ตอนที่ 19 ทะลวงช่วงกลั่นลมปราณขั้นที่เจ็ด
ตอนที่ 19 ทะลวงช่วงกลั่นลมปราณขั้นที่เจ็ด
ที่โรงแรมห่าวไท่
เมื่อฉู่เสวียนกลับมาถึงที่นี่ ก็เป็นเวลาค่ำแล้ว เขาหยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหนึ่งถังและเนื้อวัวกระป๋องมาสองกระป๋องแล้วเริ่มทานอาหารเย็นด้วยความหิวโหย
แต่เมื่อเขตแดนของผู้บำเพ็ญเพิ่มขึ้นจนเข้าสู่ช่วงสร้างรากฐาน พวกเขาก็จะสามารถอยู่ได้โดยปราศจากอาหารเหล่านี้ ก่อนที่จะกินเมฆและดื่มน้ำค้างเป็นอาหาร
แต่ท้ายที่สุดแล้ว ฉู่เสวียนก็ยังบ่มเพาะไม่ถึงช่วงสร้างรากฐาน นอกจากนี้เขาก็ไม่ได้สัมผัสกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมานานกว่า 20 ปีแล้ว จึงทำให้เขาคิดถึงรสชาติและกลิ่นหอมเย้ายวนของมันเป็นพิเศษ!
ในโกดังเล็กๆ ของจ้าวหง มีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากมาย รวมถึงช็อคโกแลตและบิสกิตหลากหลายชนิด ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นอาหารที่สามารถเก็บรักษาได้ง่ายมาก แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับฉู่เสวียนที่จะกินไปได้หลายเดือนแล้ว
ส่วนในอ่างกลั่นศพหยินหลายอ่างตอนนี้ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร ฉู่เสวียนจึงให้เสี่ยวหู่และเสี่ยวเป้าพาหมาป่าวิญญาณสองตัวออกไปล่าสัตว์ และให้นำซอมบี้ที่ร่างกายแข็งแกร่งกลับมาด้วยสักสองสามตัว ใช้เป็นเตาหลอมสำหรับปลูกพืชวิญญาณ
อย่างไรก็ตาม เขายังกำชับให้เสี่ยวหู่และเสี่ยวเป้าพุ่งเป้าไปที่ซอมบี้เป็นหลัก ห้ามจับมนุษย์ที่ยังมีชีวิตเป็นอันขาดเพราะถึงอย่างไรเสี่ยวหู่และเสี่ยวเป้าคือพลทหารศพที่เขากลั่นขึ้นมา หากทั้งสองฆ่ามนุษย์ผู้บริสุทธิ์ ผลกรรมก็จะตกมาที่เขา เขาไม่อยากให้ผลบุญที่ได้มาทั้งหมดหายไปในพริบตา
หลังจากที่สั่งการเสร็จแล้ว เสี่ยวหู่และเสี่ยวเป้าก็คำรามออกมาพร้อมกันแสดงว่าพวกเขาเข้าใจ
ทว่าต้าหวงและเอ้อหวงที่อยู่ข้างๆ กลับไม่ตอบรับสักคำ เสี่ยวหู่จึงเข้าไปเตะพวกมันจนกระเด็นออกไปไกล
หมาป่าขวิญญาณสองตัวส่งเสียงครวญครางออกมาและพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากที่ทั้งสี่จากไปแล้ว ฉู่เสวียนก็นั่งขัดสมาธิและเริ่มดูดซับลูกปัดโลหิตก้อนใหญ่ที่เขาได้มาทันที
เม็ดลูกปัดโลหิตขนาดเท่ากำปั้นลอยขึ้นมาตรงหน้าเขา จากนั้นเลือดข้างในลูกปัดก็ไหลเข้าสู่ปากและจมูกของเขา และไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขาตามเทคนิคพลังวิญญาณแปลงโลหิตช่วงชิง หลังจากที่เริ่มดูซับลูกปัดเม็ดใหญ่เข้าไป พลังวิญญาณของฉู่เสวียนก็แข็งแกร่งขึ้น
สองวันต่อมา...
ทันใดนั้นการบ่มเพาะของฉู่เสวียนก็ทะลวงเขตแดน ชั่วพริบตาก็เหมือนกับปลาที่ถูกปล่อยลงสู่ทะเลและแหวกว่ายไปอย่างอิสระ
ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาขึ้น ยิ้มดีใจออกมา "เข้าสู่ช่วงกลั่นลมปราณขั้นที่ 7!"
ช่วงกลั่นลมปราณขั้นที่ 7 อยู่ในขั้นสุดท้ายของการกลั่นลมปราณระดับกลาง
"ในขั้นที่ 7 ของเทคนิคพลังวิญญาณแปลงโลหิตช่วงชิงนั้น จะมีคาถาใหม่เกิดขึ้นมา ฉะนั้นข้าต้องลองดู"
หากว่านับคาถาที่เขามีในตอนนี้โดยไม่รวมความสามารถในการต้านทานศัตรู ก็จะมีเพียง "ทักษะการกลั่นวิญญาณ“และ”พลังวิญญาณแปลงโลหิตช่วงชิง”
ซึ่งมันเป็นเพียงคาถาป้องกันระดับกลางของผู้บำเพ็ญช่วงกลั่นลมปราณเท่านั้น
ศัตรูส่วนใหญ่ในดาวเคราะห์แห่งนี้ก็จะมีแค่เหล่าซอมบี้เท่านั้นที่เขาต้องรับมือด้วยมากที่สุด ดังนั้นเมื่อทะลวงเขตแดนมาอยู่ในขั้นที่ 7 ของทักษะพลังวิญญาณแปลงโลหิตช่วงชิงได้แล้ว เขาก็ได้คาถาระดับสูงที่ทรงพลังขึ้นมา
ฉู่เสวียนลุกขึ้นยืนทันทีและรวบรวมพลังวิญญาณทั้งหมดของเขาออกมา
เปลวไฟสีเขียวที่น่าสยดสยองค่อยๆ ไหลมารวมตัวกันบนฝ่ามือของเขา
เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง เปลวไฟสีเขียวก็ขยายไปจนถึงขีดจำกัด ฉู่เสวียนจึงได้ระเบิดมันออกไปทันที
ปัง
จู่ๆ ผนังก็ถูกระเบิดออกจนเป็นหลุมขนาดใหญ่ เศษซากระเบิดกระเด็นไปทุกที่ แต่น่าแปลกที่เปลวไฟสีเขียวยังคงลุกไหม้อยู่รอบๆ หลุมนั้น และค่อยๆ ดับลงไปหลังจากผ่านไปนานกว่าสิบนาที
ฉู่เสวียนเลิกคิ้ว มันเป็นคาถาระดับสูงของผู้บำเพ็ญช่วงกลั่นลมปราณและมีพลังมาก คาถานี้เรียกว่า "กระสุนเพลิงนรก"
ผู้บำเพ็ญช่วงกลั่นลมปราณของนิกายอู๋จี๋จะมีเทคนิคทั้งหมดสี่เทคนิค โดยในนั้นมีคาถาโจมตีระดับสูงอยู่เก้าคาถา แต่คาถากระสุนเพลิงนรกนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นคาถาโจมตีที่ทรงพลังที่สุด แน่นอนว่าก็มีข้อบกพร่องที่ร้ายแรงเช่นกัน นั่นก็คือใช้เวลาในการรวบรวมนานเกินไป และต้องใช้พลังวิญญาณเป็นจำนวนมาก
ด้วยพลังวิญญาณในปัจจุบันของฉู่เสวียนเขาสามารถปลดปล่อยมันได้มากที่สุดเพียงสามครั้งเท่านั้น ขณะที่รวบรวมพลัง ก็อาจจะถูกโจมตีได้ง่าย และมันจะสูญเปล่าไปเลยถ้าหากการโจมตีของคาถานี้ไม่โดนศัตรู และเจ้าตัวก็จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ฉู่เสวียนไม่ได้กังวลว่าจะไม่สามารถโจมตีได้ ด้วยพลทหารศพจำนวนมากภายใต้การบังคับบัญชาของเขา เขาจึงสามารถจำกัดการเคลื่อนไหวของศัตรูได้อย่างมีประสิทธิภาพ และแม้แต่เส้นลวดโลหิตก็ยังมีเทคนิคโลหิตผูกมัด ซึ่งทำให้ควบคุมศัตรูได้อย่างง่ายดาย
“ไม่เลว ไม่เลว ข้าควรฝึกฝนวิชากระสุนเพลิงนรกนี้ให้มากขึ้นในอนาคตเพื่อที่จะได้เชี่ยวชาญกว่านี้”
ฉู่เสวียนกำลังจะปล่อยกระสุนเพลิงนรกอีกลูกออกมา แต่เขาก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวที่อ่างอาบน้ำ
โห่!
ศพหยินปีนออกมาจากอ่างอาบน้ำ มันเดินเข้ามาหาฉู่เสวียนด้วยความเคารพ หลังจากนั้นไม่นาน ศพหยินตัวอื่นก็ตื่นขึ้นมาทีละตัว และเดินมาหาฉู่เสวียนราวกับสุนัขที่เชื่อฟัง
ฉู่เสวียนได้หยดเลือดของตัวเองลงในของเหลวกลั่นศพแม้ว่าจะไม่ใช่แก่นแท้ของโลหิต แต่ก็ได้เห็นได้ชัดว่าพวกมันยอมรับเขาเป็นเจ้านายแล้ว นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกมันถึงให้ความเคารพต่อฉู่เสวียนมาก
ฉู่เสวียนเก็บศพหยินทั้งหมดเข้าไปในหอเลี้ยงศพ และใช้ทักษะการระบุตัวตนเพื่อประเมินศพหยินแต่ละตัว
ทว่าผลลัพธ์กลับทำให้เขาค่อนข้างผิดหวัง เพราะศพหยินทั้งหกศพนั้น ทั้งหมดมีคุณสมบัติระดับต่ำ และคาถาอาคมพรสวรรค์ที่ได้ติดตัวมาก็แย่ไม่ต่างกัน
ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคการบิน ที่บินได้ไกลระดับหนึ่ง
เทคนิคการกระโดด ที่สามารถกระโดดได้สูงขึ้นเล็กน้อย
เทคนิคการกิน ที่เร่งการกินได้
เทคนิคในการดูดซับน้ำ สามารถกักเก็บน้ำไว้ในกระเพาะอาหารได้
เทคนิคการทำให้บริสุทธิ์สามารถทำให้น้ำเสียบริสุทธิ์ได้
และฉู่เสวียนยังเห็นว่าศพหยินตัวหนึ่งมีเทคนิคการทำลายตนเองในระหว่างการต่อสู้ โดยการพุ่งออกไปข้างหน้าและระเบิดตัวเอง
เมื่อเห็นอย่างนั้น เขาก็ออกคำสั่งกับศพหยินตัวนั้นอย่างไม่เต็มใจ และไม่อยากที่จะเก็บผู้ใต้บังคับบัญชาที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้ไว้
‘ข้าต้องทำงานอย่างหนักเพื่อเตรียมน้ำยากลั่นศพ แต่กลับต้องมาใช้ความพยายามในการฝึกฝนเจ้าอีก เพียงเพื่อให้เจ้าไปต่อสู้กับสัตว์ประหลาด เช่นนั้นเจ้าก็ควรพุ่งออกไปข้างหน้าและระเบิดตัวเองซะ’
……
มันนานเกินไปหรือเปล่า?
“ชายผู้นี้ยังไม่ตื่นอีกหรือ?” ฉู่เสวียนเดินมาที่หน้าอ่างอาบน้ำอีกครั้ง
อ่างนี้ คืออ่างที่แช่ศพของจ้าวหงไว้ ในตอนนี้ศพก็ได้ดูดซับน้ำยากลั่นศพไปจนเหลือเพียงชั้นน้ำยาบางๆ เท่านั้น ซึ่งศพร่างอื่นๆ ก็ทำการกลั่นออกมาเป็นศพหยินแล้ว แต่เขากลับยังไม่ตื่นขึ้นมาเลย
ฉู่เสวียนไม่ได้กังวล แต่กลับตรงกันข้าม ตอนนี้เขารู้สึกตื่นเต้นและคาดหวัง เพราะนี่แสดงให้เห็นว่าศพของจ้าวหงกำลังทำงานอย่างหนัก เพื่อดูดซับแก่นแท้ทั้งหมดในของเหลวกลั่นศพ และมันก็ยังทำการดูดซับไม่หยุด
ฉู่เสวียนคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็เตรียมของเหลวกลั่นศพอีกถังแล้วเทลงในอ่างแช่ศพของจ้าวหง
“ในอัตรานี้ ข้าเกรงว่าจะต้องใช้เวลาอีกสามถึงห้าวัน”
เมื่อคิดเช่นนั้น ฉู่เสวียนก็เอาเวลาว่างที่เหลือมาหาห้องที่เงียบสงบและเริ่มปรับแต่งเทคนิคกระสุนเพลิงนรกที่เขาได้มาอีกครั้ง
อีกด้านหนึ่ง..
บริษัทรักษาความปลอดภัยเฮยเฟิง
เมื่อเทียบกับโรงแรมห่าวไท่ของแก๊งหลิงฉวนแล้ว ที่นี่ดูสะอาดและเป็นระเบียบกว่ามาก บริเวณรอบๆบริษัท ถูกร่ายล้อมไปด้วยรั้วเหล็กที่มีเลือดสีเขียวเหนียวข้นติดอยู่ มีทั้งเนื้อของซอมบี้จำนวนมาก แน่นอนว่ามันมีบทบาทสำคัญในการป้องกันซอมบี้ไม่ให้เข้ามายังสถานที่แห่งนี้
ในเวลานี้ก็มีชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่ประตูและกำลังเปิดประตูออกอย่างช้าๆ จากนั้นหวังยงก็ก้าวเข้ามา
ชายร่างผอมสองคนเดินเข้ามาหาเขา และพูดด้วยรอยยิ้มว่า "พี่หยง พี่ส่งสามคนนั้นกลับไปได้อย่างปลอดภัยหรือเปล่า?"
หวังหยงปาดเหงื่อออกจากหน้าผากของเขา "ฉันส่งพวกเขาไปที่กองทัพหลินเจียงเรียบร้อยแล้ว ลูกพี่ลูกน้องของฉันอยู่ที่ไหน ฉันมีเรื่องสำคัญจะบอกเขา”
ชายร่างผอมชี้ไปที่อาคารสามชั้นแล้วกระซิบว่า “ผู้จัดการกำลังทำงานอยู่ที่นั่น พี่หยงไม่ควรเข้าไปรบกวนเขาตอนนี้เลยครับ”
หวังยงขมวดคิ้ว “ไม่ ฉันมีเรื่องสำคัญมากที่ต้องบอกเขาตอนนี้ ”
พูดจบเขาก็รีบเดินออกไปทันที
เมื่อเดินมาถึงชั้นล่างของอาคาร ก็ได้ยินเสียงร้องครวญครางดังมาจากชั้นสาม จากนั้นก็มีชายร่างสูงใหญ่กำยำที่เฝ้าประตูอาคารมามาขวางเขาไว้ หวังหยงต้องการขึ้นไปชั้นบน แต่เขาก็ถูกหยุดเอาไว้
“ฉันขอไปพบลูกพี่ลูกน้องของฉันหน่อย!” เขาตะโกนออกมาด้วยความโมโห
ชายร่างกำยำไม่มีสีหน้าใด ๆ “ผู้จัดการออกคำสั่งว่าไม่ให้ใครหน้าไหนก็ตามเข้าพบ รวมทั้งคุณด้วย”
หวังยงกัดฟันและตะโกนออกมาสุดเสียงว่า “พี่! ฉันหวังหยง! มีเรื่องสำคัญบางอย่างจะบอกพี่!”
ไม่มีเสียงตอบรับครู่หนึ่ง แต่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงกระแทกโต๊ะดังขึ้น
หัวสั้นโผล่ออกมานอกหน้าต่าง แล้วพูดด้วยความโกรธว่า "ให้ตายเถอะ นายไม่รู้หรือไงว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่"
หลังจากที่สาปแช่งได้ไม่นาน เขาก็พูดว่า "ขึ้นมานี่สิ”