว่า
และเธอก็บังเอิญเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด
เธอรู้สึกโชคดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับเลือกจากเจ้าสำนัก เพื่อเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับโอกาสนี้
หลิ่วเซียนเซียนมีความสุขมาก เธอฝึกฝนอย่างหนักในป่ากระสอบทรายมาทั้งวัน กระทั่งดวงจันทร์ขึ้นกลางฟ้า จึงกลับไปพักที่หุบเขาการแพทย์พร้อมกับสหายร่วมสำนักคนอื่น ๆ
วันรุ่งขึ้น
เธอตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ตามนัดหมาย เพื่อไปพบกับคนอื่น ๆ แต่กลับได้รับคำเชิญจากเจ้าสำนัก
หลิ่วเซียนเซียนจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากไปยังโถงกลางตามคำสั่ง
เธอพบว่าอีกเก้าคนก็ถูกเรียกมาเช่นกัน นอกจากพวกเขาสิบคนแล้ว ในห้องโถงยังมีศิษย์รุ่นเดียวกันอีกสิบคนอยู่ด้วย
เจ้าสำนักกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “เมื่อวาน พวกเจ้าสิบคนไปฝึกฝนที่โรงแรมนั้นมาหนึ่งวัน มีอะไรคืบหน้าบ้างหรือไม่?”
“เรียนท่านเจ้าสำนัก หลังจากฝึกฝนเมื่อวานนี้ ข้ามีความก้าวหน้าขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับในอดีต”
หลิ่วเซียนเซียนกล่าวเสริม “ศิษย์เองก็เช่นกันเจ้าค่ะ”
คนอื่น ๆ ตอบกลับเจ้าสำนักเกี่ยวกับความก้าวหน้าของตนเอง
ใบหน้าเจ้าสำนักเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่นและเรียบเฉยไร้ความรู้สึก เขากล่าวคำ “โอ้ ในเมื่อพวกเจ้าทุกคนต่างบอกว่าตนเองมีความก้าวหน้าขึ้นมาก เช่นนั้นข้าจะเลือกหนึ่งคนในพวกเจ้าออกมา แสดงให้ข้าดูหน่อยว่าความก้าวหน้านั้นใหญ่เพียงใด”
เขามองใบหน้าของศิษย์แต่ละคน ก่อนสุดท้ายจะเลือกหลิ่วเซียนเซียน “เจ้าเลือกคู่ต่อสู้มาคนหนึ่ง หากสามารถเอาชนะ ทางสำนักจะยังคงรับผิดชอบค่าใช้จ่ายสำหรับการฝึกฝนของพวกเจ้า”
หลิ่วเซียนเซียนมองไปทางศิษย์ร่วมสำนักทั้งสิบที่เจ้าสำนักชี้นิ้ว พบว่าฐานพลังของพวกเขาใกล้เคียงกับเธอ นี่คงเป็นเหตุผลที่ท่านเจ้าสำนักเลือกเธอออกไป
เธอรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก เพราะการฝึกฝนที่โรงแรมครึ่งชั่วโมงนั้นต้องจ่ายเงิน 50 เหวิน
แน่นอนว่าคนเราต้องกินต้องนอน ไม่สามารถไปฝึกฝนที่ลานบ้านได้ตลอดทั้งวัน แต่ถึงแม้จะฝึกเพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อวัน ค่าใช้จ่ายโดยรวมนั้นก็มากพอสมควร
หากต้องฝึกฝนแบบนี้ทุกวัน ศิษย์ธรรมดาอย่างเธอจะหาเงินมาจ่ายได้อย่างไร?
แต่หากทางสำนักยังคงออกค่าใช้จ่ายให้ เธอย่อมปรารถนาสิ่งนั้น
เธอมองคนทั้งสิบที่เจ้าสำนักเลือกมา ในบรรดาพวกเขา หลายคนเคยเอาชนะเธอมาก่อน
และตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้แยแสเธอเลย สายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความดูถูกและเหยียดหยาม
แม้แต่หลิ่วเซียนเซียนเองก็เข้าใจดีว่า การที่พวกเขาจะดูถูกเธอนั้นเป็นเรื่องปกติ เธอเพิ่งไปฝึกฝนเพียงวันเดียว แม้ว่าจะมีความก้าวหน้าอยู่บ้าง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเก่งขึ้นมาในทันที
อย่างไรก็ตาม บางทีท่านเจ้าสำนักอาจจะผิดหวัง เพราะความจริงเธอมีความก้าวหน้าอย่างมาก
ในบรรดาคนทั้งสิบที่ได้รับโอกาส เธอซึ่งมีพื้นฐานย่ำแย่ที่สุด กลับเป็นผู้ได้รับประโยชน์มากที่สุด และเป็นธรรมดาที่พลังของเธอจะเพิ่มขึ้นมากที่สุด
หลิ่วเซียนเซียนหลับตาลง ตั้งสมาธิ และเลือกคู่ต่อสู้ที่อยู่ในขั้นมานะสร้างห้าชั้น
และเป็นคนผู้นี้เอง ที่เคยเอาชนะเธอตอนอยู่ในระดับห้าชั้น ทำให้เธอเสียหน้าและหมดกำลังใจ
วันนี้ เธอจะต้องคว้าชัยชนะมาให้ได้ และลบล้างความอับอายในอดีต