ตอนที่แล้วบทที่ 1 ซานซิ่วหลัวเฉิน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 3 เจ้าก็แค่บอกมาว่าจะเอาหรือไม่เอา

บทที่ 2 รายได้อันน้อยนิดกับชีวิตที่ยากลำบาก


เช้าวันรุ่งขึ้น

หลัวเฉินตื่นเช้ากว่าปกติ เขาจัดยาเม็ดบนเขียงไม้ให้เรียบร้อย แบ่งออกเป็นชุดละสิบเม็ด บรรจุลงในขวดหยกห้าขวด จากนั้นก็สวมเสื้อคลุมพลังวิญญาณระดับต่ำที่เขามีเพียงตัวเดียว พร้อมถือดาบบินระดับต่ำ แล้วรีบร้อนออกจากบ้านไป

ต้องรีบเข้าเมืองให้เร็ว ไม่เช่นนั้นพอตะวันขึ้น ทำเลแผงลอยดี ๆ ของผู้บำเพ็ญเพียรอิสระก็คงไม่เหลือให้เขาแล้ว

อาจเป็นเพราะเมื่อวานฝนตกหนักทั้งวัน ทางในเขตเมืองชั้นนอกจึงเต็มไปด้วยโคลนแฉะ

ยิ่งเข้าใกล้ศูนย์กลางของเขตเมืองชั้นนอก กลิ่นเหม็นผสมกันระหว่างกลิ่นอุจจาระ ปัสสาวะ กลิ่นยา กลิ่นคน และกลิ่นอสูรยิ่งแรงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อผสมกับกลิ่นดิน มันเป็นกลิ่นที่ทนได้ยากมาก

แต่หลัวเฉินก็ชินซะแล้ว

หนึ่งชั่วยามต่อมา เขามาถึงประตูเมือง

เมื่อเข้าไปในเมืองชั้นใน หลัวเฉินอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจลึก ๆ

อากาศในเมืองชั้นในช่างสดชื่นจริง ๆ!

“ได้ยินมาว่าเมืองชั้นในสร้างอยู่บนเส้นลมปราณระดับหนึ่ง เป็นประโยชน์ต่อผู้บำเพ็ญพลังขั้นก่อกำเนิด”

“ถ้ามีเงินในอนาคต ต้องซื้อบ้านในเมืองชั้นในให้ได้!”

เขากระตุ้นตัวเองให้มีกำลังใจ และตรงไปยังย่านผู้บำเพ็ญเพียรอิสระทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ทันที

หน้าแผ่นหินเขียวแผ่นหนึ่ง มีสินค้าส่วนใหญ่วางเป็นกระดาษยันต์สีเหลืองและหนังอสูร ชายชรากำลังยุ่งอยู่กับการจัดวางหนังอสูร

เขาจัดหนังอสูรให้เรียบร้อยแล้วบิดขี้เกียจ ยืดตัวขึ้นพอดีเห็นหลัวเฉินเดินเข้ามา

“หลัวเต้าโย่ว(สหายผู้บำเพ็ญเพียรหลัว) คราวนี้เจ้ามาช้ากว่าข้าหน่อยนะ”

ชายชรานามเฉินซิ่วผิง เขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรขั้นก่อกำเนิดชั้นหก และเป็นคนเก่าแก่ของเมืองต้าหอฝาง

เขาอาศัยอยู่ที่นี่มาหลายสิบปี หาเลี้ยงชีพด้วยการทำยันต์ นอกจากนี้เขายังมีฝีมือในการฟอกหนังอสูรอย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย

ด้วยระดับรายได้ของเขา จริง ๆ แล้วเฉินซิ่วผิงแทบจะสามารถเช่าบ้านในเมืองชั้นในได้แล้ว แต่เขาเป็นคนขี้ตืด ยอมอาศัยอยู่ในบ้านไม้ที่เขตชั้นนอกที่ค่าเช่าเดือนละหนึ่งหินวิญญาณระดับต่ำ แทนที่จะจ่ายแพงกว่าสิบเท่าเพื่ออยู่ในบ้านหินของเมืองชั้นใน

แม้กระทั่งการตั้งแผงขายของ เขาก็คิดคำนวณอย่างละเอียดถี่ถ้วน

แผงลอยในย่านผู้บำเพ็ญเพียรอิสระจะต้องจ่ายค่าเช่าให้ผู้ดูแลเมือง หนึ่งแผงมีค่าเช่าเดือนละหนึ่งหินวิญญาณ

แผงลอยสองฝั่ง หากจัดพื้นที่ให้ดี หลังจากวางยันต์และหนังอสูรเสร็จแล้ว ยังเหลือพื้นที่เล็กน้อย

เขาจึงแบ่งพื้นที่เล็ก ๆ นี้ให้หลัวเฉิน แล้วทั้งคู่ก็ช่วยกันจ่ายค่าเช่าแผงลอยคนละครึ่ง

หลัวเฉินขาดทุนหรือเปล่า?

ก็ไม่ถึงกับขาดทุนหรอก เพราะถ้าเขาเช่าแผงลอยเอง ก็ต้องจ่ายค่าเช่าหนึ่งหินวิญญาณต่อเดือนอยู่ดี

นอกจากนี้ ยังไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรคนไหนชอบตั้งแผงขายของร่วมกับคนอื่นด้วย

ดังนั้นหลัวเฉินจึงไม่ได้เสียอะไรไป แต่เฉินซิ่วผิงได้กำไรแน่นอน

หลังจากทักทายกันเล็กน้อย หลัวเฉินก็จัดข้าวของของตัวเองที่แผงลอยให้เรียบร้อย

ขวดบรรจุยาเม็ดพิ่กู่ซ่าน (ยาเม็ดบรรเทาความหิว) จำนวนยี่สิบขวด!

เฉินซิ่วผิงมองดูจำนวนขวดแล้วอดประหลาดใจไม่ได้ “หลัวเต้าโย่ว ท่าทางช่วงนี้ฝีมือการปรุงยาของเจ้าพัฒนาขึ้นเยอะเลยนะ!”

ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะพูดแบบนี้

หลัวเฉินมักจะมาตั้งแผงลอยทุก ๆ เจ็ดวัน เดือนหนึ่งมา 4-5 ครั้ง แต่ละครั้งขายยาเม็ดพิ่กู่ซ่านประมาณสิบห้าหรือสิบหกขวด

แต่ครั้งนี้ เขานำมาถึงยี่สิบขวด!

เห็นได้ชัดว่าฝีมือการปรุงยาเม็ดพิ่กู่ซ่านของเขาพัฒนาขึ้นอย่างมาก

และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ

ในเจ็ดวัน หากไม่นับวันที่เขาตั้งแผงลอยและซื้อวัตถุดิบ วันอื่น ๆ อีกหกวันเขาจะแบ่งเวลาครึ่งหนึ่งสำหรับการเตรียมวัตถุดิบ และอีกครึ่งสำหรับการปรุงยา

นั่นหมายความว่า เขามีเวลาปรุงยาสามวันเต็ม ๆ

ก่อนหน้านี้หลัวเฉินทำได้เพียงปรุงยาวันละสองหม้ออย่างเต็มที่ ซึ่งจะได้ยาเม็ดพิ่กู่ซ่านประมาณห้าขวดเท่านั้น เนื่องจากอัตราการสูญเสียวัตถุดิบค่อนข้างสูง

แต่เมื่อวาน ฝีมือการปรุงยาเม็ดพิ่กู่ซ่านของเขาได้ก้าวข้ามจากระดับสมบูรณ์แบบไปเป็นระดับปรมาจารย์

หม้อสุดท้ายเมื่อวานปรุงยาได้ถึงห้าขวด!

และด้วยโชคที่ดี อัตราการสูญเสียวัตถุดิบก็ลดลงอย่างมาก ทำให้ครั้งนี้เขารวบรวมยาเม็ดพิ่กู่ซ่านได้ถึงยี่สิบขวด

“ไม่ขนาดนั้นหรอก แค่ฝึกปรุงบ่อย ๆ ก็เท่านั้น!” หลัวเฉินยิ้มตอบอย่างถ่อมตัว แต่ในสายตาของเขายังมีแววพึงพอใจเล็กน้อย

ฝีมือการปรุงยาเม็ดพิ่กู่ซ่านระดับปรมาจารย์ แม้จะเพิ่งเข้าระดับนี้ได้แต่ก็ยังถือว่ามีความสำคัญมากทีเดียว

เฉินซิ่วผิงส่ายหัว “คนที่ขายยาเม็ดพิ่กู่ซ่านก็มีหลายคน แต่ไม่มีใครทำได้เหมือนเจ้าเลย ที่ห้าวันปรุงได้ถึงยี่สิบขวดแบบนี้”

พูดจบ เขาก็เอื้อมมือไปจับขวดที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด

“เจ้าจะไม่แอบผสมแป้งลงไปใช่ไหม? ในฐานะผู้มีประสบการณ์ ข้าต้องช่วยตรวจดูหน่อย เพื่อไม่ให้เจ้าทำให้ชื่อเสียงแผงของเราพัง”

หลัวเฉินหัวเราะพลางหยิบยันต์ที่มีเส้นสีแดงวาดอยู่เต็มแผ่นขึ้นมา “ข้าได้ยินว่าครั้งก่อนมีคนซื้อยันต์ปิดปราณของเจ้า แต่ใช้ไม่ได้ผลจนโดนอสูรกัดไปครึ่งตัว ถ้าอย่างนั้น ข้าขอเอาไปศึกษาเพื่อไม่ให้แผงของเราต้องเสียชื่อดีกว่า!”

เฉินซิ่วผิงรีบลนลานหยิบยันต์กลับจากมือหลัวเฉินทันทีโดยไม่สนใจยาเม็ดที่อยู่ในมือของเขาอีกแล้ว

“เจ้าจะเอายาเม็ดพิ่กู่ซ่านห้าขวดที่ขายได้แค่หนึ่งหินวิญญาณ มาแลกกับยันต์ปิดปราณของข้าที่ขายได้ตั้งสามหินวิญญาณหรือ? คืนมา! คืนมา!”

หลัวเฉินยิ้มแย้มมองดูชายชราอย่างอารมณ์ดี ขณะที่เขานำยันต์กลับมาวางไว้ในตำแหน่งที่เด่นที่สุด

ยันต์ปิดปราณเป็นสินค้าขายดีของเฉินซิ่วผิง!

ในบรรดายันต์ระดับต่ำที่ขายกันในราคาแผ่นละหนึ่งหินวิญญาณ ยันต์ปิดปราณนี้มีราคาสูงที่สุดถึงสามหินวิญญาณ

ความจริงแล้ว ยันต์ปิดปราณขายดีมาก โดยเฉพาะกับผู้บำเพ็ญเพียรที่ออกล่าอสูรในป่า

ยันต์นี้สามารถปกปิดกลิ่นเลือดได้หนึ่งชั่วยาม ในยามคับขันมันสามารถช่วยชีวิตได้ มันจึงมีคุณค่าไม่ด้อยไปกว่ายันต์ป้องกันอื่น ๆ

บางครั้งหลัวเฉินก็แอบอิจฉาเฉินซิ่วผิงเหมือนกัน

ขายยันต์สักแผ่นก็ได้เงินอย่างน้อยหนึ่งหินวิญญาณ เดือนหนึ่งทำกำไรไม่น้อยกว่าร้อยหินวิญญาณ!

ไม่เหมือนกับเขา

แต่ก่อนหลัวเฉินทำงานหนักทั้งเดือนก็ได้เงินสิบสองหินวิญญาณ หลังหักต้นทุนแล้ว เหลือเพียงหกหรือเจ็ดหินวิญญาณเท่านั้น

ถ้าหักค่าเช่าบ้านอีกครึ่งหินวิญญาณ และค่าเช่าแผงลอยอีกครึ่งหินวิญญาณ ค่ากินดื่มประจำวันอีกหนึ่งหินวิญญาณ สุดท้ายก็เหลือแค่สี่หรือห้าหินวิญญาณ

และนี่ก็เป็นปีแรกที่เขาทะลุมิติมา ต้องทำงานหนักมาก กว่าจะสามารถเก็บเงินได้

ยากที่จะจินตนาการว่าชีวิตของเจ้าของร่างเดิมในช่วงแรกเป็นอย่างไร

แต่อิจฉาแค่เพียงชั่วครู่เท่านั้น

หลัวเฉินรู้ดีว่าศิลปะการบำเพ็ญหลักทั้งสี่นั้นล้วนมีความยากลำบากในตัวของมันเอง

การปรุงยาอาศัยปริมาณ ยิ่งทำมากก็ยิ่งได้กำไร แต่ยากตรงที่การเริ่มต้นแต่ละสูตรยา กว่าจะเชี่ยวชาญต้องเสียยาที่ปรุงผิดไปจำนวนมาก

ส่วนการทำยันต์นั้นอาศัยคุณภาพ แต่ละแผ่นยันต์ล้วนต้องอาศัยพลังจิตและพลังวิญญาณทั้งหมดของผู้วาดในการวาด ถ้าผิดพลาดเพียงนิดเดียวก็ถือว่าล้มเหลวทั้งหมด

นอกจากนี้ ผู้ทำยันต์มักจะอายุไม่ยืนยาวด้วย ไม่รู้เพราะอะไร

อย่างเช่นเฉินซิ่วผิง แม้เขาจะดูแก่ แต่จริง ๆ แล้วอายุเพียงหกสิบกว่า ๆ เอ่อ... จริง ๆ ก็ถือว่าแก่แล้ว

แต่ในทางทฤษฎี ผู้บำเพ็ญเพียรขั้นก่อกำเนิดควรมีอายุยืนถึงร้อยกว่าปี หกสิบกว่าก็ยังถือว่า “หนุ่ม” อยู่

จะให้เปลี่ยนมาทำยันต์คงเป็นไปไม่ได้ ในชาตินี้คงไม่มีทางที่เขาจะมานั่งวาดยันต์ทุกวัน

ทำยาเม็ดแบบนี้ยังดีกว่า ปั้นเม็ดยากลม ๆ แบบนี้ก็พอได้อยู่

และหลัวเฉินรู้ดีว่าตัวเขาเองพอใจในฝีมือการปรุงยาของตัวเองที่เพิ่งเข้าสู่ระดับปรมาจารย์ ฝีมือการปรุงพิ่กู่ซ่านนี้จะทำให้เขาเริ่มมีกำไรมากขึ้นแล้ว

แม้ว่าในแต่ละเดือนเขาจะมีรายได้สุทธิแค่สิบหินวิญญาณ ซึ่งยังไม่พอสำหรับการบำเพ็ญเพื่อชีวิตนิรันดร์ แต่ก็ถือว่าเริ่มไปในทิศทางที่ดีแล้ว

และอีกไม่นานเขาก็จะสามารถเริ่มโครงการใหม่ได้แล้วไม่ใช่หรือ?

ขณะที่หลัวเฉินกำลังฝันถึงอนาคตที่สดใส เฉินซิ่วผิงก็แตะแขนเสื้อเขาเบา ๆ

“มีลูกค้ามาแล้ว!”

(จบบท)

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด