บทที่ 63 กลับมารุ่งสาง เช้าออกไปอีกครั้ง
เมื่อมองดูเงาด้านหลังของศิษย์ที่จากไป ขุนนางพูดออกมาด้วยความตะลึง
“ท่านเซียนนี่ช่างลำบากจริงๆ”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว”
คนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ต่างพยักหน้าเห็นด้วย นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ก่อนหน้านี้แม้แต่ศิษย์จากนิกายเล็กๆ ยังมีท่าทีอวดดีอยู่บ้าง
แต่ศิษย์จากนิกายเต๋าอี้ที่มานี้ กลับทำหน้าที่ได้จริงจังและรวดเร็วจนเกินคาด เขามาที่นี่เพื่อจัดการกับวิญญาณชั่วร้ายและไม่แม้แต่จะพักดื่มน้ำชาสักนิดด้วยซ้ำ
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่เป็นศิษย์จากนิกายใหญ่” ขุนนางได้แต่กล่าวชมเชย แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเหตุผลที่ศิษย์คนนั้นรีบกลับไปเพราะต้องรีบไปให้อาหารมื้อเช้า
เมื่อเปรียบเทียบกับอาหารในโรงครัวของนิกาย การเสียเวลานั้งพักจิบชานั้นมันช่างไม่มีค่าเลย
ศิษย์คนนี้ขี่ม้าตลอดทั้งคืนจนมาถึงนิกายเต๋าอี้อย่างรวดเร็ว และเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ได้มีเพียงแค่กรณีเดียว
เห็นได้ชัดว่าศิษย์ที่กลับจากภารกิจทั้งหมดที่มาที่นี่ในค่ำคืนนั้นเป็นศิษย์จากยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด
พวกเขาทำภารกิจทั้งสามภารกิจตั้งแต่เวลากลางวันและมุ่งหน้ากลับมาที่นิกายเพื่อทานมื้อเช้าในตอนเช้า โดยที่ไม่มีการหยุดพัก
เมื่อพระอาทิตย์เริ่มส่องแสงในยามเช้า เสียงฝีเท้าของม้าเริ่มดังขึ้นในคอกม้าของนิกายเต๋าอี้
ผู้ดูแลที่กำลังนอนอยู่ตื่นขึ้นมาอย่างกระทันหันและเดินออกจากบ้านด้วยความสงสัย
“ยังฟ้าไม่ส่างเลย ใครเข้ามากัน?”
คำพูดยังไม่ทันจบ มีฝุ่นตลบจากทุกทิศทาง พร้อมกับเหล่าศิษย์จากยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์จำนวนหลายพันคนขี่ม้าอสูรพุ่งเข้ามาที่สนามม้าอย่างรวดเร็ว
“บ้าอะไรเนี้ย...”
เขาตกใจเหมือนกับต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของกองทัพศิษย์จำนวนมาก สีหน้าของผู้ดูแลเปลี่ยนไปอย่างฉับพลันและเขาก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วหลบไปข้างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกม้าชน
“ผู้ดูแล ม้าอยู่ที่นี่แล้ว กรุณาลงทะเบียนให้ด้วย ข้ามีธุระต้องไป”
“ข้าเองก็เช่นกัน ขอบเจ้ามากผู้ดูแล”
ศิษย์จากยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์ที่มาถึงเริ่มลงทะเบียนอย่างรวดเร็วและพร้อมกับเร่งรีบออกไปทันที ในขณะที่สนามม้าเต็มไปด้วยฝุ่นและความวุ่นวาย
“และข้าด้วย”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ ศิษย์หลายคนกระโดดลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็ว พูดทิ้งท้ายแล้วหมุนตัวพุ่งตัวออกไปอย่างรีบเร่ง
ความเร็วของพวกเขาดูเหมือนจะเร็วกว่าตอนที่ขี่ม้าเสียอีก
ศิษย์จากยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์หลายพันคนหายตัวไปภายในเวลาไม่ถึงสิบลมหายใจ ทิ้งไว้เพียงแต่ผู้ดูแลที่ตะลึงและม้าอสูรที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
ม้าอสูรเหล่านี้มีสติปัญญาบ้าง แต่ไม่มากนัก พวกมันจึงไม่สามารถเข้าใจเรื่องซับซ้อนได้
พวกมันเพียงรู้ว่าตลอดการเดินทางครั้งนี้ พวกมันก็แค่วิ่งเท่านั้น ไม่มีการหยุดพักสักนิดเดียว
บางคนยังทิ้งม้าอสูรโดยไม่ให้น้ำมันแม้แต่น้ำหนึ่งอึก ม้าบางตัวเริ่มแสดงอาการขาดน้ำ
“สัตว์พวกนี้...”
ผู้ดูแลตรวจสอบม้าอสูรและพบว่าอาการที่เกิดขึ้นเกิดจากความเหนื่อยล้าจากการวิ่งอย่างหนัก และไม่มีให้น้ำหรืออาหาร ทำให้พวกมันถึงเหนื่อยหอบถึงขั้นเป็นลมได้เลย
ผู้ดูแลโกรธจัด เขาทำหน้าที่ในสนามม้ามานานหลายปี ยังไม่เคยเห็นศิษย์ที่ไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้ เขาคิดว่าการให้น้ำม้าไม่ใช่เรื่องลำบากเกินไปเลย
เมื่อเห็นม้าบางตัวที่หงายหลังและชักกระตุก ผู้ดูแลรู้สึกเจ็บปวดมาก
แต่สำหรับศิษย์จากยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ รีบมุ่งหน้ากลับไปที่ยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์ โดยไม่แวะพักและมุ่งหน้าไปที่โรงครัวทันที
“รีบไปเร็ว”
“วิ่งมาตลอดทั้งวัน ถ้าไม่ได้ทานฝีมือของพี่ชางชิงคงจะเป็นบ้าตาย!”
ศิษย์ที่กลับมาจากภารกิจพบกับศิษย์ที่ยังไม่ได้ออกไปทำภารกิจที่มุมเลี้ยว
เมื่อเห็นกัน ศิษย์ที่ยังไม่ได้ออกไปทำภารกิจต่างยิ้มแย้มและมีคนตะโกนดังๆ
“วิ่งเลย! พวกเขาล้าจากการวิ่งทั้งวัน พวกเราได้เปรียบกว่าเห็นๆ”
“ไปเลย”
“วิ่งไป”
ทันทีที่พวกเขาเจอกัน ทั้งฝ่ายที่กลับมาและฝ่ายที่ยังอยู่ก็เริ่มปะทะกัน สู้กันระหว่างศิษย์รับใช้กับศิษย์รับใช้ ศิษย์ภายนอกกับศิษย์ภายนอก ศิษย์ภายในกับศิษย์ภายใน
การต่อสู้ที่ดุเดือดเริ่มต้นอย่างรวดเร็วและมื้อเช้าก็เริ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
มื้อเช้าวันนี้คือหมูผัดเปรี้ยวหวาน ซึ่งมีประโยชน์ในการฟื้นฟูร่างกาย
นี่เป็นความตั้งใจของเย่ชางชิงที่รู้ว่าหลายคนเพิ่งกลับจากการทำภารกิจ จึงเลือกเมนูมื้อเช้าจานนี้
“อร่อย! อร่อย!”
“อร่อยมาก! แต่หยุดพูดเดี๋ยวเหงื่อพวกนายจะไหลลงในจานของพวกนายแล้ว”
มื้อเช้าที่รวดเร็วในวันนี้มีบางสิ่งผิดปกติ หลังจากกินมื้อเช้าเสร็จศิษย์เหล่านั้นไม่ได้กลับที่พัก
โดยปกติแล้วหลังจากกินมื้อเช้า ทุกคนมักจะนั่งคุยกันในโรงครัวก่อนที่จะออกไป แต่วันนี้เกือบทั้งหมดของศิษย์ที่มาทานรีบออกไปทันที
จุดหมายของพวกเขาก็คือหอภารกิจที่ยอดเขาหลัก
พวกเขาเข้าไปส่งมอบภารกิจของเมื่อวานและรับภารกิจใหม่
ในตอนเช้าเพิ่งสว่าง หอภารกิจยังคงอยู่ในช่วงการเปลี่ยนเวรของผู้ดูแลและกำลังพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์
“เมื่อวานนี้ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?”
“ไม่มี! ทุกคนทำภารกิจได้ดีมาก ศิษย์ยอดเขาศักดิ์สิทธิ์รับภารกิตเพียงคนละสามภารกิจเท่านั้น”
“ดีแล้ว...”
คำพูดยังไม่ทันจบประโยค กลุ่มศิษย์จากยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์ก็พุ่งเข้ามาจากข้างนอก ผู้ดูแลเห็นแล้วรู้สึกตกใจจึงเอ่ยถามอย่างกังวลว่า
“พวก...พวกเจ้ามาทำอะไรกัน?”
“ส่งภารกิจขอรับ”
ศิษย์จากยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์หลายพันคนต่างนำภารกิจที่เสร็จแล้วมาส่งมอบ
ผู้ดูแลดูภารกิจเหล่านี้แล้วรู้สึกสับสน
ถ้าจำไม่ผิดภารกิจที่พวกเขามาแจ้งลงทะเบียนนี้เพิ่งรับเมื่อวานนี้ไม่ใช่หรือ?
และแทบทุกคนรับสามภารกิจ นั่นหมายความว่าพวกเขาทำภารกิจสามภารกิจในหนึ่งวันได้หรือ? หรือพูดให้ถูกคือในเวลาไม่ถึงหนึ่งวันด้วยซ้ำ
หลังจากลงทะเบียนเสร็จอย่างงงงวย ศิษย์เลือกภารกิจใหม่อีกครั้ง โดยยังคงเป็นสามภารกิจต่อคน
เมื่อเสร็จสิ้นการลงทะเบียนที่หอภารกิจ ผู้ดูแลรู้สึกได้ว่าพฤติกรรมของพวกเขาเหล่านี้แปลกๆ
“นี่นี่นี่...”
“เราควรบอกเรื่องนี้กับหัวหน้าหรือไม่?”
“จะบอกอย่างไร? พวกเขารับภารกิจแค่สามภารกิจไม่ผิดกฎอะไร แจ้งเรื่องนี้ทำไม?”
“ใช่ ก็แค่ทำภารกิจรวดเร็ว”
เมื่อมองไปที่บอร์ดภารกิจที่ยังคงว่างเปล่าไปครึ่งหนึ่ง ผู้ดูแลก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างหมดหวังและในช่วงเวลานั้นก็มีศิษย์จากยอดเขาอื่นๆ เดินเข้ามา
เวลานี้ถือว่ายังเช้ามาก แต่เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปในหอภารกิจและเห็นบอร์ดภารกิจพวกเขาก็หยุดเดินทันที
“ทำไมภารกิจถึงมีน้อยขนาดนี้?”
“ไม่ใช่ว่าศิษย์จากยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์มาอีกแล้วใช่ไหม?”
“เป็นไปไม่ได้ พวกเขามาเร็วจัง?”
หลังจากสอบถามไปก็พบว่ามันคือศิษย์จากยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์จริงๆพวกเขาไม่รู้จะพูดอะไร ในที่สุดผู้ดูแลก็เติมภารกิจใหม่ให้ทันเวลา
และที่สนามม้าใกล้ยอดเขาหลัก ศิษย์จากยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์ที่ยังไม่ทันได้พักผ่อนก็กลับมาอีกครั้ง
เมื่อเห็นหลายใบหน้าที่คุ้นเคย ผู้ดูแลม้ารู้สึกสงสัย
“พวกเจ้าเพิ่งกลับมาที่นิกายเมื่อเช้าหนิ ทำไมถึงจะออกไปอีกแล้ว?”
“ตอนนี้ข้ามีภารกิจต้องทำเยอะมาก กรุณาลงทะเบียนให้เร็วหน่อย”
“แปลกจัง ภารกิจที่บังคับของนิกายไม่ใช่ว่ามีแค่เดือนละครั้งหรือ? ทำไมศิษย์เหล่านี้...”
ทำไมศิษย์จากนิกายเต๋าอี้ถึงขยันขนาดนี้? กลับมาที่นิกายแล้วไม่ถึงชั่วโมงก็ออกไปอีกแล้วดูเหมือนจะเป็นเรื่องแปลกจริงๆ