บทที่ 65 ความสามารถยังอ่อนหัดเกินไป!
ภายใต้สายตาจ้องมองเขาอย่างประหลาดใจจากผู้ดูแล เย่ฉางชิงออกจากหอภารกิจหลัก
เขาวางแผนที่จะทำภารกิจให้เสร็จหลังจากกินอาหารมื้อกลางวัน ด้วยความเร็วของเสี่ยวไป๋ หนึ่งชั่วยามคงพอเพียง
แม้จะมีศิษย์มาทานลดน้อยลงในช่วงกลางวัน แต่ศิษย์ที่รีบกลับมาที่นิกายยังคงมีหลายพันคน
แม้จะมีการแข่งขัน แต่เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้มันดีขึ้นมาก แต่เหล่าศิษย์ยังคงไม่กล้าผ่อนคลายแม้แต่น้อย
ตอนนี้ยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์เป็นเช่นนี้ ไม่พัฒนาหน้าก็คือถอยหลัง ถ้าเจ้าไม่พยายามพัฒนาตัวเอง เจ้าจะไม่มีแม้กระทั่งได้กินอาหาร ได้แต่ต้องยืนดูคนอื่นกิน
ในระหว่างนี้เหล่าศิษย์รู้ว่า เย่ฉางชิงจะออกไปทำภารกิจในช่วงบ่าย แต่ไม่รู้ทำไมทุกคนถึงรู้สึกตึงเครียด และพยายามแนะนำเขา
“น้องฉางชิง ภารกิจแค่อสูรเงาแค่ตัวเดียวไม่จำเป็นต้องออกไปทำด้วยตัวเอง ให้พี่ทำให้เถอะ พรุ่งนี้ข้าจะนำอสูรเงากลับมาให้ เอาจัดการยังไงต่อก็แล้วแต่ที่เจ้าต้องการ”
“ใช่ขอรับ ให้พี่ทำเถอะ น้องฉางชิงรออยู่ที่นิกายพักผ่อนเถอะ”
เห็นชัดว่าพวกเขาไม่อยากให้เย่ฉางชิงออกไปปฏิบัติภารกิต จึงต้องยอมให้ศิษย์พี่ช่วยทำภารกิจแทน
ในขณะเดียวกัน ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ชื่อว่าหมู่บ้านจู๋หยวน อสูรเงาตัวน้อยที่เพิ่งกินชาวบ้านไปหนึ่งคนรู้สึกหวาดเสียวขึ้นมา มันรู้สึกเหมือนจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น
แม้อยู่ในหมู่บ้านที่ห่างไกลและพลังของมันก็ไม่แข็งแกร่ง น่าจะไม่ดึงดูดความสนใจเหล่าผู้ฝึกตนอะไร
มันระมัดระวังตัวได้ดีเสมอมา
แต่เมื่อค่ำคืนมาถึง อสูรเงาถูกล้อมรอบโดยศิษย์จากยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์ห้าคน มันก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง
มันเป็นแค่อสูรเงาตัวน้อย ทำไมตอนนี้มีศิษย์ระดับปรมาจารย์จากยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์ห้าคนมาที่นี่ และพวกเขาก็ดูเหมือนมาหามันโดยเฉพาะ
“เป็นมันใช่ไหม?”
“น่าจะใช่ อสูรเงาที่หมู่บ้านจู๋หยวน ตามที่ระบุในภารกิจ”
“ไม่ต้องสนใจหรอก จับสัตว์อสูรรอบๆ ทั้งหมด แล้วให้น้องฉางชิงเลือกเองดีกว่า”
“ดี จะได้ตัดปัญหาไป”
ฟังๆไปนี่พูดเหมือนกับคนทั่วไปและในขณะที่อสูรเงายืนดูด้วยความกลัว ศิษย์ทั้งห้าก็เริ่มลงมือ
ไม่เพียงจับอสูรเงา แต่ยังรวบรวมสัตว์อสูรทั้งหมดในรัศมีร้อยลี้
บางสัตว์อสูรที่นอนอยู่ในถ้ำโดยไม่รู้ตัว ก็โดนจับตัวไปโดยศิษย์ห้าคน
“พวกเจ้าทำอะไร?”
“นี่มันบ้าไปแล้ว นิกายชั้นหนึ่งจะบ้าหรือไง ข้าแค่ครึ่งอสูร”
“อ้ากกกก...”
เนื่องจากหมู่บ้านจู๋หยวนตั้งอยู่ห่างไกล สัตว์อสูรที่อาศัยอยู่ที่นั่นจึงเป็นเพียงอสูรระดับต่ำ พวกเขาไม่เคยเห็นแม้แต่ศิษย์ระดับก่ออวิญญาณมาก่อน
แต่ในคืนหนึ่ง ศิษย์จากยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์ห้าคนได้กวาดล้างพื้นที่นี้ไปหมด
จนถึงวันถัดมา เย่ฉางชิงเมื่อเห็นสัตว์อสูรจำนวนมากในห้องครัวก็รู้สึกตกใจ มองไปที่พี่น้องทั้งห้าคนและถาม
“ศิษย์พี่ขอรับ ภารกิจของข้าที่บอกไปแค่ล่าอสูรเงาตัวเดียวไม่ใช่เหรอ?”
“เรากลัวจะผิดพลาดไง ศิษย์น้องเจ้าช่วยเลือกออกมาเลย ที่เหลือเราเอาไปจัดการต่อให้เอง”
สัตว์อสูรที่ฟังการสนทนาของพวกเขาก็สั่นด้วยความกลัว ตอนนี้พวกเขาเข้าใจแล้ว
เพียงแค่ภารกิจระดับหนึ่งดาวจากนิกาย ทางนิกายถึงขนาดจับพวกเขามาที่นี่ทั้งหมด
จริงๆ แล้วนิกายชั้นหนึ่งดูเหมือนจะบ้าบอสิ้นดี
สุดท้าย เย่ฉางชิงต้องเลือกอสูรเป้าหมายและพี่น้องทั้งห้าคนก็จัดการสังหารพวกมัน
อสูรไม่มีค่ามากนัก แต่สัตว์อสูรยังสามารถเก็บไว้ได้ ซึ่งไม่คาดคิดว่าสัตว์อสูรเหล่านี้จะกลายเป็นวัตถุดิบสำหรับโรงครัวของยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์
ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ชีวิตของเย่ฉางชิงในยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์ยังคงดำเนินอย่างเรียบง่ายเช่นเดิม ทำอาหาร, ฝึกฝน, รับภารกิจ
แต่ในช่วงสองวันที่ผ่านมา ศิษย์จากยอดเขาอื่นๆ เริ่มมีแนวโน้มที่จะรวมตัวกันเพื่อต่อสู้กับศิษย์จากยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์
ทุกเช้าตรู่ หน้าหอภารกิจเต็มไปด้วยคน
“นี่ข้าทนไม่ไหวจริงๆกับกลุ่มนี้ที่มารับภารกิจกันตั้งแต่เช้าตรู่”
“หี พวกศิษย์จากยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์ไม่เห็นใจเรา เราก็ไม่เห็นใจพวกมันเหมือนกัน ไม่ใช่แค่การแย่งภารกิจ แย่งม้า พวกเราก็จะสู้ด้วยเหมือนกัน”
“ถ้ายอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์ไม่ให้ม้า เราก็จะไม่ให้พวกเขาเอาภารกิตออกไปได้ พวกเขาจะทำภารกิจอย่างไร”
ในที่สุดความโกรธเคืองที่ไม่สามารถยับยั้งได้ก็เริ่มแพร่กระจายไปยังแต่ละยอดเขา
และการที่เป็นเช่นนี้ ก็ทำให้หอภารกิจหลักกลายเป็นสถานที่ที่พลุกพล่านที่สุดในยอดเขาหลัก
แทบทุกช่วงเวลามีศิษย์ยืนเฝ้าหน้าหอภารกิจหลัก เพียงแต่หอภารกิจเพิ่มภารกิจเมื่อใด ก็จะมีฝูงศิษย์พุ่งเข้ามาแย่งกันจนว่างเปล่า
แต่ถึงอย่างนั้นโอกาสที่ศิษย์จากยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์จะได้ภารกิจก็ยังคงสูงที่สุด
นอกจากหอภารกิจแล้ว ก็ยังมีการแย่งชิงม้าอสูร
เมื่อออกจากหอภารกิจหลักศิษย์จากยอดเขาอื่นๆจะมองไปที่ศิษย์จากยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์ด้วยความเคียดแค้น แล้วรีบวิ่งไปที่ม้าอสูรที่เชิงเขา
ในตอนแรกศิษย์จากยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์ยังไม่เข้าใจว่านี่หมายความว่าอะไร จนกระทั่งต่อมาพวกเขาก็รู้ว่าพวกเขาต้องการแย่งม้า
ศิษย์จากยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์จึงแสดงความเย้ยหยัน
“ไม่ได้ดูถูกพวกเจ้าหรอก แต่ถ้าต้องการแย่งม้า พวกเจ้ายังเด็กเกินไป”
เมื่อพวกเขารีบไปที่เชิงเขา ศิษย์จากยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์เห็นวิธีการเคลื่อนที่ของศิษย์จากยอดเขาอื่น ๆ ต่างก็หัวเราะเยาะ
“เอาแต่วิชาการเคลื่อนที่ระดับต่ำมาอวด ดูของข้า วิชาการเคลื่อนที่ที่มีความรวดเร็ว”
วิชาการเคลื่อนที่ของศิษย์จากยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์มักจะเหนือกว่าศิษย์จากยอดเขาอื่น ๆ
เมื่อพวกเขาใช้วิชาการเคลื่อนที่ ศิษย์จากยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์ก็พุ่งออกไปเร็วมาก จนทำให้ศิษย์จากยอดเขาอื่น ๆ ที่ตามไม่ทันรู้สึกตกตะลึง
“เมื่อกี้นี่มันอะไรกัน?”
“ตาบอดรึไง นั่นคือวิชาการเคลื่อนที่ระดับสูง”
“ระดับสูง?”
หากมีเพียงหนึ่งหรือสองคนก็อาจจะไม่แปลกใจ แต่ศิษย์จากยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์แทบทุกคนมีวิถีการเคลื่อนที่ที่ฝึกฝนจนถึงระดับสูง
นี่ยิ่งกว่าเรื่องตลก ดูศิษย์ยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่พวกเขาเหนื่อยหอบเมื่อไปถึงสนามม้า ก็ไม่มีม้าให้พวกเขาแล้ว
“จริงใช่ไหมเนี้ย? พวกยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์เป็นอะไรเนี่ย มีวิชาการเคลื่อนที่ระดับสูงเป็นปกติรึไง?”
“เร็วกว่าเจ้าม้าอสูรเสียอีก”
“แม้จะไม่เต็มใจ แต่เรื่องวิชาการเคลื่อนที่ ข้ายอมรับว่ายอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์เยี่ยมที่สุด”
“อ๊ากกกก ข้าไม่ยอมแพ้”
ภายนอกสนามม้า ศิษย์จากยอดเขาอื่นๆร้องไห้ด้วยความเสียใจ ขณะที่ศิษย์จากยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์ที่ไปถึงก่อนได้นั้งบนหลังม้า ยิ้มเยาะใส่พวกเขา
“คิดจะแย่งม้าจากข้า? เรื่องตลกชะมัด ถึงข้าจะมีพ่ายแพ้ในเรื่องแย่งมื้ออาหารบ้าง”
“แค่ไม่สามารถแย่งมื้ออาหารได้ทุกอบ ก็ไม่สามารถแย่งม้าได้?”
“ยังมองโลกในแง่ดีอยู่”
“ยังอ่อนเกินไป”
ดังนั้นศิษย์จากยอดเขาอื่นๆที่เตรียมตัวจะตอบโต้ กลับพบว่าพวกเขาไม่สามารถตัดหน้าพวกยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์ได้
ศิษย์ยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์ในอนาคต คงจะไม่ต้องใช้ชื่อว่ายอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป แต่ควรเรียกว่ายอดเขาวิชาการเคลื่อนที่แทน ทุกคนมีวิชาการเคลื่อนที่ระดับสูง แบบนี้จะทำอย่างไรได้?