บทที่ 25 ควรใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบนี้
บทที่ 25 ควรใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบนี้
ณ หุบเขาการแพทย์
ภายในห้องรับแขกที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย
ถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปวางอยู่บนโต๊ะกลาง เส้นบะหมี่ทรงหยักชุ่มไปด้วยน้ำมันสีแดง และกลิ่นหอมของบะหมี่ก็ลอยตลบอบอวลไปทั่วห้อง
ชายชราผมและเคราสีดอกเลานั่งอยู่หน้าโต๊ะ ใบหน้าผอมแห้งแข็งทื่อเหมือนผีดิบ ขณะจ้องมองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปด้วยสีหน้าเรียบเฉย “กระสอบทรายที่สามารถช่วยให้ผู้คนเพิ่มความแข็งแกร่งได้งั้นหรือ? ตาเฒ่ากัว เจ้ายังฝันละเมออยู่หรือไง? บนโลกใบนี้จะมีของดีแบบนั้นได้อย่างไร?”
กัวอวี่ฉือพยายามอธิบายอย่างหนักแน่นว่า “ทว่า ท่านลองดูบะหมี่ถ้วยนี้สิขอรับ ท่านเคยพบเห็นบะหมี่เช่นนี้จากที่ไหนมาก่อนหรือไม่? แล้วลองดูที่ไฟแช็กนี้สิ เพียงแค่กดปุ่มก็มีเปลวไฟปรากฏขึ้น ท่านเคยพบเห็นไหมขอรับ? หรือจะเป็นไฟฉายกระบอกนี้ แค่กดปุ่มก็ทำให้เกิดแสงสว่างเจิดจ้า ท่านเคยเห็นไหมขอรับ?”
เขารู้ดีว่า เจ้าสำนักหุบเขาการแพทย์เป็นคนอนุรักษนิยม ชอบรักษาสิ่งที่มีอยู่มากกว่าที่จะก้าวไปข้างหน้า
แน่นอนว่า เมื่อเทียบกับนายอำเภออินที่พึ่งพาบุญเก่าแล้วไม่ทำอะไรเลย เจ้าสำนักของเขานับว่าทำได้ดีมากแล้วในเรื่องการรักษาสิ่งที่มีอยู่
เพื่อชักชวนให้เจ้าสำนักที่ดื้อรั้นเปลี่ยนใจ เขาจึงนำสิ่งของมาให้ดูมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
กัวอวี่ฉือยังคงพยายามชักชวนต่อไป “ท่านเจ้าสำนัก ลองชิมบะหมี่ดูสักคำสิขอรับ ถึงท่านจะไม่เชื่อเรื่องกระสอบทรายวิเศษ แต่การได้ลองชิมอาหารเลิศรสจากโรงแรมนั้นก็ยังถือว่าคุ้มค่า”
หากได้ลองชิมอาหารของโรงแรมด้วยตนเอง เขาไม่เชื่อว่าเจ้าสำนักจะนิ่งเฉยได้ตลอด ไม่ช้าก็เร็วท่านเจ้าสำนักจะถูกล่อลวง และไปเยี่ยมชมโรงแรมเป็นการส่วนตัว
และแน่นอน หากเจ้าสำนักไม่อยากไปเอง ก็คงจะส่งศิษย์ที่เก่งด้านวรยุทธ์ไปแทน
เนื่องจากโรงแรมเลือกที่จะสร้างใกล้กับหุบเขาการแพทย์ เช่นนั้นหุบเขาการแพทย์ก็ควรจะใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบ และไม่ควรพลาดโอกาสนี้
ชายชราผมสีดอกเลาเลิกคิ้วซ้ายขึ้นเล็กน้อย “แค่บะหมี่ธรรมดา ๆ ถ้วยหนึ่ง เหตุใดจะต้องชิมมันด้วย? ยิ่งไปกว่านั้น ต้นกำเนิดของมันก็น่าสงสัย เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าจะไม่มีปัญหา?”
กัวอวี่ฉือกล่าว “ท่านเจ้าสำนัก นอกจากครอบครัวของข้าแล้ว ยังมีคนอื่น ๆ อีกมากมายที่เคยชิมบะหมี่นี้ แม้กระทั่งองค์ชายเฉินยังเคยลิ้มลองแล้วเช่นกัน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรผิดปกติ”
ชายชราผมสีดอกเลาขมวดคิ้วมุ่น “ในฐานะที่เจ้าเป็นหมอหลวงของพระองค์ แล้วจะปล่อยให้พระองค์เสี่ยงอันตรายได้อย่างไร? หากเกิดสิ่งใดขึ้นมา แล้วราชสำนักมาไต่สวนความจริง เราจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ”
กัวอวี่ฉือรีบอธิบายว่า “ท่านเจ้าสำนัก นั่นย่อมไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ ทว่าตอนที่ข้าทราบเรื่อง องค์ชายเฉินก็ได้เสด็จเข้าไปในโรงแรมนั้นแล้ว ทว่าท่านเจ้าสำนัก ลองคิดดูสิขอรับ แม้แต่องค์ชายเฉินยังเข้าไปในโรงแรม และได้พิสูจน์แล้วว่าโรงแรมนั้นมีบางสิ่งน่าอัศจรรย์ บางทีราชสำนักอาจกำลังส่งคนเข้าไปก็เป็นได้? หุบเขาการแพทย์ของเราไม่ควรตกอยู่เบื้องหลัง และต้องคว้าโอกาสนี้ไว้”
ชายชราผมสีดอกเลาเลิกคิ้วกล่าวเสียงเย็นชา “เอาล่ะ ข้าจะส่งศิษย์ไปพร้อมกับเจ้าบางส่วน หากกระสอบทรายนั้นมีประโยชน์อย่างที่เจ้ากล่าวอ้าง มันก็คงจะมีประโยชน์แค่สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นมานะสร้างเท่านั้น การเคลื่อนไหวของนักรบขั้นสวรรค์ประทานส่วนใหญ่สมบูรณ์แบบแล้ว ขาดเพียงความเข้าใจในความหมายที่แท้จริงของวรยุทธ์ หาใช่ต้องขัดเกลาท่าทางการเคลื่อนไหวให้ดีขึ้น”
กัวอวี่ฉือกล่าว “แต่หากฝึกท่วงท่าให้สมบูรณ์แบบก่อนเวลาอันควร ก็จะช่วยให้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของวรยุทธ์ได้เร็วขึ้นไม่ใช่หรือขอรับ? ไม่ว่าในกรณีใด กระสอบทรายนั้นก็ยังมีประโยชน์อย่างมาก ไม่คิดเช่นนั้นหรือขอรับ?”
ชายชราผมสีดอกเลายืนขึ้น แล้วเรียกศิษย์ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
หลังจากนั้นไม่นาน
ศิษย์ของหุบเขาการแพทย์สิบคนทยอยกันเข้ามา โดยมีระดับฝีมือตั้งแต่ขั้นมานะสร้างสี่ชั้นถึงเจ็ดชั้น
ชายชราผมสีดอกเลามองลูกศิษย์เหล่านั้นด้วยสายตาเย็นชา “นับจากวันนี้เป็นต้นไป ผู้อาวุโสกัวจะพาพวกเจ้าไปฝึกฝนในที่แห่งหนึ่ง พวกเจ้าต้องร่วมมือกับผู้อาวุโสกัวอย่างเต็มที่ ห้ามเกียจคร้าน ห้ามทำอะไรที่ขัดต่อคำสั่ง เข้าใจไหม?”
ศิษย์ทุกคนตอบรับด้วยเสียงดังและเคร่งขรึมว่า “ขอรับ/เจ้าค่ะท่านเจ้าสำนัก”
กัวอวี่ฉือกล่าว “ท่านเจ้าสำนัก คงไม่ได้ให้ข้าจัดหาเงินสำหรับการฝึกฝนครั้งนี้ทั้งหมดใช่ไหมขอรับ?”
แม้ว่าเขาจะไม่ขาดแคลนเงินทอง แต่ก็ไม่สามารถเปิดช่องโหว่นี้ได้ เนื่องจากมันไม่ถูกต้องที่จะนำเงินส่วนตัวมาเติมเต็มงบประมาณของสำนัก
ชายชราผมสีดอกเลาโยนแผ่นทองคำให้เขา “ในเมื่อเป็นการฝึกฝนศิษย์ เงินที่ใช้ย่อมต้องเป็นของสำนัก”
กัวอวี่ฉือกล่าวขอบคุณเจ้าสำนักแล้วพาศิษย์ทั้งสิบออกไป
ศิษย์ทั้งสิบเดินตามไปอย่างว่าง่าย แต่ลับหลังกลับแลกเปลี่ยนสายตากันด้วยความสงสัย
แม้ผู้อาวุโสกัวจะประสบความสำเร็จอย่างมากในด้านการแพทย์ แต่ไม่เคยได้ยินว่าเขาเก่งกาจเรื่องวรยุทธ์
ตามคำกล่าวที่ว่า แต่ละคนมีด้านที่เก่งไม่เหมือนกัน ผู้อาวุโสกัวจะมีความสามารถมาชี้แนะในการฝึกฝนให้พวกเขาได้อย่างไร?
ชายชราผมสีดอกเลายังคงนั่งนิ่งอยู่ในห้อง ขณะมองตามหลังพวกเขาเดินออกไป
ผ่านไปไม่นาน เขาขมวดคิ้วพลางดมกลิ่นหอมของบะหมี่ตรงหน้า หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงหยิบตะเกียบขึ้นมาลองชิมหนึ่งคำ
ทันใดนั้น เขาก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ
ปรากฏว่าบะหมี่ถ้วยนี้ไม่ได้มีดีแค่หน้าตางั้นหรือ? แม้ว่าจะมีเนื้อกับผักน้อยนิด แต่เหตุใดเล่าจึงเลิศรสได้ขนาดนี้?
เขารู้สึกว่าน้ำซุปเข้มข้นและมีกลิ่นหอม เส้นบะหมี่เหนียวนุ่ม มีรสชาติเผ็ดร้อนชื่นใจ
ไม่แปลกใจเลยที่ตาเฒ่ากัวถึงได้ชื่นชมบะหมี่ถ้วยนี้หนักหนา
ไม่นานนัก เขาก็ซดบะหมี่จนหมดเกลี้ยง
และทันทีที่เขากินเสร็จ ถ้วยกระดาษที่วางอยู่ตรงหน้าก็อันตรธานหายไปอย่างไม่น่าเชื่อ
ชายชราผมสีดอกเลา “!!!”
ด้วยฝีมือระดับเขา ใครไหนเลยจะสามารถฉกฉวยสิ่งของออกไปจากมือของเขาได้อย่างเงียบเชียบเช่นนี้?
เขาจึงรีบลุกขึ้นยืนถอยหลัง มองไปรอบ ๆ ด้วยความระแวดระวัง แล้วออกไปค้นหาภายนอก ทว่ากลับไม่พบว่ามีผู้ใดเข้ามา
เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัวในใจ
ผู้ที่ทำเช่นนี้ได้ต้องมีความสามารถเก่งกาจกว่าเขามาก เขาจึงต้องระมัดระวังตัวให้มากขึ้น
…
ด้านหน้าโรงแรมเซียนหยวน
“ผู้อาวุโสกัวขอรับ ไม่ใช่ว่าท่านจะพาพวกเราไปฝึกฝนหรืออย่างไร? เหตุใดจึงได้พาเรามาที่นี่แทน?”
“โรงแรมเซียนหยวน? สร้างบ้านหินแบบนี้ขึ้นมาได้อย่างไรกัน? หน้าต่างและประตูทำด้วยกระจกสี ช่างหรูหรายิ่งนัก!”
“‘ยินดีต้อนรับสู่โรงแรมเซียนหยวน มีห้องว่างหลายห้องให้บริการ ในราคาหนึ่งตำลึงต่อคืน’ ผู้อาวุโสกัว ที่นี่เป็นโรงแรมที่ให้บริการที่พักไม่ใช่หรือ? มันเกี่ยวข้องอะไรกับการฝึกฝน?”
“หรือว่าจะฝึกฝนได้เร็วขึ้นเมื่อเข้าไปอาศัยอยู่ในสถานที่นี้?”
“สถานที่ที่หรูหราและน่ารื่นรมย์แบบนี้ หากได้เข้าไปพักอาศัยอยู่คงทำให้จิตใจแจ่มใส การฝึกฝนก็จะเป็นไปอย่างราบรื่นสินะ?”
กัวอวี่ฉือ “…” เขากระแอมในลำคอเบา ๆ “ไปกันเถิด ตามข้ามา”
ขณะกำลังจะก้าวขึ้นบันได หางตาของเขาพลันเหลือบไปเห็นกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งกำลังเดินเข้ามา
เขาจึงหันไปมองดู เห็นว่าอีกฝ่ายสวมชุดดำ หมวกสูง และมีเชือกยาวคาดเอว เห็นได้ชัดว่าเป็นคนของหน่วยสืบสวน
ผู้นำเป็นหญิงสาวหน้าตาเคร่งขรึม ดวงตาดูเฉียบคม และริมฝีปากบางเฉียบ
เธอเม้มริมฝีปากแน่น เหลือบมองกัวอวี่ฉือและคณะ ก่อนพยักหน้าให้เล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย จากนั้นก็รีบเดินเข้าไปในโรงแรม
กัวอวี่ฉือจดจำหญิงสาวคนนี้ได้
หุบเขาการแพทย์ตั้งอยู่ในอำเภอเมืองฉ่างหลิงในจังหวัดเจียงหยวน ส่วนหญิงสาวคนนี้มีนามว่าเคอปิงหลิง นักรบขั้นสวรรค์ประทาน และเป็นผู้ตรวจการของหน่วยสืบสวนประจำจังหวัดเจียงหยวน ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงต้องติดต่อกันเป็นประจำ
เคอปิงหลิงเปรียบเสมือนเทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง และมักจะปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันในแต่ละอำเภอของจังหวัดเจียงหยวน ทำให้คาดเดาการเคลื่อนไหวของเธอไม่ได้
โดยไม่คาดคิด วันนี้เธอบังเอิญมาอยู่ใกล้ ๆ กับอำเภอเมืองฉ่างหลิงอย่างนั้นหรือ? หรือว่าเธอจะรีบตรงมาที่นี่หลังจากได้ทราบข่าวสาร?
เคอปิงหลิงพาคนมาด้วยเจ็ดคน ซึ่งน้อยกว่าทางด้านหุบเขาการแพทย์สามคน
หลังจากที่นักรบขั้นสวรรค์ประทานจากหน่วยสืบสวนปรากฏตัวขึ้น บรรดาศิษย์ของหุบเขาการแพทย์ที่เคยส่งเสียงดังพากันปิดปากเงียบ ไม่มีใครกล้าถามอะไรอีก
กัวอวี่ฉือและคณะเดินเข้าไปในล็อบบี้ของโรงแรม แล้วก็ต้องตกตะลึง
หญิงสาวที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์คือเถ้าแก่ของโรงแรม ซึ่งกัวอวี่เฉอจดจำเธอได้
ทว่าด้านข้างเถ้าแก่โรงแรม กลับมีหญิงสาวปีกสีม่วงยืนสงบนิ่งอยู่!
หญิงสาวผู้นี้มีรูปลักษณ์สวยงามและอ่อนโยน อารมณ์สงบเยือกเย็น ผมเกล้าสูง บนหน้าผากประดับเพชรสีม่วงขนาดใหญ่ และสวมชุดกระโปรงสีม่วง
เห็นได้ชัดว่าเธอดูเหมือนคนธรรมดา ทว่าด้านหลังกลับมีปีกสีม่วงคู่หนึ่ง และปีกนั้นยังขยับไหวเป็นครั้งคราว
นี่คนหรือว่านกกันแน่? คนเราจะงอกปีกสีม่วงออกมาได้ยังไง?
เฟิงหยวนหนิงไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีคนเดินเข้ามา เธอเพิ่งจะเล่นเกมแต่งตัวเสร็จ และกำลังตรวจสอบข้อมูลต่าง ๆ ในระบบ
เงื่อนไขการอัปเกรดโรงแรม: ร้านอาหารรองรับลูกค้าทั้งหมด 11/3000 และทำภารกิจให้สำเร็จ 0/3 ภารกิจ
ภารกิจ: ขายปลาต้มพริกให้ลูกค้า 4/100 จาน เพื่อปลดล็อกเอฟเฟกต์พิเศษของโรงแรม “สี่ฤดูดุจดั่งฤดูใบไม้ผลิ”
จำนวนคนที่มาใช้ลานบ้านธีม “สวนน้ำพุ” 13/50 คน
ก่อนหน้านี้ กัวอี้ถังเข้าไปในลานบ้านหลังทานอาหารเสร็จ จำนวนคนที่มาใช้ลานบ้านจึงเป็น 5+1=6
หลังจากกัวอี้ถังไปแล้ว ตำรวจอีก 6 คนก็เข้าไปที่ลานบ้านด้วย จำนวนคนที่มาใช้ลานบ้านจึงเป็น 6+6=12
ส่วนจำนวนคนที่เพิ่มมาอีก 1 คนนั้น เธอไม่ได้สังเกตว่าเป็นใคร ก็เลยปล่อยผ่านไป
ในที่สุดศิษย์ของหุบเขาการแพทย์ทั้งสิบคนก็อดใจไม่ไหว จึงเริ่มซุบซิบกัน
“ผู้อาวุโสกัว หญิงสาวคนนั้นเป็นมนุษย์จริง ๆ หรือ? เหตุใดนางจึงมีปีกคู่หนึ่งเช่นนั้น?”
“หรือว่าโรงแรมแห่งนี้จะเป็น… โรงแรมที่มีมนต์ขลัง และสามารถช่วยเรื่องการฝึกฝนได้จริง?”
“หญิงสาวที่นั่งอยู่หลังโต๊ะเป็นเถ้าแก่ของโรงแรมนี้หรือขอรับ?”
“คริสตัลที่ส่องแสงนั่นมันคืออะไรกัน? แล้วเหตุใดคริสตัลถึงสามารถเปล่งแสงเช่นนี้ได้?”
“ที่นี่มันเป็นโลกมนุษย์จริง ๆ หรือ? หรือว่าพวกเราทุกคนมาอยู่ในแดนสวรรค์แล้ว?”
เฟิงหยวนหนิงได้ยินเสียงพูดคุย จึงปิดระบบเงยหน้าขึ้นมามองดู ก่อนจะรู้สึกดีใจมาก
ฮ่า!
ทำไมถึงมีคนมากมายมาพร้อมกันแบบนี้?
เธอคาดว่าอาจจะทำภารกิจนี้ให้เสร็จสิ้นได้ หนึ่ง สอง สาม... สิบเก้า มีทั้งหมดสิบเก้าคน ตราบใดที่พวกเขาไปยังลานบ้านกันหมด ภารกิจเกี่ยวกับลานบ้านจะได้รับความคืบหน้ากึ่งหนึ่ง
เธอรู้สึกเหมือนกำลังเห็นทุ่งต้นหอมที่เจริญเติบโต คนเหล่านี้ในสายตาของเธอไม่ใช่คนที่มีชีวิตอีกแล้ว แต่เป็นเหมือนต้นหอมชั้นดีที่มามอบผลประโยชน์ให้เธอ
เฟิงหยวนหนิงตั้งสติแล้วบังคับตัวเองให้สงบสติอารมณ์ “พวกท่านอยากจะเข้าพักใช่ไหม? หรือทานอาหาร? หรือว่าไปฝึกฝนในลานบ้าน? หากต้องการเข้าไปในลานบ้าน พวกท่านสามารถซื้อตั๋วตรงนั้นได้เลย”
กัวอวี่ฉือรีบตอบ “ขอบคุณที่ชี้แนะขอรับเถ้าแก่ พวกเราจะไปที่ลานบ้าน เช่นนั้นไม่รบกวนท่านแล้ว”
เขาเดินตรงไปยังประตูกระจกที่เชื่อมไปยังลานบ้านอย่างรวดเร็ว จากนั้นซื้อตั๋วเข้าชมสิบใบที่เครื่องขายตั๋ว แล้วหันกลับไปเรียกศิษย์ของตนว่า “ยืนนิ่งเฉยอยู่ไย รีบมารับตั๋วเร็วเข้า”
ศิษย์ของหุบเขาการแพทย์ทั้งสิบคนจึงรีบเดินมารับตั๋ว
เคอปิงหลิงเดินเข้ามาหาเฟิงหยวนหนิงแล้วกล่าวว่า “ขอคารวะเถ้าแก่เจ้าค่ะ ได้ยินชื่อเสียงมาเนิ่นนาน ข้าอยากจะเข้าพักที่นี่ จึงอยากถามว่ามีห้องว่างหรือไม่?”
“ได้สิ ห้องเดี่ยวจะพักได้เพียงคนเดียว คนอื่น ๆ เข้าเยี่ยมที่ห้องได้นานสุดหนึ่งชั่วโมง แขกของโรงแรมสามารถเข้าไปในลานบ้านโดยไม่เสียเงินตลอดระยะเวลาที่เข้าพัก ท่านมีคำถามใดอีกหรือไม่?”
“ไม่มีเจ้าค่ะ”
“จะพักกี่วัน?”
“ยิ่งนานยิ่งดี”
เฟิงหยวนหนิงจึงออกบัตรห้องพักให้เธอเป็นเวลาสามวัน “พักได้นานสูงสุดสามวัน หากอยากพักต่อ ให้นำบัตรมาต่ออายุอีกสามวันให้หลัง”
หลังจากที่เคอปิงหลิงเข้าพักแล้ว ตอนนี้จึงเหลือห้องพักว่างอีกแค่สามห้อง
“เข้าใจแล้ว ขอบคุณเจ้าค่ะเถ้าแก่” เคอปิงหลิงรับบัตรเข้าห้องพักไปพร้อมก้มศีรษะลงเล็กน้อย จากนั้นจึงพาคนของตนเข้าไปในลานบ้าน