บทที่ 29: ภรรยาเล่นชู้ลับหลังสามี
“อืม” มู่เทียนฉงตอบรับในลำคอพลางโยนเจ้าแมวส้มลงไปบนโต๊ะ
จากนั้นเขาก็ดีดหน้าผากมู่ไป๋ไป่เบา ๆ “เราอนุญาตให้เจ้ามาที่ศาลาหมิงหลี่ก็เพื่อให้เจ้าได้ร่ำเรียน ทำไมถึงเอาแต่นั่งคุยกับเจ้าแมวอ้วนตัวนี้อยู่ได้ เจ้าเข้าใจหรืออย่างไรว่ามันกำลังพูดอะไร”
เจ้าตัวเล็กอุทานเสียงดัง “อูยยย” พร้อมยกมือกุมหัวขณะที่แอบบ่นในใจ
แต่ฉันดันเข้าใจสิ่งที่เจ้าแมวส้มตัวนี้พูดจริง ๆ น่ะสิ
อย่างไรก็ตาม ความจริงที่ว่าเธอสามารถคุยภาษาสัตว์ได้นั้นมันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเกินไป และเธอก็ไม่ได้คิดที่จะบอกให้คนอื่นรู้เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในตอนนี้ด้วย
“ท่านพ่อ ไป๋ไป่รู้ความผิดแล้ว” มู่ไป๋ไป่รีบคว้าแขนเสื้อของมู่เทียนฉงอย่างประจบประแจงแล้วพูดว่า “ดูเหมือนว่าไป๋ไป่จะไม่เข้าใจสิ่งที่อาจารย์พูด และไป๋ไป่ก็ดูตำราภาพเสร็จแล้ว…”
“ระหว่างนั้นจู่ ๆ เจ้าแมวส้มตัวนี้ก็โผล่มา ไป๋ไป่คิดว่ามันน่าสนใจก็เลยเล่นกับมันสักพัก”
ใบหน้าของเด็กหญิงเปลี่ยนเป็นสีแดง และเธอก็โยนความผิดทั้งหมดไปให้เจ้าส้ม เพราะถึงอย่างไรในที่นี้ก็ไม่มีใครเข้าใจภาษาสัตว์เหมือนเธอ ดังนั้นเจ้าส้มจึงไม่สามารถฟ้องใครได้
“ร้ายกาจ! ช่างร้ายกาจยิ่งนัก! เจ้าเป็นคนบอกข้าเองว่าจะเอาอาหารอร่อย ๆ มาให้! มู่ไป๋ไป่ เจ้ามนุษย์ไร้หัวใจ!”
เจ้าแมวส้มตัวโตกระโดดลงจากโต๊ะเพื่อประท้วง และกางกรงเล็บตั้งท่าจะโจมตีมู่ไป๋ไป่
แต่ผลก็คือมู่เทียนฉงคว้าหลังคอของมันอีกครั้งแล้วยกมันขึ้นกลางอากาศ
ขณะเดียวกัน คนตัวเล็กก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไรและถามขึ้นมาว่า “ท่านพ่อ ท่านรู้จักเจ้าแมวอ้วนตัวนี้หรือไม่เพคะ?”
“เรารู้จัก” มู่เทียนฉงตอบพลางเขย่ามือไปมา ทำให้ไขมันบนตัวของเจ้าส้มกระเพื่อมตาม “มันเป็นแมวป่าที่เราเลี้ยงไว้ในอุทยาน”
สิ่งที่แปลกก็คือ ตั้งแต่ยังเด็กแมวตัวนี้ไม่เคยสนิทสนมกับใครเลยนอกจากเขา ซึ่งเขาไม่คาดคิดเลยว่าจะเห็นมันทำตัวใกล้ชิดกับมู่ไป๋ไป่ขนาดนี้
เมื่อฮ่องเต้หนุ่มนึกถึงเหตุการณ์การเผชิญหน้ากับเสือของเด็กหญิงในกรงเสือวันนั้น เขาก็หรี่ตาลงคล้ายกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“ให้ตายเถอะ มู่เทียนฉง เจ้าว่าใครเป็นแมวป่า ตระกูลของเจ้านั่นแหละที่เป็นแมวป่า!” เจ้าส้มแยกเขี้ยวขู่ทันที “มู่ไป๋ไป่ เจ้านี่มันชั่วช้าเสียจริง!”
“นี่คือแมวทรงเลี้ยงหรือพ่ะย่ะค่ะ?” มู่จวินฝานยืนอยู่ด้านข้างด้วยความอยากรู้อยากเห็น “มันโตแล้ว… ตัวใหญ่ขนาดนั้นเลยหรือ?”
เขาเคยเห็นแมวตัวนี้ครั้งหนึ่ง แต่ตอนนั้นมันยังตัวเล็กมาก
“ไอ้สารเลว อย่าคิดว่าแมวตัวนี้ไม่รู้ว่าเจ้าหาว่าข้าอ้วนนะ!” เจ้าส้มตวัดตามองมู่จวินฝานด้วยสายตาโกรธเคือง
“ระวังตัวไว้ให้ดีเถอะ ข้าจะไปขี้รดบนเตียงเจ้า”
“...” มู่ไป๋ไป่ที่ได้ยินคำพูดของแมวสีส้มตัวใหญ่ถึงกับพูดไม่ออก
เจ้าแมวตัวนี้แค้นฝังหุ่นชะมัด
“เจ้าสามารถเล่นกับมันได้ตามต้องการ” มู่เทียนฉงยัดแมวตัวอ้วนกลมไว้ในอ้อมแขนของมู่ไป๋ไป่ “แต่เจ้าจะต้องไม่หย่อนยานการศึกษาเพราะเหตุนี้ ไม่เช่นนั้นเราจะลงโทษเจ้าแมวตัวนี้”
“...” คราวนี้เป็นเจ้าส้มที่พูดไม่ออก
มู่เทียนฉง เจ้ามันก็คนไร้หัวใจเช่นกัน!
มู่ไป๋ไป่รีบพยักหน้าอย่างมีความสุข “ขอบคุณท่านพ่อ”
พอผู้เป็นพ่อได้เห็นรอยยิ้มสดใสของคนตัวเล็ก เขาก็ยกริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้มเช่นกัน พร้อมกับความรู้สึกว่ามันคุ้มค่ายิ่งนักที่เขามาที่นี่ในวันนี้
“ฝ่าบาท ของว่างที่พระองค์เตรียมเอาไว้ให้องค์หญิงหกเริ่มเย็นแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อันกงกงรีบเอ่ยเตือนขึ้นมาในเวลาที่เหมาะสม และในขณะเดียวกัน เขาก็อดไม่ได้ที่จะลอบถอนหายใจ
ดูเหมือนว่าฝ่าบาทจะทรงรักองค์หญิงหกมากจริง ๆ
เขาจำได้ว่าครั้งแรกที่องค์ชายมาร่ำเรียนที่ศาลาหมิงหลี่ ฝ่าบาทก็ไม่ได้ทรงมาเยือน
แต่ยามที่องค์หญิงหกมาเรียนที่นี่ ฝ่าบาทไม่เพียงแต่มาเยือนเท่านั้น พระองค์ยังทรงให้ห้องครัวจัดเตรียมของว่างเอาไว้ให้องค์หญิงหกเป็นพิเศษด้วย
พอมู่ไป๋ไป่กับเจ้าส้มได้ยินคำว่าของว่าง ดวงตาของพวกเขาก็ลุกวาวพร้อมกัน
ซึ่งสีหน้าของทั้ง 2 เหมือนกันมาก และน่ารักมากเช่นกัน
มู่เทียนฉงพยายามอดทนกักเก็บความรู้สึกของตัวเอง แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปบีบแก้มนุ่ม ๆ ของลูกสาว
“ยกของว่างขึ้นมา” ผู้เป็นฮ่องเต้ดึงมือกลับมาแล้วหันไปมององค์รัชทายาทที่อยู่ด้านข้าง “เราไม่ได้ทดสอบความรู้รัชทายาทมานานแล้ว ดังนั้นวันนี้เราจะทำการทดสอบขณะรับประทานของว่าง”
มู่ไป๋ไป่มองมู่จวินฝานด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจทันที แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาพักดื่มน้ำชายามเช้า ทว่าเขายังต้องรับการทดสอบจากฝ่าบาทอีก มันคงไม่มีอะไรที่แย่ไปกว่านี้อีกแล้ว
แต่ไม่นานความสนใจของเธอก็ถูกเบี่ยงเบนไปที่จานของว่างที่ถูกจัดอย่างประณีต
พ่อครัวในวังหลวงฉลาดมาก นับตั้งแต่เขารู้ว่าองค์หญิงหกที่ได้รับความโปรดปรานชื่นชอบของว่าง เขาก็ได้พยายามคิดสูตรของว่างใหม่ ๆ ขึ้นมาทุกวัน
“มู่ไป๋ไป่ เจ้าหยิบอันนั้นมาให้ข้า ข้าอยากกินอันนั้น” เสียงแมวส้มดังมาจากเบื้องบน
“ข้าก็อยากกินอันนั้นเหมือนกัน เจ้าหยิบมาเพิ่มหน่อย หยิบมาแค่นี้ให้อาหารนกอยู่หรืออย่างไร แค่นี้มันจะไปพอยาไส้อะไร”
เมื่อเด็กหญิงเห็นว่าพ่อไม่ได้สนใจตนในเวลานี้ เธอจึงกระซิบตอบกลับไปว่า “เจ้าเป็นแมวนะ เจ้าจะกินของพวกนี้มาก ๆ ไม่ได้!”
“ชิ!...” เจ้าส้มเงียบลงอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะพูดขึ้นมาแบบไม่เต็มใจว่า “มื้อนี้ยังไม่นับ เพราะเจ้าสัญญากับข้าไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่าจะเอาของอร่อย ๆ มาให้ข้ากิน”
“ข้าไม่ลืมหรอก” มู่ไป๋ไป่รู้สึกไปไม่เป็น เธอไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงรักการกินถึงเพียงนี้
แต่เพื่อเห็นแก่เจ้าส้มที่เล่าเรื่องน่าสนใจมากมายในรั้ววังให้ตนฟัง เธอก็คิดว่าควรตอบแทนมันด้วยอาหารดี ๆ สักมื้อ
“เอาล่ะ ๆ เอาไว้หลังเลิกชั้นเรียน เจ้ากลับกับข้าแล้วข้าจะสั่งให้คนเตรียมอาหารให้เจ้า”
จากนั้นแมวตัวอวบอ้วนก็ดูเหมือนจะมีความสุขมากขึ้น มันจึงหยุดตะโกนชี้นิ้วสั่งให้เด็กหญิงหยิบขนมให้มัน
ทางด้านมู่จวินฝาน เขาเป็นคนที่มีความสามารถและบ่งบอกได้ว่าเขาเรียนหนักมากเพียงใด ดังนั้นเขาจึงรับมือกับการทดสอบของมู่เทียนฉงได้เป็นอย่างดี ซ้ำยังได้รับคำชมจากฝ่าบาทอีกด้วย
“ดีมาก” ฮ่องเต้หนุ่มมองดูบุตรชายที่ไม่ได้ถ่อมตัวหรือหยิ่งผยองด้วยความพึงพอใจ “องค์รัชทายาทอายุ 15 ปีแล้ว ในตอนที่เราอายุเท่าเจ้า เราได้เข้าสู่ท้องพระโรงเพื่อรับผิดชอบกิจการบ้านเมืองแล้ว”
มู่จวินฝานรู้สึกมีความสุขมาก ถึงอย่างไรเขาก็เป็นบุรุษ และเขาก็มีความทะเยอทะยานที่อยากจะแสดงความสามารถของตนเองให้เป็นที่ประจักษ์ในท้องพระโรง
เพียงแต่ในฐานะองค์ชาย เขาไม่ได้รับอนุญาตให้แสดงความคิดเห็นเหล่านี้ก่อนที่ฝ่าบาทจะมีท่าที
ดังนั้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาได้ระงับความปรารถนาในใจและทุ่มเทพลังทั้งหมดไปกับการร่ำเรียน โดยหวังว่าจะสามารถบรรลุขีดความสามารถในสายตาของบิดาผู้เป็นฮ่องเต้ได้โดยเร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม มู่เทียนฉงดูเหมือนจะถอนหายใจเบา ๆ และไม่ได้พูดถึงเรื่องของการอนุญาตให้เด็กหนุ่มรับผิดชอบงานบ้านเมืองจนกระทั่งเสด็จกลับ
“เอิ้ก~” ในช่วงพักกลางวัน เจ้าแมวส้มที่กินดื่มจนพุงกางก็นอนแผ่อยู่บนโต๊ะพร้อมกับเรอออกมาเสียงดัง
“ดูพี่ชายของเจ้าสิ หน้าของเขาช่างดูหม่นหมองยิ่งนัก เฮ้อ~ มู่เทียนฉงช่างไร้หัวใจจริง ๆ เขารู้อยู่เต็มอกว่าลูกชายของเขาอยากจะเข้าร่วมว่าราชการในท้องพระโรง แต่เขาก็ยังปล่อยให้ลูกชายต้องรอเก้ออยู่เช่นนี้”
“ใจของคนเรานั้นช่างยากแท้หยั่งถึง” มู่ไป๋ไป่กล่าวพลางถอนหายใจเบา ๆ
“นั่น… ทำไมข้าถึงรู้สึกคุ้นตานัก?”
เจ้าส้มหรี่ตามององครักษ์ที่ติดตามองค์รัชทายาทพลางพยายามอย่างหนักที่จะเค้นสมองตัวเองว่าตนนั้นเคยเห็นคนผู้นี้ที่ไหน
“คุ้นหน้าอย่างนั้นหรือ? นั่นไม่ใช่เรื่องปกติหรอกหรือ?”
มู่ไป๋ไป่เหลือบมองคนที่เจ้าแมวตัวโตกำลังมองและอดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำพูดของอีกฝ่าย “เจ้าเดินไปทั่ววังหลวงอยู่ทุกวัน มันแปลกตรงไหนถ้าเจ้าจะเคยเห็นองครักษ์ผ่านตาบ้าง”
เจ้าส้มวางอุ้งเท้าสีขาวทั้ง 2 ข้างแล้วส่ายหัวอย่างจริงจัง “ไม่สิ… อ้า ข้าจำได้แล้ว เขาคือคนที่ข้าเห็นในตำหนักลี่เฟยเมื่อครั้งที่แล้ว”
“หา?” เด็กหญิงที่กำลังจะจิบชาชะงักค้างไป “ช้าก่อน คนที่เปลี่ยนยาให้กับลี่เฟยนั้นเป็นผู้ชายหรือ!”
ไม่ว่าเธอจะไร้เดียงสามากแค่ไหน แต่เธอก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับองครักษ์ที่ปรากฏตัวในตำหนักลี่เฟย
และสิ่งที่เจ้าแมวตัวนี้พูดในตอนนั้น… ลี่เฟยถอดเสื้อผ้าออก!
ทันใดนั้นดวงตาของมู่ไป๋ไป่ก็เบิกกว้าง ในขณะที่เธอค่อย ๆ เข้าใจถึงสถานการณ์ทั้งหมด
ช่างดียิ่ง ลี่เฟยกำลังเล่นชู้ลับหลังมู่เทียนฉง!
“ไร้สาระ ก็เห็นกันอยู่เต็มตาว่าเป็นผู้ชาย เจ้ามองเขาเป็นผู้หญิงหรืออย่างไร?” เจ้าส้มมองคนตัวเล็กด้วยสายตาดูหมิ่น “ข้าจำได้แม่นทีเดียว เขาเป็นคนส่งไม้ให้ลี่เฟยตีข้า!”
“ฮึ่ม! ถ้าวันนี้ข้าไม่ล้างแค้น ข้าก็ไม่ขอเป็นแมวอีกต่อไป!”