34 - ปราชญ์หนุ่มแห่งต้าเฉียน
34 - ปราชญ์หนุ่มแห่งต้าเฉียน
“เปียวเกอ!”
หลี่อี้ซู่รีบถอยหลังหนึ่งก้าว เมื่อเห็นว่ากงซุนชงมีสีหน้าขึ้นสีแดงก่ำจากการดื่มเหล้า นางขมวดคิ้วถาม “ท่านดื่มเหล้าหรือ?”
กงซุนชงรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อเห็นหลี่อี้ซู่ถอยหนี แต่เขาไม่ได้เดินเข้าไปอีก เขาพูดด้วยเสียงเนือยๆ “เจ้าเริ่มหลบหน้าข้าแล้วสินะ!”
หลี่อี้ซู่รีบตอบ “เปียวเกอ ข้าไม่ได้หลบเจ้า”
กงซุนชงโบกมือ “ช่างเถอะ เจ้าเล่ามาว่าท่านพ่อมีแผนการอย่างไร”
หลี่อี้ซู่ถอนหายใจเบาๆ แล้วเล่าแผนที่กงซุนอู๋จี้คิดให้กงซุนชงฟัง
ยิ่งฟังตาของกงซุนชงก็ยิ่งสว่างขึ้น “แผนนี้ดีจริงๆ ถ้าดำเนินการได้ดี ไม่เพียงแต่จะยกเลิกการหมั้นได้เท่านั้น อาจจะทำให้องค์ชายแปดถูกขับออกไปด้วย!”
“ขับไล่น้องแปดออกไป?”
หลี่อี้ซู่รู้สึกไม่สบายใจ “หากน้องแปดต้องรับเคราะห์ไปด้วย แผนนี้ควรจะยกเลิก น้องแปดเป็นคนน่าสงสาร ข้าไม่อาจทำร้ายเขาได้”
กงซุนชงเห็นว่าหลี่อี้ซู่กำลังลังเล จึงรีบเกลี้ยกล่อม “อี้ซู่ เจ้าคิดดูสิ อย่างไรองค์ชายแปดก็ต้องออกจากเมืองหลวงไม่ช้าก็เร็ว เขาไม่ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท การที่เขาโดนฉินโม่ลากไปด้วย ฝ่าบาทคงไม่ลงโทษเขาอยู่แล้ว อย่างมากสุดก็ถูกขับไล่ออกจากเมืองหลวงเร็วขึ้น”
“แล้วเขาจะไม่ได้กลับเมืองหลวงอีกเลยหรือ?”
“เขาเป็นเพียงองค์ชายแปดบุตรของนางกำนัลเท่านั้น แม้ว่าเขาจะไม่ทำผิดอะไรก็คงไม่มีโอกาสกลับเมืองหลวงตลอดชีวิตอยู่แล้ว เขาเป็นสหายของเจ้าโง่ฉิน เจ้าคิดว่าหากคบหากันต่อไปมันจะมีเรื่องดีเกิดขึ้นกับเขาหรือ? อย่างน้อยเจ้าก็ถือว่าช่วยสงเคราะห์เขาให้ออกห่างจากเจ้าโง่ฉินเท่านั้น!”
“จริงหรือ?”
“ข้าเคยโกหกเจ้า?”
กงซุนชงเห็นว่าหลี่อี้ซู่เริ่มเชื่อใจ เขาจึงเดินเข้าไปใกล้ พร้อมสูดกลิ่นหอมจากร่างของนาง จนทำให้เขารู้สึกร้อนรุ่มในอก “อี้ซู่ เจ้าไม่อยากอยู่กับข้าหรือ?”
ใบหน้าของหลี่อี้ซู่แดงขึ้นมาทันที
คำพูดที่น่าอายเช่นนี้ นางจะตอบอย่างไร?
“เปียวเกอ ใกล้จะค่ำแล้ว ข้าไม่ควรออกจากวังนาน ข้าต้องกลับแล้ว”
“อี้ซู่!”
กงซุนชงคว้ามือของนางไว้ “ข้ารักเจ้า ถ้าไม่มีเจ้าข้าก็อยู่ไม่ได้ ข้าไม่ชอบหลิวหรูอวี้เลย!”
หลี่อี้ซู่ทั้งอายทั้งตกใจ “เปียวเกอ ปล่อยมือข้า!”
“อี้ซู่ อย่าเพิ่งไป!”
กงซุนชงกอดนางแน่นและพยายามจะจูบนาง!
หลี่อี้ซู่ใบหน้าซีดเผือดเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “เปียวเกอเจ้าเมาแล้ว ได้โปรดมีสติด้วย!”
นางพยายามดิ้นรนสุดแรง
แต่การดิ้นรนของนางทำให้กงซุนชงโกรธ เขาจับไหล่บางของหลี่อี้ซู่แน่น ใบหน้าเขาดูบิดเบี้ยว “เราสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก ทำไมต้องหนีและผลักข้าด้วย หรือว่าเจ้าไม่อยากแต่งงานกับข้า?”
หลี่อี้ซู่ไม่เคยเห็นกงซุนชงในสภาพนี้มาก่อน นางกลัวจนตัวแข็งทื่อ
เมื่อสติกลับมาอีกครั้ง นางก็ถูกกงซุนชงดึงขึ้นเตียงแล้ว
ความกลัว ความโกรธ พุ่งขึ้นในใจของนางอย่างรุนแรง
“เพียะ!”
เสียงฝ่ามือดังก้องในห้องหนังสือ ดวงตาของหลี่อี้ซู่เต็มไปด้วยความผิดหวัง “เจ้าทำเช่นนี้ ไม่ต่างจากฉินโม่เลย เขาเป็นคนปัญญาอ่อนที่ทำอะไรตามสัญชาตญาณตัวเอง แต่เจ้าเป็นถึงปราชญ์หนุ่มแห่งต้าเฉียนควรจะมีความยับยั้งชั่งใจกว่านี้ การกระทำของเจ้าถือว่าเลวร้ายกว่าเขาสิบเท่า!”
ถ้าพ่อของเขารู้เรื่องนี้ คงได้หักขาเขาแน่!
แต่หลี่อี้ซู่วิ่งออกไปแล้ว ต่อให้เรียกนางตอนนี้ก็คงไม่ทัน
กงซุนชงโกรธจัด เขาต่อยกำแพงจนมือแตก เมื่อสัมผัสกับใบหน้าที่เจ็บปวดของตัวเองเขายิ่งโกรธแค้นมากขึ้น
นางตบเขาแรงมาก
และนางยังกล้าเปรียบเทียบเขากับคนโง่คนนั้น! คนโง่นั่นจะมาเทียบกับเขาได้อย่างไร?
การผลักไสและหลบเลี่ยงของหลี่อี้ซู่ทำให้เขาโกรธและเสียใจ
ในสายตาของเขา นี่คือการทรยศ!
“ฉินโม่ องค์ชายแปด ข้าจะไม่ปล่อยพวกเจ้าไว้แน่!”
…
หลี่อี้ซู่ยังโกรธอยู่ แต่ก็ยังไม่เสียสติ
นางสวมผ้าคลุมปิดหน้าเพื่อไม่ให้คนในจวนจ้าวกว๋อกงสังเกตเห็น แล้วค่อยๆ หลบออกไปเงียบๆ
ระหว่างทางกลับวัง หลี่อี้ซู่ไม่หยุดคิดถึงแผนการของท่านลุง
เดิมที นางเริ่มจะใจอ่อนยอมทำตามแผน แต่การกระทำของกงซุนชงเมื่อครู่นั้น ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัว
เปียวเกอที่นางเคยชื่นชมเป็นสุภาพนุ่มนวลไม่ใช่คนที่จะทำอะไรเช่นนี้
เมื่อกลับถึงตำหนักเฟิ่งหยาง นางก็ได้รับจดหมายจากนางกำนัล "องค์หญิง นี่เป็นจดหมายจากองค์หญิงสามเพคะ"
"เจ้าไปได้แล้ว"
หลี่อี้ซู่โบกมือไล่นางกำนันออกไป แล้วเปิดจดหมายจากหลี่อวี้หลานพี่สามของนาง
พี่สามโดยลำดับถือเป็นองค์หญิงใหญ่ของต้าเฉียน อย่างไรก็ตามเนื่องจากนางมีมารดาเป็นสนมชั้นเฟยตำแหน่งองค์หญิงใหญ่จึงเป็นของหลี่อวี้ซู่ซึ่งเป็นบุตรีของฮองเฮา
ถึงแม้ว่าพวกนางจะมีสถานะต่างกัน แต่ในบรรดาพี่น้องทั้งหมดพวกนางมีความสนิทสนมกันมากที่สุด
อย่างไรก็ตามเมื่อสามปีก่อน หลี่อวี้หลานแต่งงานกับทายาทหรงกว๋อกงชื่อไฉ่จิ้น แต่เขากลับโชคร้ายเสียชีวิตหลังจากแต่งงานเพียงหนึ่งปี
หลี่อวี้หลานต้องกลายเป็นหญิงม่ายตั้งแต่อายุยังน้อย นางสวมได้เพียงชุดสีดำและสีขาว เกล้าผมไว้ทุกข์ให้กับสามีเป็นเวลากว่าสองปีแล้ว
เนื่องจากหลี่อวี้หลานยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ การเข้าวังจึงไม่สะดวก พวกนางจึงมักจะติดต่อกันผ่านจดหมาย
เมื่อเปิดจดหมายอ่าน หลี่อี้ซู่ก็ได้แต่ทอดถอนใจ
“เหลวไหล! เจ้าโง่ฉินโม่ถึงกับไปขอเช่าบ้านจากพี่สามเพื่อลงทุนทำธุรกิจ!”
นางโกรธจัด ต้าเฉียนยังไม่เคยมีขุนนางคนไหนที่ยอมลดศักดิ์ศรีลงไปทำธุรกิจเช่นนี้
ถึงแม้ว่านางไม่ได้มีแผนที่จะแต่งงานกับเขา แต่ในสายตาคนอื่น ชีวิตของพวกเขาผูกติดกันแล้ว เมื่อเขาทำเรื่องอับอายนางก็ได้รับความอับอายไปด้วย
นางคิดจะไปหาพระบิดา แต่เมื่อนึกถึงว่าพระบิดาชอบเข้าข้างเจ้าโง่นั่น นางก็ยิ่งหงุดหงิด
จะไปหาฮองเฮา ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะฮองเฮาเองก็ชอบเจ้าโง่นั่น
ยิ่งไปกว่านั้น หากเรื่องนี้แพร่ออกไป อาจจะโทษพี่สามที่ให้ฉินโม่เช่าบ้านด้วย
นางจึงคิดว่าไม่ควรทำเช่นนั้น
นางกำหมัดแน่น “เจ้าโง่ฉิน ข้าจะไม่ให้ร้านของเจ้าเปิดขึ้นมาได้อย่างแน่นอน!”
วันถัดมา ฉินโม่ก็ไปที่หมู่บ้านตระกูลฉิมพร้อมกับเสี่ยวหลิว
หมู่บ้านตระกูลศิลป์ถือเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ในเมืองหลวง แต่บุรุษในหมู่บ้านนี้หากไม่แก่ชราเกินไปก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนพิการ
บ้างไม่มีแขนบ้างไม่มีขา
ฉินโม่ขมวดคิ้ว “นี่คือช่างไม้ฝีมือดีที่สุดของหมู่บ้านเรา?”
เสี่ยวหลิวรีบพยักหน้า “ใช่แล้ว คุณชาย!”
“เจ้าเห็นข้าเป็นคนโง่หรือไง คนพวกนี้จะทำได้หรือ?”
เสี่ยวหลิวถูกตีเข้าที่ศีรษะ รีบกล่าวอย่างรวดเร็ว “คุณชาย คนพวกนี้เคยออกรบเคียงข้างท่านกว๋อกงในสนามรบ หลังจากบาดเจ็บท่านกว๋อกงก็ดูแลพวกเขา แม้ว่าแต่ละคนจะมีปัญหาด้านมือเท้า แต่ฝีมือไม่เป็นรองคนปกติอย่างแน่นอน!”
อดีตทหาร?
ฉินโม่รีบลบล้างสีหน้าดูหมิ่นของตัวเอง จากนั้นก็ประสานมือแสดงความเคารพต่อทุกคนอย่างจริงใจ
ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน ทหารผ่านศึกคู่ควรต่อการเคารพเสมอ!
เขามองไปที่คนเหล่านี้ แม้เขาจะพูดจาไม่เหมาะสม แต่พวกเขากลับมีรอยยิ้มสดใสดูเหมือนจะไม่มีความโปรดเคืองแม้แต่น้อย
“คุณชาย ท่านอยากทำอะไรบอกมาได้เลย พวกเราจะทำเต็มที่!”
ผู้นำกลุ่มคือชายวัยกลางคนชื่อหยางหลิวเกิน เขามีเพียงหกนิ้ว แต่ดวงตาของเขากลับเปล่งประกายด้วยความเทิดทูนไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดใจต่อคำพูดของฉินโม่
ฉินโม่แสดงความเคารพอีกครั้งและกล่าวว่า “ท่านลุง ท่านอา ฉินโม่รู้สึกเสียใจต่อคำพูดเมื่อครู่นี้อย่างยิ่ง”
………………..