ตอนที่แล้วบทที่ 27 อย่ามากล่าวหากันนะ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 29 ปลูกถั่วงอกในทราย

บทที่ 28 น้ำมันหมูอร่อยจริงๆ


หลังจากโจวต้าชุนจัดวางท่อนไม้เรียบร้อยแล้ว โจวอี้หมินก็ยกมือตบไหล่เขาเบา ๆ แล้วพูดว่า “เข้าบ้านมาดื่มน้ำแล้วสูบบุหรี่สักมวนก่อน อีกเดี๋ยวค่อยยกถุงข้าวโพดกับมันฝรั่งกลับไปที่บ้านนายนะ”

เดิมทีโจวต้าชุนตั้งใจจะปฏิเสธ แต่พอได้ยินคำว่า ‘บุหรี่’ และ ‘ข้าวโพดกับมันฝรั่ง’ เขาก็รีบเปลี่ยนใจทันที “ขอบคุณครับ ลุงสิบหก!”

ในใจของเขารู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก!

โจวอี้หมินล้วงหยิบบุหรี่ยี่ห้อ ‘ต้าเฉียนเหมิน’ ที่เหลืออยู่เพียงสองมวนจากซองออกมามอบให้โจวต้าชุนทั้งหมด

โจวต้าชุนดีใจจนเกาหัว เมื่อกี้เพิ่งจะจัดทรงผมให้เรียบร้อยไป แต่ทันใดนั้นผมก็กลับตั้งขึ้นมาอีกครั้งกลายเป็นหัวรังนกตามเดิม

พอเข้าบ้านไป โจวต้าชุนก็รีบพูดขึ้นว่า “ลุงสิบหก คุณย่าทวด ผมไม่ดื่มน้ำแล้วครับ”

โจวอี้หมินชี้ไปที่มุมห้อง “นั่นไง! ถุงสองใบนั่นแหละ”

เจ้าหนุ่มยิ้มเขินเผยให้เห็นฟันเหลือง แล้วหันซ้ายหันขวาเพื่อบิดคอให้ได้ยินเสียง ‘กร๊อบๆ’ จากนั้นจึงเดินไปยกถุงข้าวโพดขึ้นพาดบ่า

ของหนักตั้งหนึ่งร้อยจิน (50 กิโลกรัม) แต่เขาดูเหมือนจะยกได้อย่างง่ายดาย

ต้องยอมรับจริงๆว่า คนยุคนี้แรงเยอะมาก ในยุคหลังๆ คนจำนวนมากไม่สามารถยกของหนักได้ แม้แต่จะวิ่งเพียงไม่กี่ร้อยเมตรก็หอบเหนื่อยจนเหมือนจะตายเสียให้ได้

“ลุงสิบหก ช่วยผมยกถุงนี้อีกใบหน่อย...”

ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกโจวอี้หมินดุว่า “ยกไปเที่ยวละใบไม่ได้หรือ ถ้ายกไปพร้อมกันแล้วทำหล่น ข้าวโพดหล่นยังพอว่า แต่มันฝรั่งถ้าหล่นจนช้ำก็เน่าเสียหมดสิ”

ไหนจะเรื่องส่วนสูงอีก ทำไมถึงไม่โตขึ้นสักที ก็น่าจะเพราะแบบนี้!

โจวต้าชุนถูกดุจนไม่กล้าเถียง ได้แต่รีบยกถุงข้าวโพดกลับไปก่อน

เมื่อกลับถึงบ้านยังไม่ทันก้าวเข้าประตู เขาก็ตะโกนบอก “พ่อ! ข้าวโพดผมยกกลับมาแล้ว มันฝรั่งยังอยู่ที่บ้านลุงสิบหก”

โจวจื้อเฉิงเดินออกมา สีหน้าดูปลื้มปริ่ม “ดีแล้ว เอาไปเก็บข้างในก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยไปยกถุงมันฝรั่งมาอีก”

หลังจากวางถุงข้าวโพดเสร็จ เขาก็รีบเปิดถุงออกมา หยิบเมล็ดข้าวโพดแห้งขึ้นมากำหนึ่ง พบว่าเมล็ดทุกเมล็ดแห้งสนิทและไม่มีซังข้าวโพดปนอยู่เลย

ช่างซื่อสัตย์จริงๆ!

สายตาของเขาบังเอิญเหลือบไปเห็นบุหรี่ในกระเป๋ากางเกงของลูกชาย รีบหยิบออกมา พบว่ามีสองมวน เขาไม่ต้องถามความเห็นใครเลย รีบหยิบหนึ่งมวนขึ้นมาคาบที่ปากทันที

“พ่อ นั่นมันของผม...”

“หือ?”

“...ที่ผมตั้งใจเอามาให้พ่อครับ” โจวต้าชุนรู้สึกโมโหในใจ แต่พอเห็นสีหน้าพ่อของเขาก็ได้แต่เปลี่ยนคำพูด

“อืม!”

ขณะนั้นน้องชายของโจวต้าชุนก็กำลังไปบ้านตาของเขา เพื่อเกลี้ยกล่อมสองตายายอยู่

...

ในหมู่บ้านซ่างสุ่ย หลังจากยกถุงมันเทศทั้งหมดเก็บเข้าคลังของโรงอาหารแล้ว หวังผู้ใหญ่บ้านก็สั่งการทันที “เอาไปส่งให้บ้านเกิ้นเซิงสักห้าสิบจิน”

เกิ้นเซิงคือชายที่ขาหัก ห้าสิบจินมันเทศก็ถือว่าเป็นการชดเชยสำหรับเขาแล้ว จะให้มากกว่านี้ก็ไม่มีเหลือ

นอกจากบ้านเกิ้นเซิงแล้ว ผู้ใหญ่บ้านหวังก็ยังแบ่งมันเทศออกเป็นอีกสิบกว่าชุด มีทั้งห้าจินบ้าง สิบจินบ้าง ให้คนไปส่งให้บ้านที่คนในบ้านใกล้จะอดตาย เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์คนตายจากความหิวโหยอีก

เมื่อวานนี้มีชายชราอายุเจ็ดสิบกว่าปีเสียชีวิต เพราะเขายอมอดอาหารเพื่อให้ลูกหลานในบ้านมีอาหารกิน

โชคดีที่ผู้ใหญ่บ้านหวังเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านมาก การแบ่งอาหารเช่นนี้จึงไม่มีใครเอ่ยปากคัดค้านอะไร อย่างน้อยก็ไม่มีใครกล้าคัดค้านต่อหน้า

ไม่นานนัก กลิ่นหอมของมันเทศก็ลอยฟุ้งไปทั่วโรงอาหาร คนทั้งหมู่บ้านต่างมายืนเข้าแถวรอที่โรงอาหาร

พอเห็นมันเทศสีส้มตรงหน้า ใบหน้าของพวกเขาก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

ตั้งแต่โบราณกาลมา ชาวบ้านธรรมดา ๆ อย่างพวกเขามีความสุขได้ง่ายมาก แค่ได้กินอิ่มก็พอแล้ว

“แม่ หนูกินได้หรือยัง?” เด็กที่ผอมจนแทบเหลือแต่หนังถามแม่ของเขา

ผู้หญิงที่ผอมจนเห็นกระดูกพยักหน้า “กินสิลูก แต่อย่ากินเร็ว เดี๋ยวลวกปาก”

ในโรงอาหาร ชาวบ้านกินมันเทศกันอย่างเอร็ดอร่อย ไม่มีใครปอกเปลือกออกเลย ในที่สุดพวกเขาก็มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะกันบ้างแล้ว

ที่บ้านของโจวอี้หมิน คุณย่ากำลังล้างเม็ดข้าวฟ่าง เตรียมทำข้าวฟ่างต้ม ส่วนโจวอี้หมินก็หั่นไก่เป็นชิ้น ๆ วันนี้เขาตั้งใจจะทำไก่ตุ๋นกับเห็ด

ไลฝูและน้อง ๆ อีกสองคนกำลังวิ่งวุ่นรอบตัวโจวอี้หมิน ช่วยกันหาฟืนและจุดไฟ

โจวจื้อหมิงก็พาคนไปเลือกหาหินอยู่ข้างนอก ไม่ใช่ว่าหินทุกก้อนจะนำมาทำรากฐานของบ้านได้ พวกเขาจึงขนหินมากองไว้ที่ลานว่างใกล้ๆบ้านของโจวอี้หมิน

“ทุกคนพักกันสักหน่อย เดี๋ยวบ่ายนี้ค่อยทำต่อ กินข้าวกันก่อนเถอะ” โจวอี้หมินตะโกนบอกทุกคน

ความจริงแล้วทุกคนได้กลิ่นหอมของข้าวฟ่างมาสักพักแล้วและต่างก็เริ่มหิว

“กลับบ้านไปเอาชามมาด้วย” โจวจื้อหมิงบอกคนงานเหล่านั้น

ในครอบครัวคนชนบท ไม่มีใครมีชามสำรองไว้ใช้ หากชามแตกยังต้องซ่อมแซมเพื่อใช้งานต่อ

ใช่แล้ว! ซ่อมชาม ในยุคหลังคนส่วนใหญ่คงไม่เคยเห็นแน่นอน การซ่อมเสื้อผ้ายังพอเข้าใจได้ แต่การซ่อมชามเครื่องกระเบื้องนี่สิ?

ยุคนั้นมีอาชีพหนึ่งคือการซ่อมชาม เรียกว่า ‘การซ่อมชามด้วยเข็มทอง’ วิธีซ่อมคือใช้เข็มเจาะรูเล็กๆ ลงบนชามตามรอยแตก จากนั้นใช้วัสดุคล้ายเหล็กที่มีลักษณะเหมือนเมล็ดพุทราสอดลงไป แล้วจึงเคาะเบาๆให้แน่น จากนั้นก็ทายาที่ทำจากวัสดุพิเศษลงบนรอยซ่อม ใช้ผ้าขัดถูให้เรียบ เพียงเท่านี้ชามก็ใช้งานได้อีกครั้ง

ทุกคนรีบวิ่งกลับไปบ้านเพื่อเอาชามกันเป็นแถว

ข้าวคือข้าวฟ่าง ส่วนกับข้าวคือมันฝรั่งผัดน้ำมันหมู ถึงแม้จะไม่มีเนื้อ แต่ก็หอมมาก

โจวอี้หมินตักข้าวให้ทุกคน สองทัพพีข้าวฟ่าง กับอีกหนึ่งทัพพีมันฝรั่ง เต็มชามใบใหญ่ ในยุคนั้นชามใหญ่พอจะเอาหน้าลงไปซุกได้เลย

บางคนกินไปได้แค่หนึ่งในสามก็หยุด

“อิ่มแล้วหรือ?”

คนผู้นั้นยิ้มเขิน ๆ “จะอิ่มได้ยังไงครับ เหลือไว้ให้ลูกที่บ้านกินบ้าง”

โจวอี้หมินพูดไม่ออก ได้แต่บอกกับทุกคนว่า “กินให้หมด แล้วเติมอีกชาม”

คนงานทั้งหลายต่างซาบซึ้งใจ คิดกันในใจว่าหลังจากนี้ต้องตั้งใจช่วยโจวอี้หมินก่อสร้างบ้านให้ดีที่สุด ต้องทำให้คุ้มกับข้าวมื้อนี้

โจวจื้อหมิงหัวเราะออกมาเบา ๆ “อี้หมิน มีเพียงเจ้านี่แหละที่กล้าเลี้ยงพวกเขาแบบนี้”

ข้าวฟ่างต้มไม่ต้องพูดถึง แล้วยังมีมันฝรั่งคลุกน้ำมันหมูอีก ตั้งท่วมท้นอยู่บนข้าวฟ่าง จึงไม่แปลกที่ทุกคนอยากจะเก็บมันกลับไปให้ลูกๆที่บ้านกินบ้าง

“จะให้พวกเขาหิวแล้วทำงานได้อย่างไร”

ทุกคนกินข้าวจนหมดชาม แล้วอีกชามก็ยังไม่ได้แตะ หลังจากกล่าวขอบคุณโจวอี้หมินแล้ว ก็รีบยกชามกลับบ้านกันทันที

โจวจื้อหมิงก็เช่นกัน เขากลับไปบ้านและเรียกลูก ๆ และภรรยามาช่วยกันแบ่งข้าวกันไปคนละนิด จนเหลือครึ่งชามเล็ก ๆ ก็ตั้งใจว่าจะเก็บไว้ให้พ่อแม่กิน

เด็ก ๆ ต่างก็เลียชามกันจนเกลี้ยง

“แม่ น้ำมันหมูอร่อยจัง”

ภรรยาของโจวจื้อหมิงลูบหัวลูกเบา ๆ “อร่อยก็หมดแล้วล่ะลูก”

โจวอี้หมินเป็นคนใจกว้างจริง ๆ ใครจะหาเจ้าบ้านแบบนี้ได้อีกกันล่ะ มีบ้านไหนที่เรียกคนมาช่วยทำงานแล้วเลี้ยงอาหารนอกจากเลี้ยงอาหารยังให้เอากลับบ้านได้อีก?

ขณะนั้นเอง โจวอี้หมินก็กำลังนั่งกินข้าวอยู่ เขาแบ่งขาไก่สองข้างให้คุณปู่คุณย่า ส่วนตัวเองกินส่วนปีกและเท้าไก่ เขาชอบกินส่วนที่มีแต่กระดูก เพราะเคี้ยวแล้วเพลินดี

เขาอดคิดถึงอาหารในยุคก่อนอย่างตีนไก่ดองพริกเปรี้ยวๆ เผ็ดๆไม่ได้เลย

ในสายตาของคุณปู่คุณย่าแล้ว การที่เขาทำแบบนี้ก็คือการแสดงออกถึงความกตัญญู

เพราะเขายกส่วนที่ดีที่สุดให้ปู่ย่ากิน ส่วนตัวเองก็ยอมกินแต่ส่วนเล็กๆน้อยๆ ถ้าไม่ใช่เพราะความกตัญญูและรู้จักรักน้อง ๆ แล้วจะเป็นเพราะอะไรอีกล่ะ?

“อี้หมิน เจ้าเองก็กินเนื้อเยอะๆหน่อย ส่วนกระดูกไว้ให้น้องๆ เขาแทะก็พอแล้ว” สามป้าพูดขึ้น

ในยุคนี้ การได้กินกระดูกไก่ก็ถือว่าดีมากแล้ว จะไปเรียกร้องอะไรอีกล่ะ?

(จบบท)

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด