บทที่ 26 เถ้าแก่มีโลกอีกใบอยู่เบื้องหลัง
บทที่ 26 เถ้าแก่มีโลกอีกใบอยู่เบื้องหลัง
กัวอวี่ฉือและเหล่าศิษย์เดินเข้าไปยังลานบ้าน
“ผู้อาวุโสกัว นี่พวกเราเข้ามาในรังปีศาจหรือขอรับ? หญิงสาวที่อยู่ถัดจากเถ้าแก่มีปีกสีม่วงคู่หนึ่งบนแผ่นหลัง มีเพียงปีศาจเท่านั้นจึงจะมีปีกแบบนั้นได้ไม่ใช่เหรอ?”
กัวอวี่ฉือตอบกลับ “ถุย เจ้าเด็กนี่ช่างโง่เขลาเบาปัญญา แม้ว่าเถ้าแก่จะเป็น… ควรแล้วหรือที่เจ้ากล่าวคำดูถูกเช่นนั้น? นางเป็นเทพเซียน หาใช่ปีศาจไม่ เข้าใจไหม? พวกเจ้าเคยเห็นสิ่งของที่อยู่ในโรงแรมมาก่อนหรืออย่างไร?”
“ไม่ขอรับ ไม่เคยได้ยิน และไม่เคยเห็นมาก่อน”
กัวอวี่ฉือกล่าว “ถูกต้องแล้ว เมื่อพิจารณาจากทุกสิ่งทุกอย่างที่แสดงอยู่ในโรงแรมนี้ ข้าไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติเลย แต่รู้สึกว่ามันเป็นระบบที่สมบูรณ์แบบ ทว่าแตกต่างจากสิ่งที่เราเคยเห็นในชีวิตประจำวันโดยสิ้นเชิง วัตถุดิบที่ใช้ทำอาหารในโรงแรมก็ไม่สามารถหาได้จากท้องตลาด ดังนั้นคำอธิบายเดียวที่เป็นไปได้คือ ทุกสิ่งทุกอย่างในโรงแรมแห่งนี้มาจากโลกอื่น เถ้าแก่มีโลกอีกใบอยู่เบื้องหลัง ไม่ว่านางจะเป็นใครก็ตาม ตราบใดที่นางมีวิธีการเช่นนี้ และสามารถมาที่โลกของเราได้อย่างง่ายดาย ต้นกำเนิดดั้งเดิมของนางก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกต่อไป ท้ายที่สุดนางคือเทพเซียน แม้ความจริงอาจไม่ใช่ก็ตาม”
“ผู้อาวุโสกัว ข้าเคยได้ยินมาว่ามีขั้นบรรลุปริวรรตอยู่เหนือขั้นปราชญ์ลึกล้ำ เมื่อใดที่ระดับฝีมือถึงขั้นบรรลุปริวรรต ท่านจะสามารถทำลายช่องว่างมิติและขึ้นสู่แดนสวรรค์ เป็นไปได้ไหมว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เถ้าแก่แสดงให้พวกเราดู มันมาจากโลกอีกด้านหนึ่งของช่องว่างมิติ?”
“การทำลายช่องว่างมิติเป็นเพียงตำนานไม่ใช่หรือ?”
“หากเป็นแค่ตำนานอย่างที่ว่า แล้วเหตุใดถึงกลายเป็นความเห็นพ้องต้องกันของนักรบทุกคนล่ะ? เจ้ากล้าพูดไหมว่า เจ้าไม่เคยคิดถึงการทำลายช่องว่างมิติเลย?”
“ข้าไม่เคยคิด คนเราควรอยู่กับปัจจุบัน เป้าหมายของข้าคือขั้นสวรรค์ประทาน การไปถึงขั้นสวรรค์ประทานก็ถือว่าดีมากแล้ว ไม่เคยคิดฝันถึงขั้นปราชญ์ลึกล้ำด้วยซ้ำ แล้วจะให้คิดเกี่ยวกับขั้นบรรลุปริวรรตได้อย่างไร?”
“คนเราก็ต้องมีความฝันกันบ้างไม่ใช่หรือไง? ใครไหนเลยจะล่วงรู้ได้ถึงอนาคต?”
กัวอวี่ฉือกระแอมออกมาเบา ๆ “พวกเจ้าเงียบปากลงหน่อย การทำให้ความฝันเป็นจริงนั้นไม่ยาก เพียงต้องจริงจังกับการฝึกฝนอยู่ที่นี่ คว้าโอกาสนี้ไว้ให้แน่น แม้ขั้นปราชญ์ลึกล้ำอาจเป็นเรื่องยาก แต่ขั้นสวรรค์ประทานนั้นไม่ไกลเกินเอื้อม”
“ผู้อาวุโสกัว มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้หรือขอรับ?”
“ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว เช่นนั้นข้าจะเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับลานบ้านให้พวกเจ้าฟัง” กัวอวี่ฉือเริ่มเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับลายบ้านให้ศิษย์ฟัง
“จริงหรือขอรับ?”
“มันน่าอัศจรรย์ขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“แปลกประหลาดนัก ไม่น่าเชื่อเลย”
“กระสอบทรายที่สามารถโจมตีได้? วิญญาณกระสอบทรายหรือขอรับ?”
กัวอวี่ฉือกล่าว “วิญญาณกระสอบทราย? โอ้ เมื่อต่อสู้กับกระสอบทราย ผู้คนจะไม่มีความตั้งใจที่จะถอยหนี และจดจ่ออยู่กับการฝึกฝนโดยไม่รู้ตัว เค้นศักยภาพทั้งหมดของตัวเองออกมา ไหวพริบจะเฉียบคมมากกว่าปกติ คิดว่าวิญญาณจะทำสิ่งเหล่านี้ได้งั้นเหรอ?”
กัวอวี่ฉือพาลูกศิษย์ไปยังป่ากระสอบทรายที่เคยไปมาก่อน ปรากฏว่าป่ากระสอบทรายแห่งนี้มีพื้นที่กว้างใหญ่พอที่จะรองรับคนได้จำนวนมาก
“เอาล่ะ ที่นี่แหละ เข้าไปได้เลย”
เหล่าศิษย์ของหุบเขาการแพทย์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินเข้าใกล้กระสอบทรายด้วยความสงสัย
กระสอบทรายพลันเคลื่อนไหวโดยไม่มีลมพัดมา และเริ่มโจมตีพวกเขา
“!!!”
ศิษย์ของหุบเขาการแพทย์ต่างก็ตื่นตกใจ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากป่ากระสอบทรายมีการเสริมพลังให้ แม้ว่าจิตใจจะยังไม่ยอมรับอย่างเต็มที่ แต่ร่างกายของพวกเขาก็ตอบสนองทันที ทั้งหลบหลีกและตอบโต้
หลังจากนั้นพวกเขาสลัดความคิดทุกอย่างจนสิ้น พร้อมเริ่มตั้งสมาธิรับมือกับกระสอบทรายเหล่านี้
กัวอวี่ฉือพยักหน้าเล็กน้อยด้วยความพึงพอใจ “พวกเจ้าตั้งใจฝึกฝนให้ดี ข้าจะออกไปก่อน หากเกิดหิวหรือกระหายน้ำ ก็ออกไปซื้อของในร้านมากิน ราคาไม่ถือว่าแพง”
หลังจากบอกกล่าว เขาก็เดินออกจากลานบ้านเพียงลำพัง เมื่อกลับมาที่ล็อบบี้โรงแรม ก็เห็นเถ้าแก่ยังคงนั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์
แต่เห็นได้ชัดว่าเพิ่งจะผ่านไปไม่นาน หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างด้านข้างเถ้าแก่กลับเปลี่ยนโฉมไปอีกครั้ง
เธอสวมชุดคลุมสีดำปักเลี่ยมทอง ปีกที่หลังกลายเป็นสีดำ ดวงตาสีแดงฉาน ริมฝีปากเป็นสีม่วงเข้ม และมีคริสตัลสีม่วงติดอยู่กลางหน้าผาก
เฟิงหยวนหนิงเปลี่ยนชุดให้ซิวเอ๋อร์เสร็จ แล้วจึงปิดหน้าต่างระบบ และหันไปมองรูปลักษณ์ปัจจุบันของซิวเอ๋อร์
ในตอนแรก เธอเป็นสาวงามที่มีบุคลิกอ่อนโยนในแบบฉบับหญิงสาวชาวจีนโบราณ ทว่าตอนนี้ เธอกลายเป็นแม่มดตะวันตกที่ดูเย็นชา
อืม… ชุดสไตล์นี้จะทำให้ลูกค้าตกใจไหมนะ? เฟิงหยวนหนิงรู้สึกชื่นชอบมันมาก แต่ก็ไม่อยากทำให้ลูกค้าตกใจจนเกินไป
ขณะที่เธอกำลังจะเปิดหน้าต่างระบบเสมือนจริง เพื่อเปลี่ยนชุดให้ซิวเอ๋อร์ใหม่ สายตาพลันเหลือบไปเห็นกัวอวี่ฉือเดินกลับเข้ามาในล็อบบี้ ซึ่งในเวลานี้เขาตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ
เฟิงหยวนหนิงรีบตั้งค่ารูปลักษณ์ของซิวเอ๋อร์กลับสู่ค่าเริ่มต้น
ในระหว่างที่เล่นเกมแต่งตัว เธอไม่ได้เสียเงินแม้แต่แดงเดียว การลองชุดจะอยู่ได้นาน 10 นาที และจะหายไปหลังจากนั้น ซึ่งเวลา 10 นาทีถือว่ามากพอให้เธอได้ชื่นชมมัน
กัวอวี่ฉือยืนนิ่งงันด้วยความตกตะลึง เถ้าแก่สามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ของคนอื่นได้งั้นเหรอ?! ทั้งสีผม สีตา สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามใจนึก? แล้วปีกคู่นั้นหายไปไหนเสียแล้ว?
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงกลับมาได้สติอีกครั้ง แล้วเดินไปยังเคาน์เตอร์พร้อมชี้ไปทางร้านอาหาร “เถ้าแก่ขอรับ โต๊ะเก้าอี้ที่ตั้งไว้นั่น สำหรับทานอาหารใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้ว ท่านต้องการเข้าไปทานอาหารงั้นหรือ?”
“ใช่ ใช่ขอรับ!” ในใจของเขารู้สึกตื่นเต้น
เขาชื่นชอบการกินมากที่สุดในชีวิต แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่หิว แต่ต่อให้อิ่มจนท้องแตกตายที่นี่ เขาก็ยังปรารถนาที่จะลิ้มลองอาหารเลิศรสของโรงแรมนี้
“ตามข้ามาสิ หากทานคนเดียว ขอแนะนำว่าอย่าสั่งหลายจาน ร้านเรามีนโยบายห้ามสิ้นเปลืองอาหาร” เฟิงหยวนหนิงลุกขึ้นยืนแล้วพาเขาเดินเข้าไปในร้านอาหาร
“ขอรับ ท่านพูดถูก การสิ้นเปลืองอาหารเป็นสิ่งเลวร้าย” แต่ในใจเขากำลังคิดว่า มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะสั่งน้อยจาน เขาไม่สามารถพลาดอาหารเลิศรสใด ๆ ในชีวิตนี้ และต้องชิมทุกเมนูในร้าน
อย่างเลวร้ายที่สุด เขาจะใช้เงินของตัวเองเพื่อเชิญลูกศิษย์สิบคนมาทานด้วยกัน หรือไม่ก็แบกหน้าไปขอร้องคนจากหน่วยสืบสวนให้มาช่วยทาน
ผ่านไประยะเวลาหนึ่ง
ร้านอาหารก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง
กัวอวี่ฉือและลูกศิษย์ทั้งสิบกำลังเพลิดเพลินกับอาหารรสเลิศอย่างมีความสุข พวกเขาต่างหมกมุ่นอยู่กับการกินและการดื่ม ไม่มีใครสนใจที่จะพูดคุยกัน โดยพยายามต่อสู้อย่างหนักเพื่อแย่งอาหารมากิน
โดยปกติผู้ฝึกยุทธมีความอยากอาหารค่อนข้างมากอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อใช้กำลังภายในแก้ไข ก็ยิ่งกินได้มากกว่าเดิม
ก่อนหน้านี้ที่ไป๋ฮ่าวเกอและซ่งอวี้หลวนสามารถทานอาหารที่สั่งมาได้ทั้งหมด นั่นเป็นเพราะมีนายตำรวจหลายคนมาช่วยทาน
ในขณะนี้ สถานการณ์เกินความคาดหมายของกัวอวี่ฉือไปมาก อาหารแปดจานกลับไม่เพียงพอสำหรับพวกเขา
เขามองดูอาหารบนโต๊ะที่ถูกกินหมดอย่างรวดเร็ว คนที่มือไวก็ได้กิน ส่วนคนที่มือช้าก็อด จึงจำเป็นต้องสั่งอาหารเพิ่มกับเถ้าแก่
เฟิงหยวนหนิงนั่งอยู่บนโซฟาในร้านอาหาร มองดูข้อมูลในระบบด้วยความพึงพอใจ
เงื่อนไขการอัปเกรดโรงแรม: ร้านอาหารรองรับลูกค้าทั้งหมด 22/3000 และทำภารกิจให้สำเร็จ 0/3 ภารกิจ
ภารกิจ: ขายปลาต้มพริกให้ลูกค้าครบ 6/100 จาน เพื่อปลดล็อกเอฟเฟกต์พิเศษของโรงแรม “สี่ฤดูดุจดั่งฤดูใบไม้ผลิ”
จำนวนคนที่มาใช้ลานบ้านธีม “สวนน้ำพุ” 31/50 คน
เคอปิงหลิงลองสัมผัสประสบการณ์ในลานบ้านแล้ว ก่อนยืนยันว่ามันไม่มีผลต่อเธอ
ดังนั้น เธอจึงให้ลูกน้องอยู่ฝึกต่อ ส่วนตัวเธอเดินออกจากลานบ้าน เมื่อมาถึงล็อบบี้ ก็เห็นภายในร้านอาหารมีคนอยู่เต็ม จึงรีบเดินเข้าไปดู
เธอจ้องมองอาหารหลากสีสันบนโต๊ะด้วยความประหลาดใจ และยืนยันว่าไม่เคยเห็นอาหารแบบนี้มาก่อน “เถ้าแก่เจ้าคะ วัตถุดิบสีแดงนี้คือสิ่งใดหรือ?”
เฟิงหยวนหนิงกลับมาได้สติ แล้วปิดหน้าต่างระบบ “ท่านหมายถึงมะเขือเทศเชอรี่ หรือว่าพริกล่ะ? ผลไม้สีแดงเล็ก ๆ ในสเต็กคือมะเขือเทศเชอรี่ ส่วนในไก่ผัดพริกแห้ง กุ้งมังกรน้ำจืดผัดซอสหมาล่า และปลาต้มพริกคือพริก”
เคอปิงหลิงเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก้มลงคารวะอย่างนอบน้อม “เถ้าแก่ ขออนุญาตเสียมารยาทถาม ท่านนำวัตถุดิบเหล่านี้มาจากต่างโลกหรือเจ้าคะ?”
เฟิงหยวนหนิงพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว”
วัตถุดิบเหล่านี้มาจากโลกของการฝึกฝนความเป็นอมตะ น่าจะนับว่าเป็นต่างโลกได้กระมัง?
เคอปิงหลิงถามต่อ “แล้ววัตถุดิบเหล่านี้สามารถปลูกในท้องถิ่นได้หรือไม่?”
เฟิงหยวนหนิงคิดสักครู่แล้วตอบว่า “น่าจะปลูกได้”
เคอปิงหลิงกล่าว “เถ้าแก่เจ้าคะ ข้าในนามของราชสำนัก ขอซื้อเมล็ดพันธุ์จำนวนหนึ่งในราคาสูง ไม่ทราบว่าท่านจะอนุญาตหรือไม่?”
การซื้อเมล็ดพันธุ์นั้นไม่ใช่แค่ความคิดขององค์ชายเฉินเท่านั้น แต่ตัวเธอเองก็มีความคิดแบบนั้นเช่นเดียวกัน
เนื่องจากวัตถุดิบในร้านมาจากต่างโลก ย่อมต้องมีความพิเศษบางอย่าง มันอาจจะปลูกง่ายและให้ผลผลิตสูงกว่าพืชท้องถิ่นก็เป็นได้?
ระบบส่งสัญญาณเตือนขึ้นมาทันที “แจ้งเตือนโฮสต์ วัตถุดิบที่ซื้อมาจากร้านต้องผ่านการปรุงอาหารก่อนจึงจะขายได้”
เฟิงหยวนหนิงจึงปฏิเสธเคอปิงหลิงอย่างเด็ดขาด “ไม่ขาย ท่านจะสั่งอาหารหรือไม่? เมนูวางอยู่บนโต๊ะ”
สิ้นเสียง เธอพลันครุ่นคิดในใจ หากขายไม่ได้ แล้วให้ฟรีได้หรือเปล่า? แต่… เอาเป็นว่า หากซื้อวัตถุดิบมาแล้วใช้ไม่หมดในวันนั้น ค่อยเอาไปให้คนอื่นแล้วกัน
เคอปิงหลิงรู้สึกผิดหวัง แต่ก็ไม่ได้รบเร้าอะไรอีก ก่อนนั่งลงแล้วเริ่มสั่งอาหาร
เฟิงหยวนหนิงกระแอมแล้วเตือนว่า “ร้านเรามีนโยบายห้ามสิ้นเปลืองอาหาร ท่านจะลองทำตามเขาดูไหม โดยเชิญพวกพ้องมาทานด้วยกัน?”
“เขา” ที่ว่าก็คือกัวอวี่ฉือ ผู้อาวุโสแห่งหุบเขาการแพทย์ที่กำลังทานอาหารกับศิษย์อย่างมีความสุข
เคอปิงหลิงตอบรับอย่างนอบน้อมว่า “เจ้าค่ะ ขอบคุณเถ้าแก่ที่เตือน”
เฟิงหยวนหนิงจึงพูดเสริมอีกว่า “หากคนแปดคนมาทานด้วยกัน ข้าคิดว่า ท่านน่าจะสั่งเพิ่มอีกสักหน่อยดีไหม?”
เคอปิงหลิง “…”
เฟิงหยวนหนิงพูดต่อ “ตัวอย่างเช่น ดูนั่นสิ ปลาต้มพริกที่พวกเขากำลังทานกันอยู่ ข้าคิดว่าจานนั้นเลิศรสมาก ท่านคิดว่าอย่างไร?” พร้อมกับส่งสายตาคาดหวังไปให้
เนื่องจากคำชวนที่ตรงไปตรงมาของเฟิงหยวนหนิง ในที่สุดเคอปิงหลิงก็ทำเหมือนกับกัวอวี่ฉือ โดยสั่งปลาต้มพริกเพิ่มอีกสองชาม
แม้ว่าเถ้าแก่จะไม่ไว้หน้าเธอ แต่เธอไม่สามารถหมิ่นเกียรติอีกฝ่ายได้
…
ใกล้เวลาพลบค่ำ ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ
บนถนนมีผู้คนสัญจรไปมาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และมีผู้คนมากมายมองเข้าไปในร้านอาหารผ่านหน้าต่างที่เปิดอยู่
หลังจากผ่านไปหนึ่งวัน ข่าวสารเกี่ยวกับโรงแรมก็แพร่กระจายออกไปมากขึ้น ทำให้ความสงสัยในโรงแรมเซียนหยวนของผู้คนจำนวนหนึ่งลดน้อยลง
ในขณะนี้ มีผู้คนจำนวนมากกำลังรับประทานอาหารอยู่ในร้านอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งซ่งอวี้หลวนและลูกค้าประจำคนอื่น ๆ
อาหารที่วางอยู่บนโต๊ะนั้นดูแปลกตา และยังมีกลิ่นหอมน่ารับประทานลอยออกมาจากหน้าต่าง
ในไม่ช้าก็มีคนทนต่อกลิ่นหอมเย้ายวนไม่ไหว และเริ่มแย่งชิงที่นั่งที่เหลืออยู่
ไม่นานนัก เก้าอี้ 20 ตัวในร้านก็ถูกจับจองทั้งหมด เหล่าคนแปลกหน้าต่างถูกบังคับให้ต้องมานั่งทานอาหารที่โต๊ะเดียวกัน
“ที่นั่งน้อยเกินไป ขอเพิ่มโต๊ะไม่ได้หรือ?”
“สั่งซื้อแล้วห่อกลับบ้านได้หรือไม่?”
“ทั้งที่ร้านออกจะกว้างขวาง เหตุใดเล่าจึงมีโต๊ะเก้าอี้เพียงน้อยนิด?”
“ที่นี่ไม่ขายเหล้าหรือ? ทั้ง ๆ ที่เรียกตัวเองว่าร้านอาหาร แล้วทำไมถึงไม่ขายเหล้าด้วย?”
ซ่งอวี้หลวนไม่ต้องการรบกวนเถ้าแก่ จึงกล่าวว่า “เถ้าแก่เจ้าคะ ข้ายินดีจะสละที่นั่ง แต่ข้าขอนำอาหารกลับไปทานที่ห้องได้หรือไม่?”
ไป๋ฮ่าวเกอรีบพูดต่อ “เถ้าแก่ขอรับ ในลานบ้านมีโต๊ะเก้าอี้อยู่ เรานำอาหารไปทานที่นั่นได้หรือไม่?”
ในบรรดาลูกค้าทั้งหมด มีเพียงสองคนนี้เท่านั้นที่มีจุดประสงค์อื่น และพยายามเอาอกเอาใจเฟิงหยวนหนิง
ลูกค้าในร้านพูดคุยกันเสียงดังวุ่นวายจนเฟิงหยวนหนิงปวดหัว
เธอถามระบบก่อน แล้วจึงปฏิเสธข้อเสนอของ “สามารถรับประทานอาหารในห้องพักได้ แต่ห้ามห่อกลับบ้าน ห้ามนำไปที่ลานบ้าน และยังไม่มีเหล้าจำหน่าย เดี๋ยวข้าจะให้ซิ่วเอ๋อร์ช่วยนำอาหารไปส่งที่ห้องพักชั้นบน”
“ขอรับ/เจ้าค่ะเถ้าแก่”
เฟิงหยวนหนิงจำเป็นต้องซื้อวัตถุดิบเพิ่ม และเข้าไปช่วยทำอาหารในห้องครัวเอง
เธอและซิวเอ๋อร์ต้องทั้งทำอาหาร และยกอาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะ ด้วยจำนวนลูกค้าหลายสิบคน ทำให้รู้สึกวุ่นวายจนทำอะไรไม่ทัน
แต่ความวุ่นวายแบบนี้ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิด แค่มองดูข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงไปในระบบ ก็เพียงพอที่จะทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้นแล้ว