บทที่ 117 เข้าใจผิด
หลังจากนั้น พูดกันไม่กี่ประโยคก็วางสาย ครั้งนี้เธอไม่ได้นอนบนเตียง ไม่ได้ผล็อยหลับไป พูดบอกฝันดีกับเเล้วเจอกันกับเขาอย่างมีสติดี
เพียงแต่ หลังจากที่บอกลาเธอ เขากลับไม่ได้ตอบอะไร ผ่านไปนานไม่มีซุ่มเสียงใด มีเพียงเสียงลมหายใจของเขาในค่ำคืนที่ลมหนาวโชยมา ที่เขาหูของเธออย่างชัดเจนมาก
จากนั้น เธอจึงวางสายไป และเริ่มอ่านข้อมูลอย่างตั้งใจเพื่อหนังสือ
เธอยังคงอยู่ที่เป๋ยหย่า ยังเป็นนักเรียนของเขา เธอก็เพียงทำวันนี้ของเธอให้ดีที่สุด
งานและครอบครัว ตอนนี้เป็นสิ่งที่เธอให้ความสนใจที่สุดในชีวิต ทุกคนต่างมีชีวิตของตัวเอง ทุกคนก็ทำได้เพียงรับผิดชอบชีวิตของตัวเองเท่านั้น คนอื่นกลับเป็นเรื่องที่ไม่ควรไปยุ่ง
วันที่สองเป็นรอบพักผ่อนสุดท้ายก่อนวันตรุษจีนของเธอ ด้วยความเคยชิน เธอยังคงตื่นแต่เช้า นอกจากหร่วนหลางที่ยังนอนอยู่ พ่อกับแม่ก็ตื่นกันหมดแล้ว ในห้องครัวมีกลิ่นหอมของมื้อเช้าที่แม่ทำลอยโชยมา แถมยังมีเสียงพูดคุยของพ่อกับแม่อยู่บ่อย ๆ เพื่อของโปรดของลูกสาวลูกชาย
ในชีวิตที่วุ่นวายบางทีอาจมีความสงบอยู่ ไม่ต้องรีบร้อนกินข้าวเช้าแล้ววิ่งออกไปจากบ้าน ไม่ต้องเผชิญกับรถติด สวมชุดนอนไปช่วยเเม่ในครัวอย่างสบาย ช่วงเวลานี้อบอุ่นใจสุดจะหาสิ่งใดเปรียบได้
หร่วนเจี้ยนจงมีความเคยชินในการออกไปเดินเล่นในยามเช้า ไม่ว่าจะฤดูอะไรก็ไม่เคยเว้น
หร่วนหลิวเจิงเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปเป็นเพื่อนเขา
ยามเช้าในวันที่หนาวเย็น ลมพัดจนใบหน้ารู้สึกเจ็บ เธอสวนเสื้อขนเป็ด สวมหมวกไหมพรม แล้วเอาผ้าพันคอมาพันสูง ๆ ทั้งใบหน้ามีเพียงดวงตาสองข้างที่โผล่ออกมา
หร่วนเจี้ยนจงหัวเราะเธอ "อายุยังน้อยกลัวหนาวยิ่งกว่าคนแก่ ๆ อย่างพ่ออีกเหรอ หรือว่าออกกำลังน้อยไป!"
เธอควงแขนพ่ออย่างสนิทสนม "ใช่น่ะสิ คนแก่แบบพ่อน่ะ แข็งแรงกำยำ ผ่านไปอีกสิบปี หนูก็ยังสู้พ่อไม่ได้หรอก!"
หร่วนเจี้ยนจงหัวเราะชอบใจใหญ่ ลูกสาวช่างรู้ใจเขามาแต่ไหนแต่ไร
อย่างไรเสียก็เป็นหน้าหนาว ต้นไม้สองฝั่งถนนในบริเวนนี้ต่างผลัดใบทิ้งจนเกลี้ยง เผยให้เห็นกิ่งก้านที่มีลักษณะแปลกตา ไม่มีการเติมแต่งของใบไม้ ดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยความว่างเปล่าไม่น้อย ท้องฟ้าสีครามส่องสว่าง ยามเช้า แสงเเดดสาดส่องไปทั่วพื้น ทั่วทั้งโลกต่างดูเหมือนกว้างขวางและสว่างไสว
"อากาศไม่เลวเลย อากาศดีแบบนี้ติดต่อกันก็คงดี หลายปีแล้วไม่ได้ไปงานวัด ปีนี้พวกเราไปงานวัดกันไหม" หร่วนเจี้ยนจงถามลูกสาว
"ได้สิ! นาน ๆ จะได้รวมตัวกันสักที!" หร่วนหลัวเจิงตอบอย่างเบิกบานใจ
"ครั้งก่อนที่ไปก็ยัง......" หร่วนเจี้ยนจงพูดถึงตรงนี้ก็หยุดพูด ไม่ได้ใส่ใจ เกือบจะพูดออกมา ครั้งก่อนที่ไหก็ยังอยู่กับจื้อเชียน......
หร่วนหลิวเจิงแค่ทำเป็นไม่ได้ยิน แต่ว่าจะไม่รู้ว่าพ่อกำลังพูดถึงอะไรได้อย่างไร ครั้งก่อนที่ทั้งครอบครัวไปงานวัด เป็นปีที่สองของการเเต่งงานของเธอ เขาขับรถไปกับพวกเขา เธอยังจำได้ว่า ตลอดทางเธอซื้อของกินที่ตอนเด็กเคยกินมาตั้งเยอะ ส่วนเขากลับยุ่งไม่หยุด เพราะต้องตามประกบเพื่อจ่ายเงินให้เธอ แถมยังต้องคอยตามพ่อแม่ไม่ให้ถูกเบียด ช่างเป็นสามีภรรยาในอุดมคติจริง ๆ
เธอเงยหน้าหัวเราะ ท้องฟ้าสีคราม ริ้วเมฆสักสายก็ไม่มี นกน้อยตัวนั้นที่เคยโผบินในฤดูใบไม้ผลิ รอยแผลที่เหลือไว้ถูกเวลาชำระล้างนานแล้ว
เสียงเห่าสองสามที หมาพันธ์ชิสุขนฟูตัวหนึ่งวิ่งมาทางด้านหน้า ขนยาว ๆ ใช้ผีเสื้อสีเเดงติดเอาไว้ตรงหางม้าสองข้างที่ห้อยลงมา น่ารักสุด ๆ
หลังจากหมาตัวนั้นวิ่งเข้ามาใกล้ ก็วิ่งวนรอบขาของเธอไปมา ดมขากางเกงของเธอไม่หยุด
เธอชอบสัตว์ตัวน้อย จึงนั่งยองลงเพื่อเล่นกับมัน
ทันใดนั้น เสียงที่คุ้นเคยก็ดังมาจากด้านหน้า "ไซซี!"
เธอเงยหน้าขึ้นมอง คนที่มาก็คือเซวียเหว่ยหลิน
หมาตัวนั้นได้ยินเสียงตะโกนเรียกก็วิ่งกลับไปอยู่ข้างตัวเซวียเหว่ยหลิน
เซวียเหว่ยหลินเห็นพวกเขา ก็กล่าวทักทายอย่างดีใจ "คุณอาหร่วน คุณหมอหร่วน! เป็นพวกคุณนี่เอง!"
หร่วนเจี้ยนจงพยักหน้าพลางหัวเราะ "พาหมาออกมาเดินเล่นเหรอ!"
"ใช่ครับ!" เซวียเหว่ยหลินหัวเราะและพูดกับหร่วนหลิวเจิง "คุณหมอหร่วน เดิมทีทุกวันตอนเช้าผมจะเจอคุณอาหร่วนมาเดินเล่น แต่ไม่เคยคุณเลย!"
หร่วนหลิวเจิงหัวเราะ ตอนนี้ปกติเธอคงออกไปโรงพยาบาลแล้ว "หมาตัวนี้เป็นของคุณเหรอ มันชื่อไซซีเหรอคะ"
"ใช่ครับ! สาวงามไซซี!" เซวียเหว่ยหลินขำชอบใจ
หมาพันธุ์ชิสุชื่อว่าไซซีเนี่ยนะ เธอขำพลางส่ายหัว "คุณน่าจะขี้เกียจคิดชื่อจริง ๆ ไซซี มานี่!"
หมาพันธุ์ชิสุตัวนี้ของเซวียเหว่ยหลินน่ารักมากจริง ๆ ไซซีชื่อนี้ สาวงามท่ามกลางหมู่สุนัข! เธอชอบมาก ๆ ปรบมืออีกครั้ง โค้งไปข้างหน้าเพื่อเล่นกับมัน
หน้าของเธอเล็ก ผิวขาว หลังจากใส่หมวกใบหน้ายิ่งดูเล็กลงไปอีก ตอนที่กำลังแหย่หมาอยู่ ผ้าพันคอก็หลุดร่วงลงมา เพราะว่าเดินอีกระยะหนึ่ง ใบหน้าจึงออกเป็นสีเเดง โดยปราศจากเครื่องสำอาง ตอนที่หัวเราะขึ้นมา ดวงตาเหมือนว่าจะปิดบังด้วยไอน้ำชั้นหนึ่ง ลักยิ้มที่มุมริมฝีปากก็เผยออกมา ไม่เหมือนกับท่าทีจริงจังในวันปกติธรรมดาของเธอ เป็นเด็กสาวที่มีความงดงามและชีวิตชีวา
เพียงแต่ เธอวุ่นอยู่กับการเล่นกับไซซี โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยว่า ความงามของเธอเพียงพอที่จะดึงดูดสายตาแล้ว
การเดินเล่นที่เดิมทีมีสองคน แปรเปลี่ยนเป็นสามคนหนึ่งตัวแล้ว
เธอเล่นกับไซซีอยู่สักพัก วิ่งตลอดทาง หัวเราะเริงร่า ส่วนหร่วนเจี้ยนจงกับเซวียเหว่ยหลินกลับเดินตามอยู่ด้านหลังอย่างไม่รีบร้อน มองดูหนึ่งเด็กสาวและหนึ่งสุนัขเล่นกัน
"คุณหมอหร่วนชอบหมามาก" เซวียเหว่ยหลินกล่าว "เด็กสาวที่ชอบหมาล้วนมีจิตใจที่อ่อนโยน"
หร่วนเจี้ยนจงกลับขำ "เธอเป็นหมอนะ จะไม่มีจิตใจที่อ่อนโยนได้ยังไง"
"ก็ถูกครับ......" เซวียเหว่ยหลินพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ดูหญิงสาวที่อยู่ด้านหน้าวิเคราะห์อย่างไม่พูดอะไร
หลังจากเดินวนรอบใหญ่ไปหนึ่งรอบ เซวียเหว่ยหลินก็นั่งลงบนเก้าอี้ไม้เป็นเพื่อนหร่วนเจี้ยนจง พักสักครู่ หร่วนหลิวเจิงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองพกโทรศัพท์มา จึงถามเซวียเหว่ยหลินว่าถ่ายรูปกับไซซีได้หรือเปล่า
รอยยิ้มในตอนนั้น ยังคงสะอาดบริสุทธิ์ มากไปด้วยความอ่อนวัยไร้เดียงสา เซวียเหว่ยหลินตะลึงไปครู่หนึ่ง ในหัวเกิดเป็นคำที่ว่า "น่ารักอะไรขนาดนี้"
"ได้หรือเปล่าคะ" หร่วนหลิวเจิงนึกว่าเขาฟังไม่ชัดเจน เลยถามไปอีกรอบ
เขาพยักหน้าตอบ "ได้อยู่แล้วครับ"
หร่วนหลิวเจิงจึงนำเอามือถือมาถ่ายไซซีอย่างต่อเนื่องไปตั้งหลายรูป หลังจากนั้นจึงอุ้มไซซีขึ้นมาถ่ายรูปคู่สองสามรูป
เธอไม่ค่อยได้เล่นวีเเชท แต่ว่า วันนี้หลังจากถามความเห็นชอบของเซวียเหว่ยหลินแล้วกลับนำรูปที่เธอถ่ายกับไซซีโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย
เซวียเหว่ยหลินคุยเรื่องการแกะสลักไม้อยู่กับหร่วนเจี้ยนจง แต่สายตากลับชายตามองเธอตลอด
จนกระทั่งหร่วนเจี้ยนจงพักพอแล้ว สามคนหนึ่งตัวจึงได้เดินวนกลับไป ก่อนที่จะถึงบ้านของเซวียเหว่ยหลิน หลังจากวิ่งเล่นมาแล้วรอบหนึ่ง ใบหน้าก็ยิ่งเป็นสีเเดงฝาด หัวเราะและโบกมือลาไซซี "บ๊ายบายนะ ไซซี!"
เซวียเหว่ยหลินมีความสุข ได้แต่หัวเราะโดยที่ไม่ได้พูดอะไร จากนั้นก็บอกลากับหร่วนเจี้ยนจง
หร่วนหลิวเจิงควงเเขนหร่วนเจี้ยนจงเดินกลับบ้าน เมื่อเลื่อนมาเจอรูปที่ตัวเองถ่ายกับไซซีในโซเชียลมีเดีย เพราะว่าเธอมีรูปที่โพสต์น้อยมาก คอมเมนต์ก็น้อยมาก แล้วหนิงจื้อเชียนก็มากดไลก์แล้วด้วย.....
เธอกลับไปหาครอบครัว แล้วปรึกษากับพ่อแม่ "ถ้างั้น พวกเราเลี้ยงหมาสักตัวเถอะ พ่อ มันจะได้เดินเล่นเป็นเพื่อนพ่อไง พ่อจะได้ไม่เหงา"
ข้อเสนอของเธอได้รับความเห็นชอบจากพ่อแม่ อีกทั้งตอบว่าดีมากในทันที ตอนบ่ายไปซื้อของในวันสิ้นปีก็เเวะไปซื้อหมาด้วย
เรื่องราวต่าง ๆ มักเป็นความบังเอิญเสมอ ไม่นึกเลยว่า ตอนบ่ายจะเจอกับเซวียเหว่ยหลินอีกครั้งที่ซูเปอร์มาร์เก็ต สถานที่ที่พบกันเป็นชั้นวางที่ขายซอสพริก ทั้งคู่ต่างง่วนอยู่กับการเลือกซอสพริกบนชั้นสินค้า จนเกือบชนกัน จากนั้นก็พูดออกมาพร้อมกันว่า "ขอโทษ......"
"คุณหมอหร่วน! ในหนึ่งวันเจอกันตั้งสองครั้ง! ยังจะมีครั้งที่สามหรือเปล่าครับเนี่ย" เขาขบขัน
เธอเลี่ยงคำถามนี้ของเขา แล้วถามเขาอย่างอื่น "คุณก็มาซื้อซอสพริกเหมือนกันเหรอคะ"
"ใช่ครับ! ผมชอบพริกมาก!" เขาโบกขวดพริกในมือไปมา
เธอมองไปที่เขาแล้วพูดแทรกพลางส่ายหน้า "ไม่ ขวดนั้นของคุณเผ็ดไม่พอ"
"คุณก็กินเผ็ดได้เหรอ" เขาถาม
"แน่นอนค่ะ แต่ก่อนฉันเรียนหนังสืออยู่ที่เมืองแห่งพริกเลยนะ!" เธอหยิบอีกแบบขึ้นมา "พริกแบบนี้สิถึงจะเผ็ด! ไม่เชื่อคุณก็ลองดูได้!"
เขามองอยู่สักพัก "ได้! ผมเชื่อคุณ!"
เซวียเหว่ยหลินเข้าไปต่อแถว ตอนที่คิดเงิน แถวต่อกันยาวมาก หร่วนหลิวเจิงจึงให้พ่อกับเเม่นั่งรออยู่ที่เก้าอี้ด้านนอก ตัวเองกับเซวียเหว่ยหลินมาต่อแถวรอคิดเงิน
เพราะว่าพวกเขาทั้งสองพูดคุยกันด้วยเสียงเบามาตลอด จึงนำมาซึ่งความเข้าใจผิด
เมื่อเห็นว่าพวกเขากำลังจะจ่ายเงิน ผู้หญิงคนหนึ่งที่ต่อแถวอยู่ด้านหลังของพวกเขาในมือถือแพมเพิสตัวหนึ่ง มองตรงไปที่รถใส่ของคันใหญ่สองคันด้านหน้าแล้วพูดอย่างรีบร้อนว่า "คุณผู้ชาย คุณนายคะ ขอโทษนะคะ คือฉันขอแทรกแถวได้หรือเปล่า พอดีเจ้าตัวน้อยของเรากำลังรอใส่แพมเพิสอยู่ด้านนอกน่ะค่ะ"
หร่วนหลิวเจิงไม่ได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบอย่างใดที่เขาเรียกเธอ แต่เซวียเหว่ยหลินกลับพยักหน้าเห็นด้วย "ได้ครับ เชิญคุณก่อน"
"......" หร่วนหลิวเจิงเข้าใจแล้ว จึงตาโดพูด "เอ่อ พวกเราไม่ใช่......"
ผู้หญิงคนนั้นกลับหันหน้ามากล่าวขอบคุณพวกเขา "ขอบคุณ ขอบคุณค่ะ"
เซวียเหว่ยหลินหัวเราะ "ช่างเถอะ ก็เเค่เรื่องเข้าใจผิดเอง คุณยังจะไปแก้จริง ๆ เหรอ หรือว่าที่เธอพูดไปจะเป็นเรื่องจริงแล้ว"
ผู้หญิงคนนั้นจ่ายเงินออกไปแล้ว เธออยากจะพูดแก้ก็ไม่ทันแล้ว.....