บทที่ 32: โยนความผิดให้เจ้าส้ม
มู่เทียนฉงขมวดคิ้วและนัยน์ตาเย็นชาของเขาก็มุ่งตรงไปที่มู่ไป๋ไป่
เด็กหญิงที่สัมผัสได้ถึงสายตาพิฆาตก็สั่นไปทั้งตัวและรู้สึกหวาดกลัวมากจนน้ำตาไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้
เธอรีบหันหลังกลับทำเป็นมองไม่เห็นผู้เป็นพ่อ ก่อนจะยกมือขึ้นเช็ดหน้าแบบสะเปะสะปะ
“ท่านพ่อ?” มู่ไป๋ไป่หันกลับไปมองคน 2 คนที่ยืนอยู่ที่ประตูอย่างสับสน
ไม่นะ โดนจับได้ซะแล้ว!
ขณะเดียวกัน เจ้าส้มตื่นขึ้นมาแล้วบิดตัวอย่างเกียจคร้าน จากนั้นก็เหล่ตามองคนที่กำลังมาถึง
เมื่อแมวตัวอวบอ้วนเห็นชุดที่ถูกปักด้วยดิ้นทองสว่างสดใสนั้น มันก็ตกใจกลัวแล้วกลิ้งไปกอดแขนเล็ก ๆ ของเด็กน้อย แล้วก็จับเอาไว้เช่นนั้นไม่กล้าปล่อย
มู่ไป๋ไป่มองดูการเคลื่อนไหวของมัน ทันใดนั้นก็คิดอะไรขึ้นมาได้
เธอจึงรีบคว้าตัวเจ้าส้มไปยื่นต่อหน้ามู่เทียนฉง ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านพ่อ แมวส้มตัวนี้รู้จักแต่นอนทั้งวัน ทำให้ไป๋ไป่รู้สึกอยากจะนอนเหมือนกัน ความง่วงมันเป็นโรคติดต่อ ดังนั้นหากท่านพ่อต้องการจะลงโทษ ก็ลงโทษมันเถิดเพคะ ท่านพ่ออย่าตีไป๋ไป่เลย”
“...” เจ้าส้มถึงกับพูดไม่ออกกับคำพูดของมู่ไป๋ไป่
ยามนี้ดวงตาที่เย็นชาของฮ่องเต้หนุ่มเปลี่ยนเป็นแสดงถึงความสนใจ
จากนั้นเขาก็คว้าหลังคอของแมวตัวโตขึ้นมาแล้วโยนมันไปให้มือขวาของตน
อวี้เซิ่งที่ไม่ทันได้ตั้งตัวตกใจยื่นมือออกไปรับตามสัญชาตญาณ
“ตั้งแต่วันนี้ไปเราขอสั่งให้ขังมันเอาไว้ในกรง วันนี้องค์หญิงหกทำการบ้านเสร็จเมื่อใด เมื่อนั้นมันจะได้รับการปล่อยตัว”
“...” เจ้าส้มยังคงนิ่งเงียบ
พอมู่ไป๋ไป่เห็นสีหน้าไม่พอใจของอีกฝ่าย เธอก็มองมันด้วยสายตาขอโทษ
ตอนนี้แมวตัวสีส้มที่อยู่ในอ้อมแขนของอวี้เซิ่งมีสีหน้าสิ้นหวัง “ข้าจะไม่มีวันยกโทษให้เจ้า ถึงแม้ว่าเจ้าจะเอาไก่ 10 ตัวมาขอโทษก็ตาม!”
เจ้าส้มโกรธแค้นเด็กหญิงมาก ซึ่งมันทำให้เธอตื่นตระหนก
จากนั้นนัยน์ตากลมโตก็ฉายแววเว้าวอนอย่างน่าสงสาร “ท่านพ่อ ให้มันกินน่องไก่ก่อนแล้วค่อยขังมันไว้…”
สายตาเย็นชาของมู่เทียนฉงเลื่อนไปมองคนตัวเล็กแล้วพูดสวนขึ้นมาว่า “ใครอนุญาตให้มันกินน่องไก่?”
มู่ไป๋ไป่รู้สึกใจสั่น หรือว่ามันกินได้เฉพาะของเหลือที่คนกินไม่หมดเท่านั้น?
ขณะนั้นอันกงกงเหยียดยิ้มขมขื่นแล้วอดไม่ได้ที่จะอธิบายว่า “องค์หญิงหก แมวทรงเลี้ยงจะได้กินเนื้อสด ๆ และขาแกะทุกวัน หรือไม่บางทีก็เป็นปูและกุ้งพ่ะย่ะค่ะ”
“...” เด็กหญิงถึงกับพูดไม่ออก
ที่แท้เจ้าส้มก็อยู่ดีกินดีมากกว่าที่คิด!
มู่ไป๋ไป่นิ่งเงียบไปทันที ในขณะที่แมวตัวโตพยายามต่อสู้ดิ้นรนกับอวี้เซิ่งอยู่ 2-3 ครั้งและส่งเสียงร้องหลายครั้ง
“ข้าอยากกินน่องไก่ อยากกินน่องไก่! เจ้าขอร้องพ่อเจ้าสิ ค่อยจับตัวข้าไปหลังจากกินเสร็จ”
เมื่อมาถึงจุดนี้ มันก็พยายามที่จะกอบกู้ความสูญเสียของตัวเอง
ตัวมันนั้นต้องกินอาหารเลิศรสที่ได้จากภูเขาและทะเลทุกวัน มันเองก็อยากจะเปลี่ยนรสชาติบ้างเหมือนกัน
มู่ไป๋ไป่กะพริบตาปริบ ๆ พลางยู่ริมฝีปากตัวเอง ก่อนจะพูดกับคนเป็นพ่อว่า “ท่านพ่อ เจ้าแมวตัวนี้บอกว่าอยากกินน่องไก่เพคะ”
เขาจะเชื่อหรือไม่?
มู่เทียนฉงลังเลอยู่ครู่หนึ่งราวกับว่าเขาเชื่ออย่างนั้นจริง ๆ “กินข้าวเสร็จค่อยเอาตัวมันไปขัง”
ทันใดนั้นเสียงร้องประท้วงเล็กแหลมของเจ้าส้มก็เปลี่ยนเป็นออดอ้อน ขณะที่มันเลียริมฝีปากอย่างมีความสุข
จากนั้นสายตาของฮ่องเต้หนุ่มก็เลื่อนไปมองมู่จวินฝานที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น
“เรายกตำหนักตงกงและมอบตำแหน่งรัชทายาทให้เจ้า มันใช่หน้าที่ของเจ้าหรือที่ต้องมานั่งทำการบ้านให้น้องสาวเจ้า?”
มู่จวินฝานที่สูงเกือบเท่าไหล่ของบิดาสัมผัสได้ถึงความน่าเกรงขามจากตัวของอีกฝ่าย
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพ่อเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า “เสด็จพ่อ ไป๋ไป่ยังเด็กและไม่เข้าใจสิ่งที่อาจารย์เสิ่นสอนมากนัก ดังนั้นกระหม่อมจึงสอนการบ้านให้นาง”
“แล้วเมื่อครู่เจ้าเขียนอะไรอยู่?”
มู่เทียนฉงไม่แสดงความเมตตาและถามออกมาอย่างเย็นชาโดยขัดขวางข้อแก้ตัวทั้งหมดของลูกชาย
มู่จวินฝานรู้ว่าเสด็จพ่อคาดหวังในตัวเขามากเพียงใด แล้วหวังว่าเขาจะรับผิดชอบหน้าที่ที่ใหญ่หลวงได้ แต่ตอนนี้เขาทำให้เสด็จพ่อรู้สึกผิดหวังในตัวเขา
จากนั้นเขาก็ก้มลงวางฝ่ามือแนบกับพื้นตามด้วยก้มศีรษะลง
“ทั้งหมดเป็นความผิดของกระหม่อมเอง กระหม่อมยอมรับการลงโทษพ่ะย่ะค่ะ”
บัดนี้ดวงตาของมู่เทียนฉงเปลี่ยนเป็นเฉียบคม มันได้แผ่ความเยือกเย็นจากภายในสู่ภายนอก
จากนั้นสายตาของเขาก็กวาดไปมองกระดาษที่มู่จวินฝานเขียน ก่อนจะเห็นตัวอักษรที่บิดเบี้ยวไม่น่าดูบนนั้น
รัชทายาทของเขาเขียนสิ่งนี้ขึ้นมาหรือ?
ในเวลาเดียวกัน มู่ไป๋ไป่เห็นว่าความโกรธในดวงตาของผู้เป็นพ่อเริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เธอจึงไม่กล้ารั้งรออีก
เด็กหญิงเบะปากและถลาไปคุกเข่าที่เท้าของมู่เทียนฉง
เธอรีบคว้าแขนเสื้อของเขาพลางเงยหน้าขึ้นมองชายผู้แข็งแกร่งด้วยสายตาเว้าวอน แล้วพูดเสียงสดใสว่า “ท่านพ่อ มันเป็นความผิดของไป๋ไป่เอง ไป๋ไป่ไม่ควรขอร้องให้ท่านพี่รัชทายาทมาทำเช่นนี้”
“แต่การบ้านที่อาจารย์เสิ่นมอบให้นั้นยากเกินไป… ไป๋ไป่ไม่อยากให้ท่านพ่อต้องเสียหน้า”
คำพูดนั้นทำให้ความโกรธของมู่เทียนฉงลดลงทันที ก่อนที่เขาจะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เจ้ากลัวที่จะทำให้เราอับอายเช่นนั้นหรือ เจ้าจึงขอให้รัชทายาทช่วยทำการบ้านแทน?”
“เพคะ…” มู่ไป๋ไป่บีบมือตัวเองแน่นขณะก้มหน้าตอบเสียงต่ำ
“ไป๋ไป่รู้ดีว่าตัวเองไม่มีวาสนามากพอที่จะมาร่ำเรียนกับองค์รัชทายาท แต่ท่านพ่อก็ยังเมตตาให้ไป๋ไป่ได้รับโอกาสนั้น ถ้าไป๋ไป่ไม่สามารถส่งการบ้านอาจารย์ได้ มันจะไม่ทำให้คนอื่นมองเสด็จพ่อเป็นตัวตลกเช่นนั้นหรือเพคะ?”
มู่เทียนฉงยังคงยืนมองคนตัวเล็กเงียบ ๆ หลังจากผ่านไปสักพักก็มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าของเขา “แล้วเช่นนี้เราควรชื่นชมเจ้าหรือไม่?”
ทางด้านอันกงกงที่ยืนตัวสั่นอยู่เงียบ ๆ ลอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เป็นไปตามที่เขาคาดไว้ องค์หญิงหกนั้นมีความสามารถมากกว่าที่เขาคิด เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำ มันก็ทำให้ฝ่าบาทเปลี่ยนใจได้
“ไม่จำเป็นเลยเพคะ” มู่ไป๋ไป่ยิ้มเขินอาย “นี่เป็นสิ่งที่ไป๋ไป่ควรทำ แต่ถ้าท่านพ่อยืนยันที่จะชื่นชมไป๋ไป่ เช่นนั้นท่านก็ควรชื่นชมองค์รัชทายาทที่ช่วยเหลือไป๋ไป่ด้วย”
มู่จวินฝานที่กำลังคุกเข่าอยู่รู้สึกใจสั่น เด็กตัวเล็กคนนี้กำลังพยายามช่วยเขาอยู่หรือไม่?
ทั้ง ๆ ที่ในเวลาปกตินางดูโง่เขลายิ่งนัก แต่ในความเป็นจริงแล้วนางกลับกล้าออกหน้ามาช่วยพูดกับเสด็จพ่อในตอนที่เขากำลังโกรธ
“เราว่าเจ้าได้เรียนรู้อะไรมากมายจากศาลาหมิงหลี่ ดูสิ ตอนนี้เจ้าพูดจามีเหตุผลขึ้นกว่าเดิมแล้ว”
แม้มู่เทียนฉงจะทำทีเป็นไม่พอใจ แต่ตัวเขากลับกอดมู่ไป๋ไป่เอาไว้แน่นก่อนจะมองดวงตากลมโตของนางที่กำลังกะพริบปริบ ๆ
“เราจะยกโทษให้เจ้าครั้งนี้ครั้งเดียว หากมีครั้งต่อไป เราจะลงโทษเจ้า”
“ขอบคุณเสด็จพ่อที่เมตตา” มู่จวินฝานกล่าวพลางถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ทางด้านมู่ไป๋ไป่กลับทำหน้ามุ่ยขณะที่พูดว่า “ท่านพ่อตีไป๋ไป่ไม่ได้ มันเจ็บ”
…
ยามนี้คนจากห้องครัวได้ส่งสำรับมาถึงตำหนักเรียบร้อยแล้ว
ซูหว่านกำลังคอยกำกับดูแลให้คนในตำหนักจัดวางจานด้วยตัวเอง ทันใดนั้นนางก็สังเกตเห็นบางสิ่งที่ไม่ควรวางอยู่บนโต๊ะ
“นี่คืออะไร?”
หว่านผินชี้ไปที่กาสุราขนาดเล็กที่งดงามบนโต๊ะแล้วถามคนของห้องครัวทันที
“ตอบพระสนม นี่คือสุราดอกท้อที่เพิ่งหมักใหม่พ่ะย่ะค่ะ” คนในครัวตอบด้วยท่าทางนอบน้อม
“ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะลิ้มรสสุราดอกท้อ ครั้งหนึ่งฝ่าบาทเคยเอ่ยปากชมสุราในตำหนักชิงเหอว่ามีรสชาติดีเยี่ยมพ่ะย่ะค่ะ”
อีกฝ่ายพูดอย่างคลุมเครือ แต่ความนัยนั้นกลับชัดเจนมาก พวกเขาต้องการช่วยเหลือเพราะเห็นว่าหว่านผินได้รับความโปรดปราน
ท้ายที่สุดแล้ว นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยสำหรับพวกเขา แต่ถ้าหากหว่านผินได้รับคำชมจากฝ่าบาทเพราะสุรากานี้ พวกเขาก็จะได้รับความดีความชอบจากนางด้วยเช่นกัน
คนของห้องครัวคิดว่าตนทำได้ดีแล้ว และหญิงสาวจะต้องยอมรับความหวังดีนี้อย่างแน่นอน
แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าหลังจากหว่านผินได้ยินคำพูดเหล่านี้ นางกลับเอ่ยปากสั่งเสียงเย็น “เอามันออกไป”
“หว่านผิน?” คนในครัวทำตัวไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่ง และสงสัยว่าเขาหูฝาดไปหรือไม่
“ข้าสั่งให้เจ้าเอามันออกไป” ซูหว่านขมวดคิ้วจ้องไปที่ขันทีตรงหน้า
“ข้าไม่ได้ขอให้เจ้าเตรียมสุรามาให้ เจ้าที่เป็นคนของห้องครัวหลวงกลับตัดสินใจเอง เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: เจ้าตัวเล็กฉลาดตอบมาก รอดตัวไปจากท่านพ่อได้อีกครั้ง