บทที่ 119 ไปเป็นเพื่อนฉัน
"ฉันรับโทรศัพท์ก่อนนะ" เธอพูดกับเซวียเหว่ยหลินด้วยอาการขอโทษ จากนั้นจึงค่อย ๆ เดินห่างออกไป "ฮัลโหล อาจารย์หนิง"
"หลิวเจิง! มีเคสคนไข้เข้ามา รีบมาที่แผนกด่วน!" เขาพูดเร่งเธอด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
"ได้ค่ะ! ฉันจะรีบไป!" เธอเข้าใจ คนไข้ที่ถูกส่งเข้ามากะทันหันแบบนี้ จำเป็นต้องให้เธอลงมือด้วยตัวเอง ต้องเป็นคนไข้อาการหนักแน่นอน จึงไม่กล้าชักช้า หันหลังกลับไปบอกเซวียเหว่ยหลิน "มีคนไข้เข้ามากะทันหัน ฉันต้องรีบไปโรงพยาบาลแล้ว"
เธออุ้มฟ่านฟ่านขึ้นแล้วรีบวิ่งกลับบ้าน ปล่อยให้เซวียเหว่ยหลินยืนเดียวดายท่ามกลางสายลมหนาว เขามองแผ่นหลังของเธอ ครู่หนึ่งจึงพูดออกมาว่า "ไม่ใช่บอกว่าวันนี้เป็นวันพักผ่อนเหรอ"
เพิ่งพูดจบ โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึันมา
หร่วนหลิวเจิงรีบขับรถไปยังโรงพยาบาลด้วยความเร็ว ตอนที่เธอไปถึง ห้องผ่าตัดก็เตรียมพร้อมแล้ว เขาสวมชุดปลอดเชื้อเป็นที่เรียบร้อย เธอเองก็เตรียมพร้อมแล้วเช่นกัน จึงรีบตามเขาเข้าไปในห้องผ่าตัด
ไม่ได้พูดกันแม้แต่ประโยคเดียว ก็เข้าสู่ห้องผ่าตัดแล้ว
หลายชั่วโมงติดต่อกัน ได้ยินเพียงเสียงของเครื่องมือเเพทย์กับเสียงต่ำบางครั้งของเขา
ทันใดนั้น เหมือนกับเข้าไปสู่อีกโลกหนึ่ง เธอที่ก่อนหน้านี้กำลังพาหมาเดินเล่น ตอนนี้กลายเป็นคนขรึมไปแล้ว
หลังจากการผ่าตัดเสร็จสิ้น ก็เป็นช่วงกลางดึกแล้ว
เธอเมื่อยล้าเล็กน้อย จึงเหมือนคนอดนอนตอนเดินกลับไปแผนก
ทางด้านหลังมีเสียงของเขาดังทอดมา "หลิวเจิง ยังจะกลับไปอีกเหรอ"
เธอคิดดูแล้ว กลับไปตอนนี้นอนไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องตื่นขึ้นมาอีกแล้ว เดินทางก็ต้องใช้เวลา จึงส่ายหน้า "พักผ่อนที่นี้แล้วกันค่ะ"
ขาของเขายาวกว่าเธอมาก เดินเพียงสองสามก้าวก็ถึงเธอแล้ว "เธอซื้อหมามาเมื่อไร?"
"วันนี้น่ะ!" เธอหาวแล้วนึกว่าเขาถามถึงฟ่านฟ่าน
"เหรอ ตอนเช้าก็เห็นเธอกอดอยู่นะ!"
เธอตอบเขา "ตัวเมื่อเช้าน่ะเหรอ เป็นของคนอื่น ฉันเห็นแล้วสชอบ ตอนบ่ายเลยไปซื้อมาตัวหนึ่ง"
"เธอชอบหมาหรอ" เขาถามอีก
เธอมองไปข้างนอกตลอด ไม่รู้ว่าเขาอารมณ์เป็นอย่างไร อีกทั้งพอออกมาจากห้องผ่าตัด ความเหนี่อยล้าของเธอก็ล้นออกมา หัวไม่มีสติขนาดนั้น "อืม......"
"ไม่เห็นเธอเคยบอกเลยว่าอยากเลี้ยงหมา"
"เมื่อก่อนมีเรี่ยวแรงที่ไหนกัน ไม่ใช่ว่าต้องเลี้ยง......" คำพูดที่หลุดจากปากมาภายใต้ความเหนื่อยล้าของเธอ พูดมาได้ครึ่งก็ต้องหยุด เดิมทีเธออยากพูดว่า ไม่ใช่ว่าต้องเลี้ยงคุณหรอกเหรอ
เขากลับเข้าใจที่เธอพูด แล้วพยักหน้า "หลายปีนั้น เธอคงลำบากแย่"
เธอไม่ได้พูดอะไร ลำบากหรือว่าไม่ลำบาก ทุกวันเธอก็มีความสุขและเริงร่าด้วยตัวเอง เพียงแต่ เรื่องราวในอดีตเธอไม่อยากพูดถึงอีกก็เท่านั้น
ทันใดนั้นก็อยากจะขำออกมา เขานำตัวเองไปเปรียบหมา แถมยอมรับอีก......
แต่ไม่ได้หัวเราะออกมา หลังจากผ่านเรื่องนั้นของหร่วนหลาง เธอก็ไม่ได้ทำตัวตามสบายแบบนั้นกับเขาอีก
"หนิงเสี่ยงก็ร้องอยากได้หมาสักตัวมาตลอด เธอเลือกเป็น ช่วยเลือกให้เขาสักตัวสิ"
เธอไม่มีเหตุผลอะไรที่จะบอกว่าไม่ จึงพยักหน้าตอบกลับไป
เมื่อถึงห้องเวร เธอก็เดินผ่านไป
"ไม่เข้าไปนอนเหรอ" เขาถาม
"ช่างเถอะ ฉันจะไปนอนฟุบหน้าสักสองสามชั่วโมง" ห้องเวรเหลือไว้ให้หมอกะกลางคืนนอนพักดีกว่า
เธอนึกว่าเขาก็จะทำเหมือนกับเธอ จากนั้น พอถึงห้องทำงาน เขากลับยืนนิ่งอยู่หน้าประตู
ด้วยสัญชาตญาณ เธอจึงหันไปมองด้วยความประหลาดใจ ใบหน้าของเขาซีดเซียว ดวงตาเลือนลอย "ฉันจะไปหาอะไรกินหน่อย"
"คุณไม่ได้กินข้าวเย็นเหรอ" เธอนึกขึ้นมาได้ในทันทีว่า ตอนที่รีบเข้าห้องผ่าตัดก็ช่วงเย็นเเล้ว เกรงว่าเขาจะยังไม่ทันได้กินข้าวจริง ๆ
เธอพยักหน้า "ไปเป็นเพื่อนฉันไหม"
ไม่ได้ขานชื่อ แต่ใจของเธอก็เหมือนกับฟองน้ำก้อนหนึ่งที่ดูดซับน้ำ ถูกคนสัมผัสเบา ๆ ยวบเข้าไปด้วยความอ่อนนุ่ม น้ำก็ไหลรินออกมาช้า ๆ แล้ว
แต่ไหนแต่ไร เขาไม่เคยพูดมาก่อนว่า "ไปเป็นเพื่อนเขา" เมื่อก่อนล้วนเป็นเธอที่เกาะติดเขาไป
ถ้าหกปีก่อน เขาพูดสักครั้งว่า "หลิวเจิง ไปกินข้าวเป็นเพื่อนฉันหน่อย" หรือไม่ก็ "ไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อนฉันหน่อย" ไม่ว่าเขารักเธอหรือไม่ก็ตาม บางทีเธออาจจะไม่หย่า เพราะว่าขอเพียงสักครั้งที่เธอรู้สึกว่าเขาต้องการเธอ เธอก็ประสบความสำเร็จแล้ว
จากนั้น เวลาผ่านพ้นไป เมื่อเธอไม่ได้นึกถึงคำว่า "ไปเป็นเพื่อน" อีกต่อไปแล้ว เขากลับพูดขึ้นมา
"คุณไปเองเถอะ ฉันไม่หิว" เธอก้มหน้าตอบเสียงเบา
ไม่เห็นว่าตอนนี้สีหน้าของเขาเป็นอย่างไร รู้เพียงว่าเขาเงียบไปแล้ว
ตอนที่เธอเตรียมจะหันหน้าไป เขากับพูด "ถ้างั้นก็ไปซื้อของกินที่ร้านขายของชำข้างล่างเป็นเพื่อนหน่อยสิ"
ในที่สุด เธอก็ยืนอยู่ด้านหน้าของเขาพร้อมกระเป๋าเงิน......
เธอไม่น่าเงยหน้ามามองเขาเลย พอได้มอง ก็ไม่สามารถปฏิเสธด้วยตาคู่นั้นของเขาได้
"ไปเถอะ" ในความมืดที่เงียบงัน เสียงของเขาอ่อนโยนดั่งดนตรีบรรเลง
ในใจของเธอแอบทอดถอนใจ "ไปสิ"
ร้านขายของชำเคยเป็นสถานที่ที่เธอชอบ ช่วงรอเขาเลิกงาน ไม่อยากรออยู่ในแผนกและรบกวนการทำงานของเขา เลยมารออยู่ที่นี่ หาของกินเล่นไปพลาง คุยเล่นกับเจ้าของร้านไปพลาง ต่อมาจึงสนิทกัน เธอยังช่วยขายของให้ฟรี ๆ อีกด้วย เพียงแต่ ตั้งแต่เข้ามาอบรมที่นี่ เธอกลับไม่เคยมาที่ร้านขายของชำแม้แต่ก้าวเดียว
ร้านขายของชำปิดร้านดึกมากเป็นเรื่องปกติ ตอนนี้ลงไปก็ยังคงเปิดอยู่ เจ้าของร้านกำลังดูทีวีพร้อมกับนั่งสัปหงก
"แม่ค้าครับ ขอโทษที่รบกวน ซื้อของหน่อยครับ" เขาปลุกแม่ค้าให้ตื่นด้วยเสียงเบา ๆ
พอเจ้าของร้านมอง ดวงตาก็เบิกโพลง มองซ้ายแลขวาทางพวกเขาทั้งสอง "เธอ......พวกคุณ......" สุดท้ายก็เห็นหร่วนหลิวเจิงหัวเราะ "ฉันก็ว่าครั้งก่อนมองดูแล้วคุ้นกว่า! เธอนี่เอง! ไม่ได้เจอกันหลายปี พอได้เจอก็จำไม่ได้แล้ว วันนี้เห็นคุณหมอหนิง ถึงนึกขึ้นมาได้"
"สวัสดีค่ะ" หร่วนหลิวเจิงหัวเราะร่า
"โถ่เอ้ย แม่หนู หลายปีมานี้ไปไหนมาเนี่ย" เจ้าของร้านไม่ลงเหลือความง่วง และถามเธอด้วยความอบอุ่น
เธอแอบลังเล ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี เธอเที่ยวบอกคนอื่นไปทั่วว่าเลิกกับเขาแล้ว แต่ตอนนี้ต้องมาอธิบายอีกครั้งพร้อมกับเขา
ท่ามกลางความลังเลนี้ เขาพูดตอบแทนเธอ "หลิวเจิงไปเรียนต่อน่ะครับ"
"จริงเหรอ สอบได้ปริญญาโทแล้วเหรอ" เจ้าของร้านถามด้วยเสียงหัวเราะ
"อืม" เธอพยักหน้า แล้วนึกถึงสถานการณ์ที่มือถือหนังสือเอาไว้พร้อมกินขนมตอนอยู่ที่นี่
"ดีจัง! สามีภรรยาเป็นหมอกันทั้งคู่ ร่วมสาขางานเดียวกันด้วย!" เจ้าของร้านหัวเราะ
หร่วนหลิวเจิงมองไปทางเขา "คุณอยากซื้ออะไร ก็รีบซื้อเถอะ!"
สายตาของเขากวาดมองบนชั้นขายสินค้า ลังเลอยู่ "ฉันก็ไม่รู้ว่าจะกินอะไร......เมื่อก่อนเธอซื้ออะไรกินบ่อย ๆ เหรอ"
เธอกล่าวอย่างไม่แน่ใจ "ฉันไม่ได้ซื้อกินเป็นข้าว ซื้อแค่พวกผลไม้อบเเห้ง และอะไรอื่น ๆ"
เขาจึงหยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาหนี่งกระป๋อง หันไปถามเธอ "เธอล่ะ กินอะไร"
เธอคิ้วขมวด "จริงเหรอ คุณก็กินอันนี้เหมือนกันเหรอ" เขาไม่ใช่คนที่ใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือยหรอกเหรอ อย่างน้อย หลายปีก่อนตอนที่เธออยู่บ้านตระกูลหนิง กินไปได้นิดหน่อย ไม่ว่าจะเป็นเวินอี้หรือว่าเธอ เขาก็คิดหนักเรื่องสุขภาพแล้ว
เขาถือกระเป๋าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไว้ ด้วยท่าทีไม่สนใจอะไร "ทำไมฉันจะกินไม่ได้ล่ะ จริง ๆ แล้วเมื่อก่อนฉันบ่อยนะ"
"ที่อเมริกาเหรอ" บ่อย ๆ ที่เขาพูดถึง ต้องเป็นวันที่เธออยู่ด้วยแน่ ๆ ตอนที่เธออยู่ ไม่มีโอกาสไหนเลยที่จะให้เขาต้องต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกิน
"อืม"
เขาเพิ่งจะพูดจบ เจ้าของร้านก็พูดแทรก "นี่ คุณหมอหนิง ตอนนี้ไม่ใช่ว่าพวกคุณเพิ่งจะผ่าตัดเสร็จหรอกนะ"
"ใช่ครับ" เขาตอบ
"โถ! ลำบากขนาดนี้กินแค่มาม่าเหรอ มันทำลายสุขภาพ! เอาอย่างนี่สิ ญาติของฉันเปิดร้านขายเนื้อย่างเสียบไม้อยู่ที่โรงเรียนนั่น เดี๋ยวฉันจะโทรหาเขาให้เอามาให้ ฉันจะต้มให้พวกเธอกินเอง" เจ้าของร้านกล่าวอย่างอบอุ่น
"แบบนี้จะทำให้คุณลำบากหรือเปล่า" เขารู้สึกเกรงใจ ดึกดื่นป่านนี้ยังต้องมาต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้พวกเขากินอีก ที่นี่ไม่ใช่ร้านข้าวสักหน่อย
"โถ่เอ้ย ไม่รบกวนหรอก! ฉันสนิทกับแม่หนูนี่นะ! ไม่ได้เจอกันตั้งนาน คิดถึงจะแย่! พวกเธอรีบนั่งลงก่อน ฉันจะโทรหาเขา! ให้พวกเขารีบเอามาส่ง" เจ้าของร้านนำโต๊ะตัวน้อยที่ตนใช้กินข้าวย้ายออกมา
"ถ้างั้น ขอบคุณนะคะ" เจ้าของร้านมีน้ำใจถึงขนาดนี้ หร่วนหลิวเจิงกลับรู้สึกว่าถ้าปฏิเสธต่อไปมันจะดูไม่งาม
บะหมี่ร้อน ๆ ถูกนำมาเสิร์ฟ เนื้อย่างเสียบไม้เองก็มาส่งเร็วมาก
หร่วนหลิวเจิงที่เดิมทีไม่อยากกินอะไร ได้เห็นเนื้อย่างเสียบไม้ก็มีความอยากอาหารขึ้นมา เพียงแต่ ดูเหมือนว่าเธอจะไม่เคยเห็นเขากินเนื้อย่างเสียบไม้มาก่อนเลย
เธอหยิบปีกไก่อยู่หนึ่งชิ้นแล้วถามเขา "กินไหม ใต้เท้าผู้รอบรู้ด้านการแพทย์" ในตัวคำพูดมีน้ำเสียงเย้าแหย่ ในสายตาของเขาแล้ว ของพวกนี้เป็นอาหารขยะทั้งนั้น
ภายใต้ไฟที่สาดส่อง ในสายตาของเขาเหมือนดั่งธารน้ำไหล "กินสิ"
"คุณไม่น่าจะเคยกินเนื้อย่างเสียบไม้น่ะสิ" เธอไม่เคยเห็นเขากินมาก่อนเลย
เขาลังเลก่อนบอกว่า "เคยกิน"
ความลังเลช่วงสั้น ๆ นั้น เป็นสิ่งที่เธอคุ้นชินเป็นอย่างมาก ทำให้เธอเข้าใจได้ในทันที เขาเคยกิน น่าจะเคยกินกับต่งเหมียวเหมียวตอนที่ยังเรียนหนังสือ
เธอไม่เคยสนใจช่วงเวลานั้นของเขาอย่างจริงจัง ที่ผ่านมาล้วนไม่เคย แล้วทำไมตอนนี้ถึง...... พอได้ยินได้ฟังก็รู้ว่าเป็นความลังเลภายในใจ จากนั้น จึงนำปีกไก่ยื่นให้เขา "กินสิ!"
"เธอกินเลย" เขาตอบเสียงเบา สายตาหยุดอยู่ที่ใบหน้าของเธอ
ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาติดอยู่ในร้านขายของชำกินเนื้อย่างเสียบไม้ กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกับเขา เธอหัวเราะออกมาเบา ๆ ค่อย ๆ กินปีกไก่นั้น ——