32 - ร้านอาหารตระกูลฉิน ไห่ตี้เหลา
32 - ร้านอาหารตระกูลฉิน ไห่ตี้เหลา
ฉินโม่ตกใจเล็กน้อยที่รู้ว่าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้ารู้เรื่องที่เขาทำอาหารเช้าให้กับฮองเฮาทาน
หญิงสาวคนนี้รู้เรื่องที่ชาวบ้านไม่มีทางรู้ มิหนำซ้ำนางยังมีทรัพย์สินมากมาย บางทีนางอาจจะเป็นบุตรสาวขุนนางใหญ่ก็ได้
“ทำอาหารให้ก็ได้ แต่เจ้าจะออกมาพบหน้าข้าหน่อยไม่ได้หรือ?”
“ไม่ได้!”
“เจ้าคงไม่สวยใช่ไหม? ไม่เป็นไร ข้าไม่ได้สนใจเรื่องหน้าตาอยู่แล้ว คนอัปลักษณ์แต่จิตใจงามก็พอ” ฉินโม่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลี่อวี้หลานรู้สึกทั้งโกรธทั้งขำ
แต่เมื่อนึกได้ว่าฉินโม่เป็นคนโง่ นางก็ไม่อยากจะใส่ใจ “ทำอาหารเถอะ ถ้าเจ้าพูดจาเหลวไหลอีก ข้าจะไม่ให้เช่าบ้านแล้ว!”
“อย่าโกรธสิ!”
ฉินโม่คิดว่าตนเองคงพูดแทงใจดำนาง จึงรีบพูดขึ้น “ข้าจะไปทำอาหารให้เจ้าเดี๋ยวนี้เลย!”
อาหารมื้อเดียวแลกกับส่วนลดห้าร้อยตำลึง คุ้มค่าจริงๆ!
ฉินโม่มาที่ห้องครัวหลังบ้าน แล้วพบว่ามีวัตถุดิบสำหรับทำหม้อไฟครบถ้วน แถมยังมีผักสดอีกด้วย
ก็เป็นไปตามที่เขาคิดไว้ ฤดูหนาวแบบนี้ ใครที่สามารถกินผักสดได้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา
เมื่อปรุงน้ำซุปเสร็จ เขายังทำซุปใสเพื่อบำรุงผิวพรรณอีกด้วย
จากนั้นก็ทำน้ำจิ้มรสเด็ด
“เรียบร้อย นำไปได้เลย!”
ฉินโม่เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วลงนามสัญญาอย่างเป็นทางการ บ้านขนาดใหญ่สี่ชั้นถูกเช่าไปด้วยราคาเพียงห้าร้อยตำลึงต่อปี
“คุณหนู หากเจ้าอยากทานอะไรอีกก็มาได้ที่ร้านของข้า ข้าจะจองห้องส่วนตัวไว้ให้ เอาแค่เรียกชื่อข้าเท่านั้น!”
ฉินโม่เดินจากไปด้วยความยินดี
ภายในห้อง หลี่อวี้หลานนั่งทานหม้อไฟ
น้ำจิ้มนี้เผ็ดเกินไปสำหรับนาง แต่นางก็ยังหยุดทานไม่ได้
นางแลบลิ้นออกมา “เผ็ดจริง แต่ก็อร่อยมาก!”
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ นางไม่เคยมีความอยากอาหารแบบนี้มาก่อน
…
ฉินโม่และเสี่ยวหลิวเข้ามาในบ้านเช่าหลังใหม่ “เปลี่ยนโต๊ะและเก้าอี้ในห้องโถงนี้ด้วย มันน่าเกลียดเกินไป แล้วก็รื้อเตียงในห้องนี้ทิ้งไปเลย”
ถึงแม้บ้านหลังใหญ่จะมีโครงสร้างที่ดี แต่ยังต้องมีการปรับปรุงอีกมาก
ส่วนชื่อร้าน ก็เรียกว่า “ไห่ตี้เหลาตระกูลฉิน!”
“พวกเรามีช่างไม้ไหม?”
“มีขอรับ คุณชาย!”
“แล้วช่างเหล็กล่ะ?”
“มีเช่นกัน ทุกคนล้วนเป็นคนของพวกเราทั้งนั้น!”
ฉินกว๋อกงมีไพร่พลหลายพันคน คนเหล่านี้ถือเป็นสมบัติส่วนตัวของตระกูลฉิน
และไม่ว่าจะใช้งานอย่างไรก็ไม่ต้องจ่ายเงิน
“ไปเรียกพวกเขามาให้หมด ยิ่งมากยิ่งดี!”
ในวันที่หนาวเหน็บเช่นนี้ หากได้ติดตั้งเตาเหล็กในห้อง นั่งกินหม้อไฟพร้อมดื่มเหล้าตัวเปล่าๆ จะดีมากเลยทีเดียว!
“ขอรับ คุณชาย!”
เสี่ยวหลิวรีบวิ่งออกไป
“คุณชาย วันนี้ท่านเรียนเหนื่อยมาก นี่เป็นเงินเดือนของท่านในเดือนนี้ นายท่านบอกว่า ตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไป เงินเดือนของท่านจะเพิ่มเป็นสองเท่า!” พ่อบ้านกล่าว
“เงินเดือนข้าเท่าไหร่นะ?”
“สิบตำลึงขอรับ!”
“โอ้โห สองเท่าก็แค่ยี่สิบตำลึง เงินแค่นี้ต่อให้มอบให้กับขอทานพวกเขายังจะด่าเจ้าให้?”
ใบหน้าของฉินโม่มืดลงทันที “ไปบอกท่านพ่อเลยว่า ต่อให้อดตายอยู่บนท้องถนน ข้าก็จะไม่ขอเงินเขาสักสลึง!”
พ่อบ้านได้แต่เงียบไปอย่างพูดไม่ออก
ขณะเดียวกัน ที่จวนจ้าวกว๋อกง
กงซุนชงกล่าวอย่างเย็นชา “ท่านพ่อ องค์ชายแปดไม่ควรอยู่ในเมืองหลวง เราต้องหาทางให้เขาออกไป!”
“ทำไมเจ้าถึงร้อนรนเช่นนี้?” กงซุนอู๋จี้ขมวดคิ้ว
“ท่านพ่อ ท่านรู้ไหมว่าคนข้างนอกพูดถึงข้าว่าอย่างไร?”
กงซุนชงกัดฟัน “พวกเขาว่าข้าแย่งชิงคนรักขององค์ชายแปด ใช้มีดเฉือนหัวใจผู้อื่น บอกว่าข้าเก็บรองเท้าที่คนอื่นทิ้งแล้วไปใส่ ไม่เพียงแต่ทำให้ข้าเสียหน้า แต่ยังทำให้ตระกูลกงซุนของเราต้องอับอาย!”
กงซุนชงรู้สึกเหมือนว่ามีใครสวมหมวกเขียวใส่ศีรษะของเขา(หมายถึงภรรยามีชู้)
เมื่อเดินออกไปข้างนอก ทุกคนต่างก็หัวเราะเยาะเขา
เขาคือว่าที่จ้าวกว๋อกงในอนาคต เป็นลูกพี่ลูกน้องของรัชทายาท หลานชายของฮองเฮา ในอนาคตเขาจะกลายเป็นอัครมหาเสนาบดีผู้ที่ยืนอยู่ต่ำกว่าคนคนเดียว แต่ยืนอยู่เหนือศีรษะของผู้คนนับหมื่น
การถูกดูหมิ่นเช่นนี้ เขาจะทนได้อย่างไร?
กงซุนอู๋จี้กล่าวว่า “คนเหล่านั้นก็แค่ริษยาเจ้า คิดว่าการจะแต่งบุตรีของหลิวเฉิงหู่เป็นเรื่องที่ใครก็ทำได้หรือ?”
“ท่านพ่อ ข้าไม่ได้ร้อนรน แต่ข้ารู้สึกอึดอัดมากเกินไป!” กงซุนชงกล่าวด้วยน้ำตาคลอเบ้า “ท่านพ่อคิดจะปล่อยให้ข้าเป็นที่เย้ยหยันไปชั่วชีวิตหรือ?”
“ถ้าองค์ชายแปดไปแล้ว พวกเขาจะเลิกหัวเราะเยาะเจ้าหรือ?”
กงซุนอู๋จี้กล่าวด้วยน้ำเสียงผิดหวัง “มีแต่คนโง่เท่านั้นที่สนใจสายตาของผู้อื่น ส่วนคนฉลาดย่อมใส่ใจแต่ผลลัพธ์!
เมื่อใดที่เจ้ามีอำนาจและบารมี พวกเขาย่อมปิดปากเงียบ ยิ่งเจ้ากังวลเท่าใดคนเหล่านั้นก็จะยิ่งมีความสุข”
กงซุนชงเงียบไป นี่หมายความว่าเขาต้องสวมหมวกเขียวไปตลอดชีวิตหรือ?
ในขณะนั้นเอง พ่อบ้านก็รีบเข้ามากระซิบข้างหูกงซุนอู๋จี้
“ข้ารู้แล้ว เชิญแขกเข้ามา”
เมื่อพ่อบ้านจากไป กงซุนอู๋จี้หันไปกล่าวกับกงซุนชง “เจ้าจงไปสงบสติอารมณ์เสียก่อน พ่อจะรับรองแขกคนหนึ่ง”
กงซุนชงออกไปอย่างไม่ใส่ใจ แต่เมื่อเดินมาถึงมุมหนึ่ง เขาก็เห็นเงาร่างที่คุ้นเคยเดินมาอย่างรวดเร็ว
อี้ซู่!
นางมาที่นี่ทำไม?
กงซุนชงคิดจะทักทาย แต่เมื่อคิดอีกที เขาก็สังหรณ์ใจว่าแขกที่พ่อพูดถึงน่าจะเป็น “อี้ซู่”
ตั้งแต่ได้รับพระราชทานสมรส บิดาก็เตือนกงซุนชงหลายครั้งแล้วว่าอย่าติดต่อกับหลี่อี้ซู่อีก!
หากเขาทักทายนาง แล้วท่านพ่อรู้เข้า แน่นอนว่าเขาจะต้องเดือดร้อนอย่างแน่นอน
กงซุนชงจึงเดินกลับไปที่ห้องหนังสืออย่างหดหู่ และยกเหล้าขึ้นดื่มอย่างหนัก
ทำไมเขาถึงสู้คนโง่ไม่ได้? ทำไมเขาต้องถูกหัวเราะเยาะ? เขาไม่ยอม เขาไม่อาจยอมรับได้!
……….