บทที่ 2 รายได้อันน้อยนิดกับชีวิตที่ยากลำบาก
เช้าวันรุ่งขึ้น
หลัวเฉินตื่นเช้ากว่าปกติ เขาจัดยาเม็ดบนเขียงไม้ให้เรียบร้อย แบ่งออกเป็นชุดละสิบเม็ด บรรจุลงในขวดหยกห้าขวด จากนั้นก็สวมเสื้อคลุมพลังวิญญาณระดับต่ำที่เขามีเพียงตัวเดียว พร้อมถือดาบบินระดับต่ำ แล้วรีบร้อนออกจากบ้านไป
ต้องรีบเข้าเมืองให้เร็ว ไม่เช่นนั้นพอตะวันขึ้น ทำเลแผงลอยดี ๆ ของผู้บำเพ็ญเพียรอิสระก็คงไม่เหลือให้เขาแล้ว
อาจเป็นเพราะเมื่อวานฝนตกหนักทั้งวัน ทางในเขตเมืองชั้นนอกจึงเต็มไปด้วยโคลนแฉะ
ยิ่งเข้าใกล้ศูนย์กลางของเขตเมืองชั้นนอก กลิ่นเหม็นผสมกันระหว่างกลิ่นอุจจาระ ปัสสาวะ กลิ่นยา กลิ่นคน และกลิ่นอสูรยิ่งแรงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อผสมกับกลิ่นดิน มันเป็นกลิ่นที่ทนได้ยากมาก
แต่หลัวเฉินก็ชินซะแล้ว
หนึ่งชั่วยามต่อมา เขามาถึงประตูเมือง
เมื่อเข้าไปในเมืองชั้นใน หลัวเฉินอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจลึก ๆ
อากาศในเมืองชั้นในช่างสดชื่นจริง ๆ!
“ได้ยินมาว่าเมืองชั้นในสร้างอยู่บนเส้นลมปราณระดับหนึ่ง เป็นประโยชน์ต่อผู้บำเพ็ญพลังขั้นก่อกำเนิด”
“ถ้ามีเงินในอนาคต ต้องซื้อบ้านในเมืองชั้นในให้ได้!”
เขากระตุ้นตัวเองให้มีกำลังใจ และตรงไปยังย่านผู้บำเพ็ญเพียรอิสระทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ทันที
หน้าแผ่นหินเขียวแผ่นหนึ่ง มีสินค้าส่วนใหญ่วางเป็นกระดาษยันต์สีเหลืองและหนังอสูร ชายชรากำลังยุ่งอยู่กับการจัดวางหนังอสูร
เขาจัดหนังอสูรให้เรียบร้อยแล้วบิดขี้เกียจ ยืดตัวขึ้นพอดีเห็นหลัวเฉินเดินเข้ามา
“หลัวเต้าโย่ว(สหายผู้บำเพ็ญเพียรหลัว) คราวนี้เจ้ามาช้ากว่าข้าหน่อยนะ”
ชายชรานามเฉินซิ่วผิง เขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรขั้นก่อกำเนิดชั้นหก และเป็นคนเก่าแก่ของเมืองต้าหอฝาง
เขาอาศัยอยู่ที่นี่มาหลายสิบปี หาเลี้ยงชีพด้วยการทำยันต์ นอกจากนี้เขายังมีฝีมือในการฟอกหนังอสูรอย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย
ด้วยระดับรายได้ของเขา จริง ๆ แล้วเฉินซิ่วผิงแทบจะสามารถเช่าบ้านในเมืองชั้นในได้แล้ว แต่เขาเป็นคนขี้ตืด ยอมอาศัยอยู่ในบ้านไม้ที่เขตชั้นนอกที่ค่าเช่าเดือนละหนึ่งหินวิญญาณระดับต่ำ แทนที่จะจ่ายแพงกว่าสิบเท่าเพื่ออยู่ในบ้านหินของเมืองชั้นใน
แม้กระทั่งการตั้งแผงขายของ เขาก็คิดคำนวณอย่างละเอียดถี่ถ้วน
แผงลอยในย่านผู้บำเพ็ญเพียรอิสระจะต้องจ่ายค่าเช่าให้ผู้ดูแลเมือง หนึ่งแผงมีค่าเช่าเดือนละหนึ่งหินวิญญาณ
แผงลอยสองฝั่ง หากจัดพื้นที่ให้ดี หลังจากวางยันต์และหนังอสูรเสร็จแล้ว ยังเหลือพื้นที่เล็กน้อย
เขาจึงแบ่งพื้นที่เล็ก ๆ นี้ให้หลัวเฉิน แล้วทั้งคู่ก็ช่วยกันจ่ายค่าเช่าแผงลอยคนละครึ่ง
หลัวเฉินขาดทุนหรือเปล่า?
ก็ไม่ถึงกับขาดทุนหรอก เพราะถ้าเขาเช่าแผงลอยเอง ก็ต้องจ่ายค่าเช่าหนึ่งหินวิญญาณต่อเดือนอยู่ดี
นอกจากนี้ ยังไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรคนไหนชอบตั้งแผงขายของร่วมกับคนอื่นด้วย
ดังนั้นหลัวเฉินจึงไม่ได้เสียอะไรไป แต่เฉินซิ่วผิงได้กำไรแน่นอน
หลังจากทักทายกันเล็กน้อย หลัวเฉินก็จัดข้าวของของตัวเองที่แผงลอยให้เรียบร้อย
ขวดบรรจุยาเม็ดพิ่กู่ซ่าน (ยาเม็ดบรรเทาความหิว) จำนวนยี่สิบขวด!
เฉินซิ่วผิงมองดูจำนวนขวดแล้วอดประหลาดใจไม่ได้ “หลัวเต้าโย่ว ท่าทางช่วงนี้ฝีมือการปรุงยาของเจ้าพัฒนาขึ้นเยอะเลยนะ!”
ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะพูดแบบนี้
หลัวเฉินมักจะมาตั้งแผงลอยทุก ๆ เจ็ดวัน เดือนหนึ่งมา 4-5 ครั้ง แต่ละครั้งขายยาเม็ดพิ่กู่ซ่านประมาณสิบห้าหรือสิบหกขวด
แต่ครั้งนี้ เขานำมาถึงยี่สิบขวด!
เห็นได้ชัดว่าฝีมือการปรุงยาเม็ดพิ่กู่ซ่านของเขาพัฒนาขึ้นอย่างมาก
และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ
ในเจ็ดวัน หากไม่นับวันที่เขาตั้งแผงลอยและซื้อวัตถุดิบ วันอื่น ๆ อีกหกวันเขาจะแบ่งเวลาครึ่งหนึ่งสำหรับการเตรียมวัตถุดิบ และอีกครึ่งสำหรับการปรุงยา
นั่นหมายความว่า เขามีเวลาปรุงยาสามวันเต็ม ๆ
ก่อนหน้านี้หลัวเฉินทำได้เพียงปรุงยาวันละสองหม้ออย่างเต็มที่ ซึ่งจะได้ยาเม็ดพิ่กู่ซ่านประมาณห้าขวดเท่านั้น เนื่องจากอัตราการสูญเสียวัตถุดิบค่อนข้างสูง
แต่เมื่อวาน ฝีมือการปรุงยาเม็ดพิ่กู่ซ่านของเขาได้ก้าวข้ามจากระดับสมบูรณ์แบบไปเป็นระดับปรมาจารย์
หม้อสุดท้ายเมื่อวานปรุงยาได้ถึงห้าขวด!
และด้วยโชคที่ดี อัตราการสูญเสียวัตถุดิบก็ลดลงอย่างมาก ทำให้ครั้งนี้เขารวบรวมยาเม็ดพิ่กู่ซ่านได้ถึงยี่สิบขวด
“ไม่ขนาดนั้นหรอก แค่ฝึกปรุงบ่อย ๆ ก็เท่านั้น!” หลัวเฉินยิ้มตอบอย่างถ่อมตัว แต่ในสายตาของเขายังมีแววพึงพอใจเล็กน้อย
ฝีมือการปรุงยาเม็ดพิ่กู่ซ่านระดับปรมาจารย์ แม้จะเพิ่งเข้าระดับนี้ได้แต่ก็ยังถือว่ามีความสำคัญมากทีเดียว
เฉินซิ่วผิงส่ายหัว “คนที่ขายยาเม็ดพิ่กู่ซ่านก็มีหลายคน แต่ไม่มีใครทำได้เหมือนเจ้าเลย ที่ห้าวันปรุงได้ถึงยี่สิบขวดแบบนี้”
พูดจบ เขาก็เอื้อมมือไปจับขวดที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด
“เจ้าจะไม่แอบผสมแป้งลงไปใช่ไหม? ในฐานะผู้มีประสบการณ์ ข้าต้องช่วยตรวจดูหน่อย เพื่อไม่ให้เจ้าทำให้ชื่อเสียงแผงของเราพัง”
หลัวเฉินหัวเราะพลางหยิบยันต์ที่มีเส้นสีแดงวาดอยู่เต็มแผ่นขึ้นมา “ข้าได้ยินว่าครั้งก่อนมีคนซื้อยันต์ปิดปราณของเจ้า แต่ใช้ไม่ได้ผลจนโดนอสูรกัดไปครึ่งตัว ถ้าอย่างนั้น ข้าขอเอาไปศึกษาเพื่อไม่ให้แผงของเราต้องเสียชื่อดีกว่า!”
เฉินซิ่วผิงรีบลนลานหยิบยันต์กลับจากมือหลัวเฉินทันทีโดยไม่สนใจยาเม็ดที่อยู่ในมือของเขาอีกแล้ว
“เจ้าจะเอายาเม็ดพิ่กู่ซ่านห้าขวดที่ขายได้แค่หนึ่งหินวิญญาณ มาแลกกับยันต์ปิดปราณของข้าที่ขายได้ตั้งสามหินวิญญาณหรือ? คืนมา! คืนมา!”
หลัวเฉินยิ้มแย้มมองดูชายชราอย่างอารมณ์ดี ขณะที่เขานำยันต์กลับมาวางไว้ในตำแหน่งที่เด่นที่สุด
ยันต์ปิดปราณเป็นสินค้าขายดีของเฉินซิ่วผิง!
ในบรรดายันต์ระดับต่ำที่ขายกันในราคาแผ่นละหนึ่งหินวิญญาณ ยันต์ปิดปราณนี้มีราคาสูงที่สุดถึงสามหินวิญญาณ
ความจริงแล้ว ยันต์ปิดปราณขายดีมาก โดยเฉพาะกับผู้บำเพ็ญเพียรที่ออกล่าอสูรในป่า
ยันต์นี้สามารถปกปิดกลิ่นเลือดได้หนึ่งชั่วยาม ในยามคับขันมันสามารถช่วยชีวิตได้ มันจึงมีคุณค่าไม่ด้อยไปกว่ายันต์ป้องกันอื่น ๆ
บางครั้งหลัวเฉินก็แอบอิจฉาเฉินซิ่วผิงเหมือนกัน
ขายยันต์สักแผ่นก็ได้เงินอย่างน้อยหนึ่งหินวิญญาณ เดือนหนึ่งทำกำไรไม่น้อยกว่าร้อยหินวิญญาณ!
ไม่เหมือนกับเขา
แต่ก่อนหลัวเฉินทำงานหนักทั้งเดือนก็ได้เงินสิบสองหินวิญญาณ หลังหักต้นทุนแล้ว เหลือเพียงหกหรือเจ็ดหินวิญญาณเท่านั้น
ถ้าหักค่าเช่าบ้านอีกครึ่งหินวิญญาณ และค่าเช่าแผงลอยอีกครึ่งหินวิญญาณ ค่ากินดื่มประจำวันอีกหนึ่งหินวิญญาณ สุดท้ายก็เหลือแค่สี่หรือห้าหินวิญญาณ
และนี่ก็เป็นปีแรกที่เขาทะลุมิติมา ต้องทำงานหนักมาก กว่าจะสามารถเก็บเงินได้
ยากที่จะจินตนาการว่าชีวิตของเจ้าของร่างเดิมในช่วงแรกเป็นอย่างไร
แต่อิจฉาแค่เพียงชั่วครู่เท่านั้น
หลัวเฉินรู้ดีว่าศิลปะการบำเพ็ญหลักทั้งสี่นั้นล้วนมีความยากลำบากในตัวของมันเอง
การปรุงยาอาศัยปริมาณ ยิ่งทำมากก็ยิ่งได้กำไร แต่ยากตรงที่การเริ่มต้นแต่ละสูตรยา กว่าจะเชี่ยวชาญต้องเสียยาที่ปรุงผิดไปจำนวนมาก
ส่วนการทำยันต์นั้นอาศัยคุณภาพ แต่ละแผ่นยันต์ล้วนต้องอาศัยพลังจิตและพลังวิญญาณทั้งหมดของผู้วาดในการวาด ถ้าผิดพลาดเพียงนิดเดียวก็ถือว่าล้มเหลวทั้งหมด
นอกจากนี้ ผู้ทำยันต์มักจะอายุไม่ยืนยาวด้วย ไม่รู้เพราะอะไร
อย่างเช่นเฉินซิ่วผิง แม้เขาจะดูแก่ แต่จริง ๆ แล้วอายุเพียงหกสิบกว่า ๆ เอ่อ... จริง ๆ ก็ถือว่าแก่แล้ว
แต่ในทางทฤษฎี ผู้บำเพ็ญเพียรขั้นก่อกำเนิดควรมีอายุยืนถึงร้อยกว่าปี หกสิบกว่าก็ยังถือว่า “หนุ่ม” อยู่
จะให้เปลี่ยนมาทำยันต์คงเป็นไปไม่ได้ ในชาตินี้คงไม่มีทางที่เขาจะมานั่งวาดยันต์ทุกวัน
ทำยาเม็ดแบบนี้ยังดีกว่า ปั้นเม็ดยากลม ๆ แบบนี้ก็พอได้อยู่
และหลัวเฉินรู้ดีว่าตัวเขาเองพอใจในฝีมือการปรุงยาของตัวเองที่เพิ่งเข้าสู่ระดับปรมาจารย์ ฝีมือการปรุงพิ่กู่ซ่านนี้จะทำให้เขาเริ่มมีกำไรมากขึ้นแล้ว
แม้ว่าในแต่ละเดือนเขาจะมีรายได้สุทธิแค่สิบหินวิญญาณ ซึ่งยังไม่พอสำหรับการบำเพ็ญเพื่อชีวิตนิรันดร์ แต่ก็ถือว่าเริ่มไปในทิศทางที่ดีแล้ว
และอีกไม่นานเขาก็จะสามารถเริ่มโครงการใหม่ได้แล้วไม่ใช่หรือ?
ขณะที่หลัวเฉินกำลังฝันถึงอนาคตที่สดใส เฉินซิ่วผิงก็แตะแขนเสื้อเขาเบา ๆ
“มีลูกค้ามาแล้ว!”
(จบบท)