บทที่ 10 ข้าคือเจิงเวิ่น วันนี้ข้าจะสู้สิบคน!
เจิงเวิ่น เป็นนักพรตระดับขั้นฝึกพลังชั้นเก้า เป็นผู้อาศัยอยู่ในเขตเมืองชั้นในมาอย่างยาวนาน
แต่เดิมเขามีโอกาสก้าวสู่ระดับจู้จีได้ แต่เมื่อหลายปีก่อนในการต่อสู้ครั้งหนึ่ง เขาถูกทำร้ายจนรากฐานการฝึกตนเสียหาย ทำให้ตลอดชีวิตนี้หมดโอกาสก้าวขึ้นสู่ระดับจู้จี
แม้ว่ารากฐานจะเสียหาย แต่พลังการต่อสู้ของเขายังคงอยู่เต็มเปี่ยม ตอนนี้เขาอยู่ในช่วงวัยที่แข็งแกร่งที่สุด จึงไม่เคยขาดแคลนทรัพยากรหรือค่าใช้จ่ายเลย
ถึงแม้ว่าจะไม่มีหินวิญญาณเหลือ เขาก็แค่เข้าไปในภูเขาหลายล้านลูกสักรอบ ตราบใดที่ไม่เข้าไปถึงเขตด้านใน แค่เดินวนอยู่รอบนอก ล่าสัตว์อสูรระดับหนึ่งสักตัวสองตัว ก็สามารถหาเงินได้มากมายพอแล้ว
แล้วเงินที่หามาได้นั้นเอาไปทำอะไร?
แน่นอนก็ต้องเอาไปกิน ดื่ม และเที่ยวสถานบันเทิงเพื่อหาความสำราญกับสุราและนารี!
ช่วงนี้เขารู้สึกว่าติดขัดด้านการเงิน จึงคิดจะเข้าป่าไปหาเงินสักรอบ
เขาจึงมาหาซื้อยันต์วิเศษสองสามใบ ซื้อยาเม็ดสักสองสามขวด แล้วก็ซื้ออาวุธวิเศษสักชิ้นสองชิ้นที่ใช้ถนัดมือ
ต้องยอมรับว่าการเข้าไปในป่าแต่ละครั้งอาจทำเงินได้เยอะ แต่มันก็ทำให้เขาสูญเสียอุปกรณ์ไปมากเช่นกัน
พวกสัตว์อสูรนั่นป่าเถื่อนเป็นบ้า ทั้งหนังหนาและเนื้อแข็ง ทำให้อาวุธวิเศษของเขาพังบ่อยมาก
ไม่เหมือนกับสาวงามแห่งตึกเทียนเซียงเลยสักนิด ทุกครั้งที่เขาไปพวกเธอขัดเกลาอาวุธวิเศษของเขาจนเงางามหมดจดเรียกได้ว่าใสกิ๊งงง
แต่วันนี้ถือว่าเขาโชคดี ได้ซื้อยันต์ลอบเร้นมาใบหนึ่ง และยาเม็ดพิกู่ซ่านที่เด็กหนุ่มข้างแผงของเฉินซิ่วผิงเคยขาย เขาไม่เคยสนใจเลย แต่ครั้งนี้เขากลับรู้สึกว่ามีคุณภาพไม่ด้อยไปกว่ายาเม็ดจากหอวิญญาณโอสถเลย
เขาจึงซื้อไปห้าขวด กะจะลองดูสักหน่อยว่ามันดีจริงหรือไม่
แต่ก่อนที่จะเดินจากไป เขากลับถูกเด็กหนุ่มคนนั้นเรียกไว้
“ท่านนักพรต สนใจยาเม็ดจงเหมี่ยวสักหน่อยไหม?”
“ยาเม็ดจงเหมี่ยว? นั่นมันยาอะไร?”
หลัวเฉินก้มหน้าแล้วกล่าวด้วยเสียงเบา ๆ ว่า “เต๋าที่สามารถบรรยายออกมาได้ ไม่ใช่เต๋าที่แท้จริง ชื่อที่สามารถกล่าวออกมาได้ ไม่ใช่ชื่อที่แท้จริง การไม่มีชื่อ คือจุดเริ่มต้นของฟ้าดิน การมีชื่อ คือมารดาของสรรพสิ่งทั้งมวล”
เจิงเวิ่นทำหน้ามึนงง คำพูดพวกนี้หมายความว่าอะไร?
เจ้าจะมาเล่นคำกับข้าเหรอ?
หลัวเฉินสูดลมหายใจลึก ๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเหมือนกำลังถ่ายทอดวิชาสูงสุดว่า “ดังนั้นผู้ที่ไร้ซึ่งความปรารถนา จึงสามารถมองเห็นถึงความอัศจรรย์ ผู้ที่มีความปรารถนา จึงมองเห็นถึงขอบเขต ทั้งสองสิ่งนี้มีต้นกำเนิดเดียวกันแต่ต่างกันในนาม เรียกรวมกันว่าความเร้นลับ เร้นลับซับซ้อน นี่แหละคือประตูสู่ความมหัศจรรย์ทั้งมวล”
เมื่อพูดจบ เขาจ้องมองเจิงเวิ่น “ท่านนักพรต ท่านเข้าใจความหมายของประโยคนี้หรือไม่?”
เจิงเวิ่นพยักหน้าด้วยความลังเล จากนั้นก็ส่ายหัว “ไม่เข้าใจหรอก แต่รู้สึกว่ามันดูยิ่งใหญ่มาก”
หลัวเฉินยกนิ้วโป้งให้ทันที! (มั่วได้ใจ)
“ไม่เสียทีที่เป็นนักพรตระดับขั้นฝึกพลังชั้นเก้าผู้ยิ่งใหญ่ แค่ได้ยินครั้งแรกก็รู้สึกได้ถึงความล้ำลึกในนั้นแล้ว”
เจิงเวิ่นกระพริบตาปริบ ๆ จริงหรือ?
ก็ใช่สิ เจ้าหนุ่มนี่มันแค่ระดับขั้นฝึกพลังชั้นสาม มันจะเข้าใจประโยคที่ดูยิ่งใหญ่นี้ได้อย่างไร
“แต่มันเกี่ยวอะไรกับยาเม็ดจงเหมี่ยวที่เจ้าพูดถึงล่ะ?”
หลัวเฉินเม้มริมฝีปาก แล้วกล่าวเสียงเบา ๆ ต่อว่า “ท่านนักพรตรู้เรื่องราวของผู้อาวุโสหยุนจงเหอแห่งสำนักเหอฮวนบ้างไหม?”
“อ้อ เจ้าหมายถึงท่านหยุนเหอซ่างเหรินใช่ไหม!”
“ไม่ใช่ ข้าหมายถึงหยุนจงเหอ!”
“อืม?”
“ชื่อซ่างเหรินไม่สามารถเอ่ยเรียกได้ตามใจชอบ ต้องให้ความเคารพเรียกแค่หยุนจงเหอก็พอแล้ว”
“เข้าใจแล้ว เจ้าว่าต่อไปเถอะ!”
“ตอนที่ท่านหยุนจงเหอฝึกวิชาแก่นแท้ของสำนักเหอฮวนจนถึงขั้นสูงสุด สามารถใช้พลังระดับจินตันตอนต้นต่อสู้เอาชนะราชาอสูรระดับสี่ได้ เรื่องราวนี้ท่านคงรู้ดีอยู่แล้วใช่ไหม!”
เจิงเวิ่นพยักหน้า เรื่องนี้ใครจะไม่รู้บ้าง?
โดยเฉพาะเขาที่เป็นลูกค้าประจำของตึกเทียนเซียง เวลาพูดคุยกับเหล่าสาว ๆ ก็มักจะได้ยินเรื่องราวทำนองนี้อยู่เสมอ
“ท่านเป็นคนที่ไหน?”
“เป็นคนนอกสำนักเหอฮวน?”
“ข้ารู้จักที่นั่น สำนักของท่านมีท่านหยุนเหอซ่างเหรินอยู่ใช่ไหม เขานี่สุดยอดเลย ถูกเรียกว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้ฝึกตนที่ยังไม่ถึงระดับหยวนอิง!”
“น่าเสียดายคนเก่งๆอย่างเขา แต่สำนักเหอฮวนก็ยังไม่ใช่ที่ๆดีอะไรสำหรับเขานัก ท่านเองก็ติดอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีเช่นนี้ ทำไมไม่รีบหาทางออกเสียเล่า?”
ทำนองนี้ เวลาพูดกันจนถึงจุดที่อินไปกับอารมณ์ของเรื่องราว ก็มักจะอดไม่ได้ที่จะกอดหัวร่ำไห้และคร่ำครวญว่าการฝึกตนนั้นยากเย็นเพียงใด
หลัวเฉินไม่รู้เลยว่าผู้สูงวัยตรงหน้ากำลังคิดไปไกลขนาดนั้น เขาจึงพูดต่อไปตามแผนการ
“การที่ท่านหยุนจงเหอใช้พลังระดับจินตันเอาชนะราชาอสูรระดับสี่ได้ เป็นผลงานที่น่าทึ่งมาก นั่นแสดงให้เห็นว่าท่านได้เข้าใจพลังมหัศจรรย์จากแก่นแท้ของสำนักเหอฮวนได้อย่างลึกซึ้งเพียงใด!”
“ใช่ ข้าเจิงเวิ่นเองก็อยากเห็นความยิ่งใหญ่แบบนั้นสักครั้ง แต่น่าเสียดายที่เกิดมาช้าไปสองร้อยปี” เจิงเวิ่นส่ายหัวพร้อมถอนหายใจ สีหน้าเศร้าสร้อย
“ถึงแม้ท่านจะไม่ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของท่านหยุนจงเหอด้วยตาของตนเอง แต่ท่านก็สามารถสัมผัสได้บ้างเล็กน้อยนะ”
“อ้อ หมายความว่ายังไง?”
“คำพูดล้ำลึกที่ข้ากล่าวไปเมื่อครู่นี้ มีข่าวลือว่าเป็นสิ่งที่ท่านหยุนจงเหอได้ตระหนักรู้”
“จริงเหรอ?”
“ข้าก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ แต่หลายปีก่อนข้าได้พบสูตรยาที่ไม่สมบูรณ์จากตลาดแห่งนี้ พวกเขาบอกว่ามันมาจากยอดเขาเทียนเต้า!”
เจิงเวิ่นเบิกตากว้าง ปากสั่นระริกแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “นั่นมันที่ตั้งรังของราชาอสูรนกหยุนในตอนนั้นนี่นา!”
“อาจจะใช่! แต่ก็เสียดายที่สูตรยานั้นไม่สมบูรณ์ ข้าเพียงแค่มองดูมันแวบหนึ่ง มันก็สลายหายไปหมดแล้ว ด้วยความรีบร้อน ข้าจึงจดจำมาได้แค่เพียงบางส่วน จากนั้นก็ค้นคว้าสร้างยาเม็ดระดับหนึ่งขึ้นมา” หลัวเฉินทำหน้าเศร้าหมอง พลางแสดงสีหน้าเสียดายสุดซึ้ง
เจิงเวิ่นเริ่มรู้สึกตื่นเต้น “ถ้ามันเป็นเรื่องจริง แม้จะเป็นแค่เพียงบางส่วน แต่มันก็คงไม่ธรรมดา ยาเม็ดจงเหมี่ยวนี้ มีสรรพคุณอย่างไร?”
หลัวเฉินก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยท่าทีเขินอาย
“น่าอายที่จะพูดถึง ยาเม็ดจงเหมี่ยวนั้นไม่ได้มีสรรพคุณมากอะไร แค่ช่วยบำรุงกำลังและเพิ่มความรื่นรมย์ อีกทั้งยังเสริมสร้างรากฐานพลังได้เล็กน้อยเท่านั้น”
ช่วยเพิ่มพละกำลังและความรื่นรมย์ แล้วยังบำรุงรากฐานพลังอีก!
ในโลกนี้ยังมียาเม็ดวิเศษขนาดนี้อีกหรือ?
ช่วงนี้เขาเองก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเริ่มหมดแรงในทุกการต่อสู้
เจิงเวิ่นรู้สึกเหมือนเจอยาเม็ดวิเศษในดวงใจ แม้จะหมดหวังในการบรรลุระดับจู้จี แต่บางที ยาเม็ดจงเหมี่ยวอาจเป็นที่พึ่งพิงของเขาในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ก็ได้
“คือขวดนี้ใช่ไหม?”
เจิงเวิ่นชี้ไปที่ขวดหยกด้านในสุดของแผงขาย มันดูสวยงามและมีความพิเศษอย่างเห็นได้ชัด
หลัวเฉินพยักหน้า “ศิษย์รุ่นหลังคนนี้ทึ่มเขลา ใช้เวลาทั้งชีวิตกว่าจะปรุงได้ขวดนี้ หากผู้อาวุโสอยากสัมผัสรสชาติของความเข้าใจของท่านหยุนจงเหอ ข้ายินดีขายให้ท่านในราคาต่ำแสน ต่ำกว่าทุน แค่แปดก้อนหินวิญญาณระดับต่ำก็พอ เอาเถอะ ข้าและท่านถูกชะตา จะขายแค่ห้าก็แล้วกัน!”
เจิงเวิ่นยังคงลังเลอยู่ เขาจึงหยิบขวดหยกขึ้นมา เปิดจุกออก
กลิ่นหอมรัญจวนใจค่อย ๆ ลอยออกมา เมื่อสูดกลิ่นเข้าไปครั้งแรกก็รู้สึกได้ถึงพลังวิญญาณที่เริ่มปะทุในท้องน้อย
สูดเข้าไปอีกครั้ง ก็มีพลังวิญญาณบริสุทธิ์พุ่งเข้าจมูก ทำให้รู้สึกราวกับมีคลื่นมหาสมุทรซัดเข้าฝั่ง เผชิญหน้ากับดวงอาทิตย์อันแผดเผา
มองไปใกล้ ๆ ก็เห็นยาเม็ดกลมขนาดเท่าลูกลำไยสีแดงเข้ม กลิ้งไปมาคล้ายเยลลี่
“หยินหยางผสานกัน น้ำกับไฟประสานกลมกลืน มีเค้าของความหมายที่สาว ๆ จากตึกเทียนเซียงเคยกล่าวถึง ว่าการฝึกวิชาแก่นแท้ของสำนักเหอฮวนจนถึงระดับจินตันคือการบรรลุถึงการผสมผสานระหว่างมังกรและพยัคฆ์จริง ๆ”
“เอาล่ะ สหายน้อย ข้ารู้สึกถูกชะตากับเจ้า ข้าจะรับขวดนี้ไว้!”
“ห้าก้อนหินวิญญาณสินะ เอ้า เอาไป!”
หลัวเฉินรีบเก็บหินวิญญาณใส่อกอย่างยินดี
“ผู้อาวุโสเดินทางปลอดภัย ข้าอยู่แถวนี้แหละ เดือนหน้าถ้าผู้อาวุโสต้องการ ก็เชิญมาหาข้าได้ หากยาเม็ดจงเหมี่ยวมีข้อบกพร่องประการใด ท่านโปรดบอกมา ข้าจะปรับปรุงให้ท่านอย่างสุดความสามารถ!”
เขามองนักพรตระดับขั้นฝึกพลังชั้นเก้าผู้นั้นจากไปด้วยสายตาอบอุ่นอ่อนโยน จนกระทั่งอีกฝ่ายลับสายตาไป
หลัวเฉินถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
การขายสินค้าชุดแรกของสินค้าใหม่สำเร็จไปได้ด้วยดีในที่สุด
ครั้งแรกมักจะยากเสมอ แต่ครั้งที่สองก็จะง่ายขึ้นอีกไม่นานคงเปิดขายรอบต่อไปได้แล้ว
เขาบิดคอเล็กน้อย รู้สึกว่าหัวไหล่แข็งตึง จึงเหลือบตามองไป เห็นเฉินซิ่วผิงยืนตาค้าง ปากอ้ากว้างมองมาที่เขา
หนวดเคราสั่นระริก ปากขยับเล็กน้อย สุดท้ายจึงกัดฟันแล้วตะโกนออกมาว่า
“ข้าไม่เคยเจอใครหน้าด้านได้ถึงเพียงนี้มาก่อนเลยในชีวิต!”
เฮ้เฮ้!
หลัวเฉินยกมือคารวะ แล้วหยิบขวดหยกที่สวยงามอีกขวดหนึ่งออกมาวางไว้กับขวดยาพิกู่ซ่านที่เหลืออีกสิบห้าขวด
เฉินซิ่วผิงพูดเหมือนฟันโยกออกมา “เจ้าบอกว่าเจ้ามีแค่ขวดเดียวไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่แค่ขวดเดียว! หนึ่งขวดมีสิบเม็ด ข้าแยกขายออกเป็นสิบขวด แบบนี้เรียกว่ากำไรน้อยแต่ขายได้มาก!”
แข็งแล้ว!
กำปั้นของเฉินซิ่วผิงแข็งแล้ว!
เฉินซิ่วผิงรู้สึกว่าเขาได้เจอกับคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกับเขาจริง ๆ ในรอบหลายปี!
ในตอนเที่ยงวันนั้นเอง เจิงเวิ่นใช้คาถาควบคุมลม พุ่งเป็นแสงสีเขียวพุ่งตรงไปยังตึกเทียนเซียง
นักพรตหญิงระดับจู้จีที่เผชิญหน้ากับเขากล่าวว่าสาว ๆ ต่างก็พักผ่อนอยู่ ยังไม่พร้อมรับแขก
เจิงเวิ่นใช้พลังระดับขั้นฝึกพลังชั้นเก้าเต็มกำลัง จ้องมองไปที่นักพรตหญิงระดับจู้จี พลางตะโกนด้วยความโกรธว่า “ข้าคือเจิงเวิ่น วันนี้ข้าจะสู้สิบคน!”
(จบบท)