บทที่ 29 ลืมเรื่องสำคัญไปซะได้!
หลี่เฉียงวิ่งมาเรียกทั้งสองคนให้ไปกินข้าว หลี่หลงและเถาต้าเฉียงจึงใส่เสื้อผ้าแล้วเดินไปที่ห้องฝั่งตะวันตก
เมื่อเห็นจานปลาตะเพียนวางอยู่บนโต๊ะ หลี่หลงก็หัวเราะ เพราะหลี่เฉียงตั้งใจแก้แค้นให้ตัวเองจริง ๆ พอกลับมาพร้อมกับปลาตะเพียน ตอนเย็นก็ถูกนำไปต้มทันที
นอกจากปลาตะเพียนแล้ว ยังมีซุปที่ต้มจากปลาตะเพียนตัวเล็กอีกด้วย เสิร์ฟคู่กับแป้งข้าวโพดกลิ่นหอมฉุย
หลี่เจวียนกำลังเก็บหินขาแกะบนเตียง คาดว่าน่าจะเพิ่งเล่นเสร็จ ทุกคนนั่งล้อมโต๊ะพร้อมหน้า หลี่เจี้ยนกั๋วก็เริ่มตักอาหารและเริ่มกินด้วยกัน
เถาต้าเฉียงยังคงก้มหน้าก้มตากินช้าๆ ถ้าหลี่หลงไม่คอยเตือนเป็นระยะๆ เขาคงไม่ค่อยตักเนื้อปลา แต่เอาขนมปังจิ้มซุปปลาแทน
“นายกินเนื้อปลาเยอะ ๆ หน่อย” หลี่หลงพูดติดตลก “นี่คือตัวการที่ทำร้ายน้องเฉียงของเรา พวกเราต้องกำจัดมันให้สิ้นซาก”
“อืม” เถาต้าเฉียงพยักหน้ารับ
หลี่เฉียงบอกว่าจะล้างแค้น แต่สุดท้ายก็แค่ตักเนื้อปลาตะเพียนคำเดียวแล้วหันไปกินปลาตะเพียนตัวเล็ก เนื้อปลาตะเพียนมันแน่น แม้ว่าตอนต้มเหลียงเยวี่ยเหมยจะบั้งตามตัวปลาแล้วก็ตาม แต่เนื้อปลาก็ยังรสจืดไปหน่อย
และยังมันน้อยอีกด้วย
หลี่หลงคิดในใจว่าพรุ่งนี้หลังจากขายปลาเสร็จ เขาต้องไปดูในตลาดมืดหน่อยว่ามีน้ำมันพืชขายบ้างหรือเปล่า ทุกอย่างในยุคนั้นต้องใช้คูปอง แม้ว่าที่บ้านจะมีคูปองอาหารอยู่บ้าง แต่คูปองอย่างอื่นนั้นแทบจะไม่มีเลย
“พี่ พรุ่งนี้พี่ให้คูปองอาหารฉันบ้างนะ ฉันจะได้ไปซื้อข้าวกลับมา” หลี่หลงเห็นหลี่เจวียนและหลี่เฉียงพยายามเคี้ยวแป้งข้าวโพดที่แข็งอยู่ จึงพูดขึ้น
“ที่บ้านเรายังมีแป้งข้าวโพดอยู่อีกเยอะ” เหลียงเยวี่ยเหมยพูด
“ซื้อข้าวมาบ้าง” หลี่หลงบอก “กินแค่แป้งข้าวโพดแบบนี้ หลานๆจะตัวโตขึ้นได้ยังไง”
เหลียงเยวี่ยเหมยไม่พูดอะไรต่อ เธอเองก็อยากให้ลูกได้กินข้าวละเอียดมากกว่านี้ แต่ข้าวที่ผลิตในหมู่บ้านก็น้อยอยู่แล้ว ข้าวละเอียดที่หลี่หลงได้กินก็ยังถือว่ามากกว่าใคร
ดีแล้วที่ตอนนี้น้องสามีเปลี่ยนไป และก็สามารถทำงานได้มากขึ้นด้วย
“ได้” หลี่เจี้ยนกั๋วเคี้ยวขนมปังข้าวโพดที่รู้สึกว่าอร่อยเป็นพิเศษ
จริงๆ แล้วหลี่หลงรู้ว่า ถ้าผ่านช่วงครึ่งปีนี้ไป ทุกอย่างจะดีขึ้น ปีหน้าที่ดินจะถูกแบ่งให้ แม้แต่ละคนจะได้ที่ดินเพียง 2 หมู่ (ประมาณ 1.33 ไร่) ที่จะใช้ปลูกข้าวประจำปี แต่ถ้าทำจริง ๆ ผลผลิตที่ได้หลังหักภาษีออกแล้วก็ยังพอกิน
วันเวลาดี ๆ กำลังจะมาถึงแล้ว!
หลังจากกินข้าวเสร็จ หลี่หลงก็กำชับกับเถาต้าเฉียงว่าจะต้องมาที่บ้านแต่เช้าในวันพรุ่งนี้ เถาต้าเฉียงพยักหน้าแล้วก็กลับบ้านไป
“ต้าเฉียงเป็นเด็กที่ดีมาก อย่าให้เขาต้องเสียเปรียบเลยนะ” เหลียงเยวี่ยเหมยพูดขณะที่กำลังเก็บถ้วยชามอยู่
“อืม” หลี่เจี้ยนกั๋วนั่งมวนบุหรี่แล้วเริ่มเล่านิทานให้ลูก ๆ ฟัง
ภายใต้แสงตะเกียงน้ำมัน หลานทั้งสองคนนั่งฟังนิทานอย่างตั้งใจ
“...ที่นี่เมื่อก่อนนะ ร้อยกว่าปีมาแล้ว มีชื่อเสียงมากว่า 'ทองคำวางอยู่บนหยก' ทำไมถึงเรียกแบบนั้นรู้ไหม? เพราะแม่น้ำหม่าเฮอตอนนั้นมีทองอยู่ที่ก้นแม่น้ำ และแหล่งน้ำมีหยก คนร่ำรวยในตอนนั้นก็อาศัยอยู่ในป้อมปราการที่เรียกว่าเมืองแตกในปัจจุบัน...”
ตอนแรกหลี่หลงตั้งใจจะไปนอนแล้ว แต่พอได้ยินเรื่องนี้ พูดออกมาอย่างหงุดหงิดว่า
“ทำไมฉันถึงโง่ขนาดนี้ ลืมเรื่องสำคัญไปได้ยังไง”
“อะไรนะ?” เขาตบเข่าตัวเองเสียงดังจนเหลียงเยวี่ยเหมยที่อยู่ในครัวได้ยิน รีบเดินเข้ามาถาม “นึกอะไรได้แล้วเหรอ”
“หยก!” หลี่หลงตบหัวตัวเองเบาๆ “ในภูเขาทางใต้ของเรามีเหมืองหยก! ในแม่น้ำหม่าเฮอไม่ใช่ว่ามีหยกก้อนอยู่ด้วยเหรอ! พวกชาวบ้านเคยถามว่าถ้าฉันเห็นอะไรต้องแจ้งให้พวกเขารู้ ฉันดันลืมเรื่องนี้ไปซะได้!”
หยกหม่าเฮอเคยเป็นที่รู้จักมาก ในสมัยราชวงศ์ชิงเคยมีการเปิดเหมืองหยกที่นี่ ถึงแม้คุณภาพของหยกจะสู้หยกเฮอเถียนไม่ได้ แต่หยกเม็ดที่สวยงามก็ยังเป็นของหายากมาก
หลี่หลงจำได้ว่าในชาติก่อน ตอนหลี่เจวียนกลับมาจากโรงเรียนในวันหนึ่ง เธอเล่าให้ฟังว่าเพื่อนของพ่อเคยซื้อหยกเม็ดหนักสิบกิโลกรัมจากชาวบ้านในราคาแค่สิบกว่าหยวน แล้วในปี 1985 ก็ขายไปได้ในราคาเกือบสองพันหยวน
ในยุคนั้น สองพันหยวนถือเป็นจำนวนมหาศาล!
ฮาริมและครอบครัวอาศัยอยู่ในภูเขามานานหลายชั่วอายุคน พวกเขาต้องรู้ว่าแหล่งหยกอยู่ที่ไหน
ในชาติที่แล้ว ตอนที่หลี่หลงอายุประมาณสามสิบ หยกหม่าเฮอเพิ่งเริ่มโด่งดัง เขาจึงไปหาซื้อหยกจากชาวบ้านในภูเขา ตอนนั้นชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่มีหยกเม็ดในครอบครองแล้ว แต่ใช้ระเบิดเจาะเอาหยกออกจากภูเขาแทน
หลี่หลงเป็นคนนอกวงการ ซื้อหินหยกมาได้ก้อนหนึ่ง มองเผินๆ แล้วดูเหมือนหินธรรมดา แต่นำไปเจียรไนแล้วก็พบว่ามันเป็นหยกจริงๆ แต่โชคไม่ดีที่มันมีรอยแตกร้าวเพราะถูกระเบิด ทำให้ไร้ค่า
จากปี 1985 เป็นต้นมา จนถึงช่วงที่หลี่หลงเสียชีวิต พอมีน้ำท่วมแล้วน้ำลดลงที่แม่น้ำหม่าเฮอ ทุกปีจะมีคนพบหยกก้อนใหญ่ในแม่น้ำ ตั้งแต่น้ำหนักหลายสิบกิโลกรัม จนถึงหลายตัน
“ว่างๆ ไปถามพวกเขาดูดีกว่า” หลี่เจี้ยนกั๋วยิ้ม “หยกไม่หนีไปไหนหรอก แถมตอนนี้หยกก็ไม่ได้สำคัญกว่าอาหารสักเท่าไหร่”
ซึ่งเขาหมายถึงหยกยังไม่สำคัญเท่าอาหาร
หลี่หลงคิดตามแล้วก็รู้สึกว่าพี่ชายพูดถูก
“ลุง ลุงไม่ได้โง่หรอก!” หลี่เฉียงพูดเสียงดัง “ลุงเก่งที่สุด! ยังจับไก่ป่าได้ แถมยังแลกหินขาแกะมาได้ตั้งเยอะ ไม่มีใครทำได้เหมือนลุงเลย!”
“ฮ่า ๆ ๆ หลี่เฉียงเก่งที่สุด” หลี่หลงหัวเราะ
กลับมาที่ห้องฝั่งตะวันออก หลี่หลงคิดถึงไก่ป่าที่หลี่เฉียงพูดถึง
พรุ่งนี้ต้องขายปลาอยู่แล้ว แล้วจะไปดูว่ามีไก่ป่าให้จับบ้างไหม? ถ้าจับได้หลายตัวก็นำไปขายได้เหมือนกัน
คิดได้ดังนั้นเขาก็ลงมือทันที เขากลบเตาไฟให้ดี หยิบไฟฉาย สวมถุงมือและหมวก เดินออกไปเอาตาข่ายและถุงปุ๋ยแล้วมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกทันที
เดินออกไปได้ไม่กี่ร้อยเมตร เขาก็รู้ว่า การออกมาครั้งนี้อาจจะต้องผิดหวังซะแล้ว
เขาเห็นรอยเท้าบนหิมะที่มีคนเดินไปตามรอยของเขา เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีเขาคนเดียวที่อยากจับไก่ป่า หรืออย่างน้อยก็ต้องมีคนรู้ว่ามันอยู่ตรงไหน
โชคดีที่หลี่หลงรู้ว่าจุดที่ไก่ป่าชอบซ่อนตัวมีมากกว่านี้ เขาถือไฟฉายเดินไปยังตำแหน่งเดิมที่เขาจับไก่ป่าได้ในครั้งก่อน แต่ก็ไม่พบตัวไหนเลย
งั้นไปที่อื่นแล้วกัน
เขาเลี้ยวไปทางใต้ ลุยหิมะอย่างทุลักทุเล หลี่หลงหอบหายใจหนัก เขารู้สึกเสียใจที่เดินมาซะไกลขนาดนี้
แต่ในเมื่อมาแล้ว จะถอยก็คงเหลืออีกแค่ไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น
ทันใดนั้น เขาก็เห็นเงาดำบางอย่างวิ่งผ่านไปด้านข้าง หลี่หลงตกใจ รีบเปิดไฟฉายส่องไป เห็นแค่ครึ่งก้นสีขาวของเงาสีเทา
กระต่ายป่า!
ในป่ามีของดีเยอะแยะจริง ๆ!
หลี่หลงมองกระต่ายป่าที่วิ่งลับไปในหิมะ แล้วจึงปิดไฟฉาย
พูดตามตรง กระต่ายไม่ได้วิ่งเร็วมาก แต่เนื่องจากหิมะสะสมมานาน มันจึงมีพื้นแน่นให้วิ่งได้
เขาวางแผนไว้ว่าหลังจากนี้ ถ้าหิมะตกมาใหม่อีก เขาจะมาตามล่ากระต่ายป่า แล้วก็ติดกับดักไว้บ้าง
เนื้อกระต่ายเยอะกว่าไก่ป่าเยอะเลย
ไม่นาน หลี่หลงก็เดินทางมาถึงจุดที่ไก่ป่าซ่อนตัวเป็นจุดที่สอง
เขาค่อย ๆ ลดความเร็วในการเดิน แล้วค่อย ๆ ก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง
(จบบท)