บทที่ 43 วันที่เจ็ดเดือนเก้า การทดสอบในวันน้ำค้างขาว
บทที่ 43 วันที่เจ็ดเดือนเก้า การทดสอบในวันน้ำค้างขาว
หลังขึ้นฝั่ง จ้าวซิงและซวีเหล่าเป้าก็กลับไปยังแผงขายของของเหล่านักงมหาสมบัติในแม่น้ำ
เขาคืนหลักฐานและรับเงินประกันหนึ่งตำลึงคืนมา พร้อมให้รางวัลแก่ซวีเหล่าเป้า ทั้งหมดถือว่าเป็นอันจบกัน
เนื่องจากตอนนี้ดึกมากแล้ว ไม่อย่างนั้นซวีเหล่าเป้าคงรั้งตัวไว้เพื่อโม้สักหน่อย
จ้าวซิงดูเวลาครู่หนึ่งก่อนจะกลับเมืองกู่เฉิง
“เรียกลม~”
ลมพัดพามาใต้ฝ่าเท้า ทำให้ความเร็วในการเดินเพิ่มขึ้น ก้าวหนึ่งไปได้ถึงสองสามเมตร
ในที่สุดก็กลับถึงบ้านก่อนหมดช่วงยามไห่
“วันนี้ผลลัพธ์ดีเกินคาด ตอนแรกแค่อยากหาเงินนิดหน่อยเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะได้มามากถึงเพียงนี้”
“ดูท่าว่าพลังชี่ระดับเหยียนสองของข้าจะไม่ธรรมดาจริง ๆ”
หากเป็นพลังชี่ระดับเหยียนหนึ่ง เกรงว่าคงจะคลาดกับไข่มุกขั้นสี่เม็ดนี้ไปเสียแล้ว
“ด้วยผลลัพธ์ครั้งนี้ ในระยะสั้นข้าก็ไม่ต้องกังวลเรื่องกินอยู่ ความเร็วในการรวมพลังก็จะไม่ช้าไปด้วย” จ้าวซิงเก็บไข่มุกใส่กล่องแล้วล็อกเอาไว้
ตอนนี้เขายังมีเงินสำรองอยู่บ้าง จึงไม่รีบขาย ต้องขายให้ได้ราคาสูงถึงจะคุ้ม
หากเป็นคนทั่วไป ได้โชคลาภมาเช่นนี้คงนอนไม่หลับแน่ แต่จ้าวซิงกินได้ก็กิน นอนได้ก็นอน
เช้าวันต่อมา เขาก็ไปทำงานที่สำนักการเกษตรตามปกติ
หลังจากวันสิ้นร้อนผ่านไป หัวหน้าสำนักการเกษตรก็เริ่มเน้นทฤษฎีมากขึ้นและลดการปฏิบัติลง
เขาประกาศให้ทุกคนทราบว่าการทดสอบครั้งต่อไปจะเป็นการสอบทฤษฎี
การอ่านหนังสือจึงกลายเป็นงานหลักของเหล่าข้าราชการสำนักการเกษตร
“ท่านซวี่เหวินจง บอกแนวข้อสอบหน่อยได้ไหม? ช่วยวงหัวข้อสำคัญให้พวกข้าหน่อย” ข้าราชการคนหนึ่งถามขึ้น
ซวี่เหวินจงยิ้มเล็กน้อย “ได้แน่นอน ฟังให้ดีล่ะ มหากว่านมู่ ตำรายาสมุนไพร คำอธิบายร้อยวิธีของท้องฟ้า วิถีการเกษตรแท้จริงสี่ประการ ฤดูกาลและธรรมชาติอธิบาย ปฐพีแสงสามประการ ประโยชน์หมื่นบท…”
เหอะ ถามไปก็เหมือนไม่ได้อะไร เพราะทุกอย่างที่กล่าวมาคือประเด็นสำคัญทั้งนั้น!
ความรอบรู้และจดจำคือคุณสมบัติที่ขาดไม่ได้ของข้าราชการสำนักการเกษตร อาณาจักรสิบเก้ามณฑลมีพื้นที่กว้างใหญ่และทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ มีทั้งสภาพดินฟ้าและธรรมชาติที่หลากหลาย ไหนจะพืชพรรณนานาชนิดอีก
เมื่อทางราชสำนักส่งเจ้าไปประจำที่แห่งหนึ่ง แต่เจ้ากลับไม่รู้ว่าพื้นที่นั้นเหมาะกับการปลูกอะไรและปลูกช่วงเวลาใด เช่นนี้แล้วจะมีเจ้าไว้ทำไม?
ทั้งหมดนี้ยังถือเป็นข้อกำหนดพื้นฐานเท่านั้น เรียกว่าอ้อนวอนให้ฟ้าดินเมตตา
ในหลายสภาพแวดล้อมที่พิเศษ จำเป็นต้องให้ข้าราชการสำนักการเกษตรใช้วิชาอาคม เปลี่ยนสภาพฟ้า ค้นหาชั้นดิน สร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะปลูกอะไรดี
“ทางตอนใต้ของมณฑลกว่างหลิง มีอำเภอหนึ่งชื่อว่า อำเภอหยวนหลิง ซึ่งฤดูใบไม้ผลิสามารถปลูกข้าวห้าเมล็ดได้ ปลูกฤดูใบไม้ผลิก็เก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ผลิ หนึ่งรวงสามารถเลี้ยงคนห้าได้”
“ฤดูร้อนสามารถปลูกเถาวัลย์เลือดร้อยได้ ปลูกฤดูร้อนก็เก็บเกี่ยวฤดูร้อน ผลเถาช่วยเสริมเลือดร้อยประเภท”
“ฤดูใบไม้ร่วง…เฉียนตง แล้วฤดูใบไม้ร่วงมันอะไรนะ?” เฉินจื่ออวี๋เอียงศีรษะไปมองเฉียนตง
ฝ่ายหลังยักไหล่ “เจ้าท่องตำราเรื่องผลประโยชน์ดินสวรรค์ที่ไร้ผู้คนรู้จักนี้ทำไม? คิดว่าตัวเองจะมีโอกาสได้ไปเป็นข้าราชการในดินแดนสวรรค์รึไง?”
“ก็จริง” เฉินจื่ออวี๋คิดจะวางมันลง แต่จู่ ๆ จ้าวซิงก็พูดขึ้นช้า ๆ ว่า “ฤดูใบไม้ร่วงสามารถปลูกถั่วเหลืองทองคำ ปลูกฤดูใบไม้ร่วงเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วง รวมพลังธาตุในสามวัน บรรลุระดับในหนึ่งเดือน ราคาสูงเทียบเท่าทองคำ”
“ฤดูหนาวสามารถขุดรากโสมต่อกระดูกได้ สิบวันเชื่อมกระดูก ร้อยวันงอกแขนขาใหม่”
เฉินจื่ออวี๋เปิดตำราขึ้นดู แล้วเอ่ยชมด้วยความนับถือ “ไม่เสียทีที่เป็นพี่ใหญ่ ความรู้แน่นจริง ๆ”
จ้าวซิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยความคิดถึง “ก็ไม่เชิงหรอก หากพวกเจ้าได้ไปอยู่ที่นั่นสักสองสามปี เจ้าก็จะรู้ละเอียดถี่ถ้วนเช่นกัน”
“พี่ใหญ่พูดเหมือนเคยไปเองอย่างนั้นแหละ มณฑลกว่างหลิงอยู่ห่างจากมณฑลผิงไห่ของพวกเราเกินกว่าหมื่นลี้”
“ข้าไปในฝันไม่ได้หรือ?” จ้าวซิงหัวเราะ
“ได้ แน่นอนว่าได้ ใครใช้ให้ท่านเป็นพี่ใหญ่กันเล่า”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในพริบตาก็ถึงช่วงวันน้ำค้างขาว
จ้าวซิงขลุกอยู่กับการอ่านหนังสือทั้งวันทั้งคืนเพื่อเตรียมสอบ เมื่อผ่านการทดสอบและบรรจุเป็นข้าราชการที่มีระดับ ไม่เพียงจะเข้าระบบแห่งโชคลาภของราชวงค์ได้ เพิ่มพูนบารมีและอายุขัย แต่เขายังสามารถลองทำอะไรได้อีกมาก
ตัวอย่างเช่น ขุมทรัพย์แห่งสำนักการเรียนรู้ใหญ่ เมื่อมีระดับแล้ว เขาก็จะสามารถเข้าไปหาประโยชน์อีกครั้งได้
การเป็นข้าราชการสำนักการเกษตรที่มีระดับ ยังทำให้จ้าวซิงมีอิสระในการกระทำมากขึ้น และสามารถเรียนรู้วิชาอาคมได้มากขึ้น เป็นการวางรากฐานที่มั่นคงยิ่งขึ้นเพื่อการกลับคืนชีพในอนาคต
จ้าวซิงไม่ได้พยายามเพื่อการบรรจุเป็นข้าราชการ เขากำลังพยายามเพื่อชีวิตที่ยืนยาว หากถูกโยนไปยังยุคของไท่จู่ เขาคงจะเลิกทำอะไรไปแล้ว
แต่เมื่อมาอยู่ในยุคของจิ้งตี้ เขารู้สึกว่าตนยังมีโอกาสต่อสู้เพื่อรอจนถึงยุคฟื้นฟูได้
แรงจูงใจนี้ทั้งเรียบง่ายแต่ก็ทรงพลัง ลองคิดดู หากมีใครสักคนบอกเจ้าว่า เริ่มจากวันนี้เจ้าลุกขึ้นมาออกกำลังกาย รักษาสุขภาพไว้ อีกยี่สิบปีข้างหน้าจะถึงยุคแห่งการก้าวกระโดดของเทคโนโลยี ทำให้เจ้าเป็นอมตะได้ เจ้าจะทำหรือไม่?
“ไม่แต่งงาน ไม่ให้กำเนิดบุตร ความโชคดีและอายุขัยจากการบรรจุเป็นข้าราชการจะไม่ถูกแบ่งปัน ทุกอย่างจะตกเป็นของข้าราชการผู้นั้นทั้งหมด”
“นอกจากนี้ ไม่ว่าจะมีสมบัติต่ออายุขัยใดก็ตาม ควรใช้ให้เร็วที่สุด ยิ่งช้าอุปสรรคจะยิ่งเพิ่มขึ้น ความยากจะยิ่งมากขึ้น”
“ในขณะที่ได้รับการบรรจุ ความสามารถในด้านอื่น ๆ ก็จะเพิ่มขึ้นพร้อมกัน แต่หากข้าไปถึงระดับนั้นก่อนแล้ว ทุกอย่างจะเปลี่ยนเป็นอายุขัย ดังนั้นเมื่อถึงต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ข้าควรไปถึงขั้นเก้าของการรวมพลัง ให้ประโยชน์ทั้งหมดจากการบรรจุเป็นข้าราชการตกไปอยู่ที่อายุขัยทั้งหมด” จ้าวซิงวางแผนในใจ
วิธีนี้ยังมีข้อดีอีกอย่าง นั่นคือ หากถูกถอดถอนจากตำแหน่งหรือลดระดับ ผลกระทบที่ได้รับก็จะน้อยลงหรือไม่มีผลเลย
เท่ากับว่าข้ามีความสามารถกระโดดขึ้นรถด่วนแห่งโชคลาภของต้าโจวด้วยตนเอง โดยไม่จำเป็นต้องให้เจ้าดึงมากมาย ขอแค่เปิดประตูรถให้ก็พอ ถึงเวลาที่เจ้าจะไล่ข้าลง ข้าก็สามารถกระโดดลงโดยไม่บาดเจ็บ
“โชคชะตาฟ้าก็คือโชคชะตาของข้า โชคลาภฟ้าก็คือโชคลาภของข้า อายุขัยฟ้าก็คืออายุขัยของข้า จะให้กลับคืนสู่ฟ้า? ให้ไม่ได้แม้แต่น้อย” หลังจากวางแผนอนาคตในใจ จ้าวซิงก็กลับมาสู่เรื่องปัจจุบัน
วันที่เจ็ดเดือนเก้า วันน้ำค้างขาว
สำนักการเกษตรได้จัดการสอบทฤษฎีเป็นครั้งแรกของปี
การสอบทั้งสิ้นใช้เวลาสองวัน ห้ามมาสาย แต่สามารถส่งกระดาษคำตอบได้ก่อน
ผู้ตั้งโจทย์หลักยังคงเป็นซวี่เหวินจง แต่จะต้องให้ข้าราชการสำนักการเกษตรคนอื่น ๆ ร่วมตรวจสอบโจทย์ด้วย และต้องสอดคล้องกับแนวคิดการออกข้อสอบของมณฑลหนานหยาง ไม่มากเกินไปและไม่ตายตัวเกินไป
เมื่อข้อสอบได้รับการให้คะแนนแล้ว จะต้องเก็บเข้าแฟ้มและส่งไปยังมณฑลหนานหยางเพื่อตรวจสอบอีกครั้ง คะแนนการสอบอื่น ๆ ในแต่ละฤดูก็ต้องเก็บแฟ้มและส่งเช่นกัน แต่โดยปกติทางมณฑลหนานหยางจะไม่ตรวจสอบละเอียด จะสุ่มตรวจเท่านั้น เว้นแต่มีคนแจ้งเบาะแส
แต่สำหรับการสอบทฤษฎี จะต้องมีการตรวจสอบทั้งหมดอย่างละเอียด
เพราะหากข้าราชการมีความรู้ในวิชาอาคมที่เบี่ยงเบนไป ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่หากทฤษฎีและความคิดเบี่ยงเบนไปจะอันตรายมาก
ในสมัยของไท่จู่ มีข้าราชการสำนักการเกษตรในมณฑลหนานหยางรายหนึ่งที่ไม่รู้ว่าไปอ่านตำราวิชานอกรีตมาจากที่ไหน ในตอนสอบเพื่อแสดงความคิดของตนเอง เขาได้เขียนทฤษฎี “ปิดกั้นฟ้าดิน” ขึ้นมา ทำให้เขาได้ลบหลู่ทั้งสำนักดินฟ้าและสำนักธรณีจนถูกจับไปเข้าคุกทันที
แม้แต่สำนักตัวตนยังไม่ปฏิเสธสำนักดินฟ้าและสำนักธรณี เพียงแค่แบ่งหลักอ้างอิง แต่ “ปิดกั้นฟ้าดิน” กลับปฏิเสธแม้กระทั่งปฏิทินปัจจุบันและปฏิเสธแม้แต่วิถีแห่งเต๋าเอง เป็นความคิดนอกรีตอย่างแท้จริง นี่ไม่ใช่การออกนอกลู่นอกทางอีกต่อไป แต่เป็นการทรยศและดูหมิ่นประเทศ
ต้าโจวค่อนข้างเปิดกว้างเรื่องเสรีภาพทางความคิด ชายผู้นั้นถูกตรวจสอบและขังอยู่เพียงครึ่งปีเท่านั้นก็ถูกปล่อยตัวออกมา ส่วนเขาไม่เป็นอะไรมาก แต่พวกพ่อค้าที่ขายหนังสือนอกรีตกลับซวยไป หลังจากกวาดล้างตรวจค้นอย่างเข้มงวดแล้ว ทั้งหมดถูกประหารทั้งตระกูล
“เดี๋ยวสอบ ข้าต้องเขียนให้ระมัดระวัง อย่าไปคิดอะไรที่ล้ำหน้าเกินไป ล้ำไปเพียงนิดเดียวก็สามารถได้เกรดสูงสุดแล้ว” จ้าวซิงย้ำเตือนในใจซ้ำ ๆ ก่อนจะเดินเข้าสนามสอบ