บทที่ 41 เก็บใยไหมจากทะเลสาบ
บทที่ 41 เก็บใยไหมจากทะเลสาบ
วิญญาณอ้วนท้วนเดินไปยังแสงสีทองอย่างมึนงง ก่อนที่ร่างจะบิดเบี้ยวและถูกดูดเข้าไปในโคมเชิญวิญญาณ
จ้าวซิงเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้ขัดขวาง เพราะทรัพย์ผีนี้ดูจะอยู่ไกลเกินไป อีกทั้งหากต้องถามซอกแซกถึงที่ซ่อนของทรัพย์ ก็อาจต้องช่วยวิญญาณอ้วนตนนี้สะสางเรื่องในใจอีกด้วย
มันยุ่งยากเกินไป จ้าวซิงมาหาทรัพย์ผีก็เพื่อหวังความร่ำรวยในพริบตาเท่านั้น หากต้องอ้อมไปอ้อมมามากมาย ข้าไปปลูกผักยังจะดีกว่า
นอกจากนี้ มันยังเกี่ยวข้องกับการทดสอบของศาลเจ้า หากมองในมุมกลับกัน เขาเองก็คงไม่อยากให้คนอื่นเข้ามาแทรกแซงเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องไปหาเรื่องให้หมางใจกันเพื่อเงินเพียงเล็กน้อย
“ไม่ต้องรีบ โอกาสมีอีกมาก” จ้าวซิงไม่มองต่อ แล้วกลับไปยังร้านขายของทันที
ซวีเหล่าเป้าเห็นจ้าวซิงกลับมา ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะเขาเกรงว่าจ้าวซิงจะหายไปแล้วไปพูดเรื่องไร้สาระจนทำลายชื่อเสียงของนักงมหาสมบัติในแม่น้ำ
“คุณชายให้ข้ารออยู่ดี ๆ แล้วจู่ ๆ ก็หายวับไป”
“อ้อ ไปเห็นคนคุ้นหน้า เดินต่อเถอะ เราไปดูที่เขตทะเลสาบใต้กัน”
เป็นคำพูดส่ง ๆ อีกแล้ว ซวีเหล่าเป้าจึงไม่ถามอะไรต่อ เมื่อเห็นว่าจะได้ลงมือทำงานก็มีแรงฮึดขึ้นมา หยิบอุปกรณ์แล้วเดินตามไป
เมื่อมาถึงเขตทะเลสาบใต้ ที่นี่ยังคงสว่างไสวไปด้วยแสงไฟ แต่แสงส่วนใหญ่มาจากในทะเลสาบ มิใช่บนพื้นดิน
บรรยากาศก็เงียบสงบขึ้น ไม่มีเสียงจอแจมากมายเหมือนเดิม
“อ๊ะ?” ขณะเดินอยู่บนสะพานริมน้ำ ซวีเหล่าเป้าหยุดฝีเท้าลง แล้วมองไปยังทิศทางหนึ่ง
“มีอะไรหรือ?” จ้าวซิงถาม
“อ้อ เห็นคนคุ้นหน้า” ซวีเหล่าเป้าโบกมือ
“...” จ้าวซิงมองเขาด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เอาเถอะ คราวนี้เป็นเจ้ามาพูดส่ง ๆ กับข้าแล้วสินะ
แต่คราวนี้จ้าวซิงกลับคิดผิดเกี่ยวกับซวีเหล่าเป้าจริง ๆ
“คุณชายอย่าเข้าใจผิด ข้าเห็นคนคุ้นหน้าจริง ๆ ท่านเห็นหญิงที่ใส่เสื้อผ้าสีขาวอยู่ตรงนั้นไหม? ใช่แล้ว เป็นผู้หญิงสองคนที่อยู่บนเรือลำน้อยนั่นน่ะ” ซวีเหล่าเป้าชี้ไปทางหนึ่ง
“เห็นแล้ว” จ้าวซิงพยักหน้า ไม่ไกลจากนั้น มีเรือลำเล็กจอดอยู่ริมฝั่ง มีหญิงสองคนนั่งอยู่บนเรือ มีแสงไฟเล็ก ๆ สองสามดวงกำลังลุกโชน ดูเหมือนว่ากำลังยุ่งอยู่กับอะไรบางอย่าง
“หลินซานเหนียงจากหัวคลองผิงสี่ เป็นคนที่มาจากที่เดียวกับข้า สามีของนางเคยทำงานนี้เหมือนกัน แต่ภายหลังเขาประสบอุบัติเหตุ นางจึงรับหน้าที่แทน กลายเป็นนักงมหาสมบัติในแม่น้ำคนใหม่”
“แต่นับตั้งแต่ที่ลูกชายของนางตั้งตัวได้ นางก็เลิกลงน้ำไปหลายปีแล้ว ไม่รู้ทำไมนางถึงกลับมาทำงานนี้อีกในวันนี้” ซวีเหล่าเป้าพูดด้วยความสงสัย
จ้าวซิงจ้องมองอย่างละเอียดด้วยวิชาการมองเห็นยามค่ำคืน เขามองออกว่าซวีเหล่าเป้าไม่ได้โกหก หญิงวัยกลางคนคนนั้นแต่งตัวและใช้อุปกรณ์คล้ายกับซวีเหล่าเป้า
ส่วนหญิงสาววัยรุ่นคนนั้นกลับแต่งตัวสะอาดเรียบร้อย เสื้อผ้าสีขาวบนตัวมีประกายแสงจาง ๆ
“หืม? เสื้อผ้าวิชาอาคมระดับหนึ่ง?” จ้าวซิงหันไปมองซวีเหล่าเป้า “ลูกสาวนางเป็นนักทอผ้าแห่งสำนักทอผ้าใช่หรือไม่?”
ซวีเหล่าเป้าส่ายหัว “นางไม่มีลูกสาว นั่นคือหลานสาวของนาง หลินไป๋เวย ก็พอจะถือเป็นลูกสาวได้ เพราะถูกเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก ดูเหมือนจะเข้าสำนักทอผ้าแห่งเมืองกู่เฉิงด้วย”
นักทอผ้าเป็นข้าราชการสำนักทอผ้า ในราชวงศ์ต้าโจว แนวคิดค่อนข้างเปิดกว้าง หญิงสาวออกไปทำงานหรือเป็นข้าราชการก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา
อาชีพทอผ้า เป็นงานหลักในการ “ทอเสื้อผ้าวิชาอาคม” และยังเป็นหนึ่งในอาชีพวิชาอาคมที่สำคัญมากด้วย
จ้าวซิงพยักหน้าเล็กน้อย “ดูท่าว่าหลินซานเหนียงคงกลับมาทำงานนี้เพื่อหลานสาวของนาง”
ซวีเหล่าเป้าถามว่า “คุณชายรู้ได้อย่างไร?”
จ้าวซิงชี้ไปทางนั้นแล้วพูดว่า “หลินซานเหนียงไม่ได้มางมสมบัติ แต่มาเก็บใยไหมจากทะเลสาบต่างหาก”
“การทดสอบของสำนักทอผ้า ส่วนมากเกี่ยวข้องกับการทอเสื้อผ้าวิชาอาคม”
“ตอนนี้เป็นช่วงต้นฤดูสิ้นร้อนเดือนแปด หนอนไหมตัวแรก ตัวสอง และตัวสุดท้ายก็ไม่มีให้เห็นแล้ว”
“เหลือเพียงใยไหมจากทะเลสาบเท่านั้นที่ยังหาได้ และคุณภาพดีกว่าด้วย”
เมื่อเห็นซวีเหล่าเป้าทำหน้าตื่นตะลึง จ้าวซิงจึงมีอารมณ์อธิบายต่ออีกเล็กน้อย “การทอผ้าที่ไม่ได้มีระดับโดยมากจะใช้ใยไหมนี้เป็นวัสดุ ไหมที่ขาวและเหนียวนุ่มที่สุดนั้นสามารถทอออกมาเป็นเสื้อผ้าวิชาอาคมที่เรียกว่า ‘เหอหลอ’ ได้”
“สวมใส่แล้วจะอบอุ่นในฤดูหนาวและเย็นสบายในฤดูร้อน ช่วยขับไล่ความหนาวชื้น และยังช่วยให้เด็กที่ร่างกายอ่อนแอมีสุขภาพแข็งแรงขึ้นอีกด้วย”
“วัสดุด้อยลงมาจะทอออกมาเป็นเสื้อ ‘ช่วนอู่’ ส่วนด้อยที่สุดคือเสื้อ ‘เฟยกวง’”
“ใยไหมจากทะเลสาบทอออกมาได้ส่วนมากจะเป็นเสื้อเหอหลอ แต่เงื่อนไขการเก็บใยไหมจากทะเลสาบค่อนข้างเข้มงวด โดยทั่วไปจะหาได้เฉพาะช่วงก่อนและหลังเทศกาลปล่อยโคมแม่น้ำนี้ และต้องเป็นเวลากลางคืนเท่านั้น กลางวันหนอนไหมทะเลสาบจะหดตัวจนหาไม่เจอ”
“ดังนั้นข้าจึงบอกว่าหลินซานเหนียงกลับมาทำงานนี้เพื่อหลานสาวของนาง เพราะเรื่องนี้พวกนักงมหาสมบัติในแม่น้ำทำได้รวดเร็วกว่ามาก”
ซวีเหล่าเป้าได้ฟังก็ยกนิ้วโป้งขึ้นมา “คุณชายรู้มากจริง ๆ”
จ้าวซิงยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นคนคุ้นเคย เจ้าจะไปทักทายหน่อยไหม? ข้าไม่รีบ”
ซวีเหล่าเป้ารีบส่ายหัว “หลินซานเหนียงจะต้องถอดเสื้อผ้าเมื่อลงน้ำ หากบังเอิญไปเจอเข้า...ข้าซวีเหล่าเป้าไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก! ไม่ไป ไม่ไป”
จ้าวซิงหัวเราะเบา ๆ จึงวางใจในตัวซวีเหล่าเป้ามากขึ้น
เมื่อบนฝั่งมีศาลเจ้าคอยจัดการการทดสอบ จ้าวซิงจึงเช่าเรือลำน้อยเพื่อลงน้ำ
ตอนนี้คนที่ปล่อยโคมแม่น้ำมีน้อยมากแล้ว บนผืนน้ำยังมีเรือลำใหญ่เพียงไม่กี่ลำและเรือลำน้อยกว่าสิบลำ แสงเทียนส่องเป็นจุด ๆ เงียบสงบรอบด้าน
จ้าวซิงไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่เงี่ยหูฟังและมองอย่างสงบ
ไม่ได้เห็นคนสักคน แต่วิญญาณเร่ร่อนกลับเห็นไม่น้อย
บางตนนอนพาดอยู่ข้างโคมแม่น้ำ บางตนว่ายไปมาอยู่ใต้ผิวน้ำ กำลังดูดซับกระดาษเหลืองและควันธูป
วิญญาณเร่ร่อนเหล่านี้ไม่ใช่คนทั้งหมด ยังมีวิญญาณของสิ่งมีชีวิตในน้ำ หรือบางทีก็เป็นสิ่งประหลาดต่าง ๆ รวมกัน
เช่น ขณะที่เรือลำน้อยของจ้าวซิงพายผ่านไปยังที่แห่งหนึ่ง เขาเห็นวิญญาณเร่ร่อนที่มีหัวเป็นปลาแต่ร่างเป็นคน
แม้จะมีชีวิตยืนยาวก็จะถูกเจ้าหน้าที่ทำการกวาดล้างอย่างสม่ำเสมอ
เขายังได้ยินอีกว่า
“เจ้าจะทำอะไร?”
“ข้าจะไปที่นั่น”
“เจ้าจะทำอะไร?”
“ข้าจะไปที่นั่น”
ที่โคมแม่น้ำขนาดใหญ่ดวงหนึ่งในระยะไม่ไกล มีวิญญาณเร่ร่อนรูปร่างประหลาดสองตัวกำลังโต้ตอบกันอย่างเป็นกลไก ซ้ำไปซ้ำมาด้วยสองประโยคนี้ ประโยคหนึ่งถามว่าจะทำอะไร อีกประโยคหนึ่งตอบว่าจะไปที่นั่น เมื่อขาดสติปัญญาไป เหลือเพียงวิญญาณ ก็จะเป็นเช่นนี้
ก็อย่างที่ว่าไป วิญญาณเร่ร่อนเหล่านี้ไม่มีพลังโจมตีแต่อย่างใด เป็นเพียงปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ส่วนใหญ่จะสลายไปภายในเจ็ดวัน
“หยุดที่นี่” จ้าวซิงชี้ไปที่จุดหนึ่ง
ซวีเหล่าเป้าจึงพายเรือไปทันที พลางมองไปรอบ ๆ ด้วยแววตาเป็นประกาย “คุณชาย พื้นผิวน้ำตรงนี้ใสแจ๋ว แต่กลับมีปลาว่ายไปมามากมาย คงจะมีสมบัติล่อพวกมันอยู่ ข้าจะลงน้ำลองดู”
“อืม” วิชาการมองเห็นยามค่ำคืน ของจ้าวซิงมองเห็นก้นทะเลสาบได้ชัดเจน ด้านล่างมีไข่มุกทะเลสาบตะวันออกระดับหนึ่งชั้นเลิศอยู่สองเม็ด
ราคานั้นธรรมดา ๆ ราคาตลาดเพียงหนึ่งตำลึงเงิน หากมีรูปทรงสวยงามอาจขายได้แพงขึ้นอีกเล็กน้อย แต่จะไม่เกินสองตำลึง
เพราะทะเลสาบตะวันออกมีของเช่นนี้อยู่มาก หากเป็นระดับสองหรือสามจึงจะขายได้ราคาดี
เป็นไปตามคาด ไม่นานซวีเหล่าเป้าก็โผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำ ในมือถือไข่มุกสีใสขนาดเท่าไข่ไก่ไว้ “คุณชาย ข้าเก็บไข่มุกได้สองเม็ด!”
“ขอบใจ ขึ้นมาเร็ว” จ้าวซิงรับไข่มุกทั้งสองเม็ดมา ทั้งสองเม็ดเป็นระดับหนึ่งชั้นเลิศ นี่ก็น่าจะพอคืนทุนแล้ว
ยังไม่ทันได้ชื่นชมมากนัก จู่ ๆ ในสายลมก็มีเสียงแปลก ๆ แว่วมา
“แสง...ช่างสว่างยิ่งนัก สว่างจนแสบตา”
“เต่า...เต่า ตรงนั้น...หนาวเสียจริง หนาวจนข้าจะตายแล้ว ข้าต้องหนีไปไกลๆ”