บทที่ 23 คลาสการแสดงของซูเปอร์สตาร์
สวี่เย่ ไม่ตอบอะไร
จะไปโรงพยาบาลจิตเวชอะไรนั่นทำไมล่ะ?
ถ้าไม่ใช่เพราะระบบสะสมคะแนน เขาจะต้องทนแบบนี้เหรอ?
เขาเลือกที่จะกินบะหมี่ต่อไปดีกว่า
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอร่อยมาก โดยเฉพาะเวลาที่หิว บะหมี่ดูจะอร่อยขึ้นเป็นพิเศษ
บะหมี่ถ้วยนี้ทำให้ สวี่เย่ นึกถึงช่วงเวลาหลังเรียนจบมหาวิทยาลัยใหม่ๆ และเริ่มทำงานในปีแรกๆ
ตอนนั้นเขาได้เงินเดือนแค่ไม่กี่พันหยวน
ในฐานะหนุ่มไฟแรงที่พึ่งเริ่มทำงานได้ เขาตั้งใจจะไม่พึ่งครอบครัวอีกต่อไป
ทุกเดือนนอกจากค่าอาหารและค่าเช่า เขาก็พยายามเก็บเงินจนในที่สุดเขาก็สามารถซื้อโทรศัพท์ใหม่ได้ในช่วงโปรโมชั่นวันคนโสด
สวี่เย่ ยังจำได้ดีว่าวันนั้นเขาเปิดกล่องโทรศัพท์อย่างระมัดระวัง ลอกฟิล์มกันรอยออกอย่างช้าๆ เพราะกลัวว่าฟิล์มจะเสียหาย
เขาใช้โทรศัพท์เครื่องนั้นอยู่นาน แม้ภายหลังจะมีเงินมากพอที่จะเปลี่ยนเครื่องใหม่ แต่เขาก็ไม่เคยทิ้งโทรศัพท์เครื่องนั้น
หลายปีผ่านไป จากชีวิตหนึ่งสู่อีกชีวิตหนึ่ง
ในชีวิตใหม่นี้ เขากลายเป็นนักแสดงในวงการบันเทิง
ถึงจะไม่มีประสบการณ์ในวงการนี้ แต่เขาก็พบว่ามันเป็นเรื่องที่ยากสำหรับเขา
แต่วันนี้ บนเวที เขารู้สึกได้ถึงเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใคร
ในเมื่อได้มีโอกาสใช้ชีวิตใหม่อีกครั้ง ทำไมไม่ลองสัมผัสชีวิตที่แตกต่างดูบ้างล่ะ?
ด้วยผลงานจากโลกเดิมเป็นแรงหนุน สวี่เย่ รู้สึกมั่นใจว่าเขามีศักยภาพพอที่จะทำให้วงการนี้ตื่นตะลึงได้
เขาจะสร้างแรงกระแทกเล็กๆ ในวงการนี้ด้วยตัวของเขาเอง
ขณะที่เขากินบะหมี่ เขาก็คุยกับ ตงอวี้คุน ไปด้วย
ตอนนี้เขาเข้าใจสถานการณ์ของ ตงอวี้คุน แล้ว
ตงอวี้คุน อายุเพียง 18 ปี แต่มีประสบการณ์เป็นเด็กฝึกมานานถึงสองปีครึ่ง
นั่นหมายความว่าเขาเข้าสู่วงการบันเทิงตั้งแต่อายุ 15 ปี
ตอนอายุ 16 เขาเดบิวต์ในรายการวาไรตี้ และได้ร่วมกับเพื่อนผู้เข้าแข่งขันอีกหลายคนตั้งวงบอยแบนด์
วงนี้ถูกซื้อโดยบริษัทบันเทิง ตงไห่
แต่ในสองปีที่ผ่านมา ตงไห่ ไม่ได้สนใจบอยแบนด์วงนี้เท่าไหร่ ปล่อยให้พวกเขาอยู่ตามยถากรรม
แม้แต่กิจกรรมหลายๆ อย่างก็ต้องออกเงินเอง
เมื่อต้นปีนี้ ตงอวี้คุน ได้ฟ้องร้องบริษัท ตงไห่ เพื่อขอเลิกสัญญา
สวี่เย่ เห็นได้ชัดว่า ตงอวี้คุน เป็นเด็กหนุ่มที่มุ่งมั่นและขยันมาก
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตงอวี้คุน ฝึกซ้อมหนักกว่าใคร ตื่นเช้าและนอนดึก ทำงานหนักกว่าคนอื่นหลายเท่า
เด็กหนุ่มที่มีความฝันคนนี้ไม่ต้องการเสียเวลาติดอยู่ในบริษัทที่ไม่ให้ความสำคัญกับเขา
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของคดีความ
ถึงแม้ สวี่เย่ จะไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิงในชาติก่อน แต่เขาก็รู้เรื่องเกี่ยวกับการทำงานของกลุ่มทุนดี
ในทุกวงการ กฎของกลุ่มทุนก็คือผลประโยชน์
แผนการของ ตงไห่ นั้นง่ายๆ พวกเขายอมให้ยกเลิกสัญญาได้ แต่ต้องจ่ายค่าปรับถึง 200 ล้านหยวน
และนั่นคือเหตุผลที่คดีนี้ยังไม่สิ้นสุดจนถึงตอนนี้
สวี่เย่ พูดว่า "ค่าปรับ 200 ล้านศาลคงไม่ยอมรับหรอก"
ค่าปรับจำนวนนี้ผิดหลักการตามกฎหมาย
ถึง ตงไห่ จะลงทุนกับ ตงอวี้คุน จริง ก็ไม่มีทางใช้เงินมากถึง 200 ล้านหยวน
ค่าปรับต้องสมเหตุสมผลตามจำนวนการลงทุน
ตงอวี้คุน พยักหน้า "ตอนนี้พวกเขาก็แค่ถ่วงเวลา"
สวี่เย่ รู้สึกสงสารน้องคนนี้มาก
มันไม่ง่ายจริงๆ
ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ สวี่เย่ ก็ได้ทำความรู้จักกับผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ในรายการ
ในบรรดาผู้เข้าแข่งขันที่อยู่ที่นี่ มีอย่างน้อยสิบกว่าคนที่มาจากบริษัทบันเทิงหลายแห่ง
บางบริษัทก็เป็นบริษัทบันเทิงรายใหญ่
สำหรับ เสียงกวงเอนเตอร์เทนเมนต์ ของ สวี่เย่ นั้น ในวงการนี้ถือว่าเล็กมาก
รายการวาไรตี้โชว์ต้องมีการเกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนเป็นจำนวนมาก
แม้กระทั่งการเลือกมุมกล้องก็อาจเป็นผลจากการต่อสู้ระหว่างกลุ่มทุน
และนี่นำไปสู่การพูดถึงผู้กำกับ จางกวงหรง
ถึงแม้ว่า จางกวงหรง มักจะดูเป็นคนใจดี ไม่ถือตัว
แต่เขาอายุสี่สิบกว่าและมีสถานะในวงการพอสมควร
เขาไม่ชอบให้กลุ่มทุนเข้ามาแทรกแซงการทำงานของเขา
แต่เนื่องจากบทบาทของเขา เขาจึงต้องมีการติดต่อกับกลุ่มทุนบ้าง
สุดท้าย จางกวงหรง จึงตัดสินใจให้รายการออกอากาศแบบสด
เมื่อกลุ่มทุนมีมากจนไม่สามารถทำให้ทุกฝ่ายพอใจได้ ก็ใช้การถ่ายทอดสดเลยแล้วกัน
เพราะการถ่ายทอดสดเป็นการวัดฝีมือของผู้เข้าแข่งขันอย่างแท้จริง
ไม่เหมือนการอัดรายการที่สามารถตัดต่อหรือแก้ไขเสียงได้
ในถ่ายทอดสด อะไรที่แสดงออกมาก็เป็นอย่างนั้น
กลุ่มทุนต่างๆ ก็ต้องยอมรับผลไป
ตงอวี้คุน ที่ไม่มีเบื้องหลัง ก็เหมือนเนื้อที่ถูกนำมาปรุงใหม่ เขามาคนเดียวโดยไม่มีแบ็คอัพใดๆ จึงถือว่าเป็นคนที่มีความกล้าหาญมาก
สิ่งนี้ทำให้ สวี่เย่ รู้สึกเห็นใจเขา
น้องชายคนนี้เหมือนกับเขาในหลายๆ เรื่อง
ถ้าเขาไม่มีระบบสนับสนุน เขาก็อาจไม่ต่างอะไรกับ ตงอวี้คุน หรืออาจจะยิ่งแย่กว่าด้วยซ้ำ
“นายมีฝีมือนะ สู้ต่อไป” สวี่เย่ ให้กำลังใจ
ตงอวี้คุน หน้าหม่นเล็กน้อยและพูดว่า "พี่เย่ ผมจะพยายามให้เต็มที่ และขอให้พี่ได้แชมป์นะครับ"
ตอนนี้ สวี่เย่ กินบะหมี่หมดแล้ว เขากินน้ำซุปจนหมดชาม และกำลังจะเก็บชามไปไว้ในครัว
แต่ ตงอวี้คุน พูดขึ้นว่า “ผมเก็บเองก็ได้ครับ”
"ขอบใจมาก บะหมี่อร่อยมาก"
สวี่เย่ ตอบและเดินกลับไปที่ห้องนอน
เช้าวันต่อมา
ผู้เข้าแข่งขันถูกเรียกรวมตัวกันที่ห้องเรียนชั้นล่างอีกครั้ง
คราวนี้ จางกวงหรง ออกมานำทีมเอง
จางกวงหรง เดินกวาดสายตาไปรอบๆ ด้วยหน้าตาเคร่งขรึม แต่เมื่อมองไปที่ สวี่เย่ เขากลับยิ้มออกมา
สวี่เย่ ทำให้เขาประหลาดใจมาก
ถึงแม้การแสดงของ สวี่เย่ จะแปลกประหลาด แต่มันก็ทำให้รายการติดกระแสได้ทุกครั้ง
เพลงของเขาก็มีอัตราการแพร่กระจายสูงมาก ทำให้รายการนี้มีผลลัพธ์ที่ดีขึ้นมากมาย
จากนั้นเขาก็นึกถึงเหตุการณ์ที่เจอ สวี่เย่ ในห้องน้ำ
คนที่ดูดีขนาดนี้ ทำไมถึงมีอะไรผิดปกติในหัวกันนะ?
จางกวงหรง ถอนสายตากลับมาและพูดอย่างช้าๆ ว่า “ต่อไปผมจะบอกแผนงานของเรา การแสดงรอบที่สองนี้จะมีการเชิญแขกรับเชิญมาร่วมร้องกับผู้เข้าแข่งขัน ทุกคนสามารถเชิญใครก็ได้มาร่วมแสดงบนเวที รอบการแสดงครั้งนี้จะจัดขึ้นในอีกสองสัปดาห์”
ทันทีที่ จางกวงหรง พูดจบ ผู้เข้าแข่งขันต่างก็เริ่มพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น
บางคนถึงกับตกใจ
การหาแขกรับเชิญมาร่วมร้อง? จะไปหามาจากไหน?
ผู้เข้าแข่งขันหลายคนที่ไม่มีเบื้องหลังอาจเป็นศิลปินคนเดียวในบริษัทของพวกเขา
การหาแขกรับเชิญมาร่วมร้องนั้นมีโอกาสมากที่จะถูกใช้ในการเอื้อประโยชน์ให้บางคน
ถ้าผู้เข้าแข่งขันบางคนสามารถเชิญนักร้องดังมาร่วมแสดง มันจะสู้กันได้ยังไง?
ในใจของ จางกวงหรง ก็รู้สึกถึงความยากลำบากเช่นกัน
ไม่มีทางเลือก เมื่อกลุ่มทุนเข้ามาแทรกแซงมากเกินไปก็จะเกิดปัญหาแบบนี้
นี่คือกฎที่เขาได้ต่อรองมาแล้วหลายครั้ง
เมื่อเขาใช้การถ่ายทอดสดในการจัดสมดุล กลุ่มทุนก็คิดหาวิธีการใหม่
การเชิญแขกรับเชิญมาร่วมร้องเป็นเหมือนการโกงอย่างหนึ่ง
นี่ไม่ใช่การวัดฝีมือแล้ว แต่มันวัดความสัมพันธ์และคอนเนคชัน
ผู้เข้าแข่งขันที่มาจากบริษัทบันเทิงใหญ่ๆ นั่งนิ่งอย่างใจเย็น พวกเขารู้ล่วงหน้าอยู่แล้ว และบางคนก็เตรียมแขกรับเชิญไว้แล้วด้วย
จางกวงหรง พูดต่อว่า “ส่วนในสัปดาห์นี้ เราจะมีคลาสการแสดงซูเปอร์สตาร์ เราได้เชิญนักแสดงมืออาชีพจากในวงการมาเพื่อสอนเทคนิคการแสดงให้กับพวกคุณ ทุกคนจะถูกแบ่งเป็นกลุ่มละ 5 คน และต้องแสดงฉากคลาสสิกจากภาพยนตร์และละคร”
“ต่อไปผมจะประกาศรายชื่อกลุ่ม”
ทุกคนตั้งใจฟัง
จางกวงหรง ไม่ปล่อยให้ผู้เข้าแข่งขันจัดกลุ่มเอง เพราะเขารู้ดีว่าการจัดกลุ่มแบบนั้นมันน่าเบื่อ
การมีความขัดแย้งในกลุ่มต่างหากที่จะทำให้รายการน่าสนใจ
เมื่อเขาเริ่มประกาศรายชื่อ ผู้เข้าแข่งขันก็แสดงสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป
ในที่สุดก็มาถึงกลุ่มของ สวี่เย่
จางกวงหรง ประกาศว่า “กลุ่มที่ห้า หลี่ซิงเฉิน, อู๋หยุนเฟิง, เจียงเซิ่ง, สวี่เย่, ตงอวี้คุน”