บทที่ 60 แก้ปัญหาไปได้เรียบร้อย...
เมื่อเห็นว่าฉือซงพูดไปน้ำตาก็คลอหน่วย เสียงเริ่มสั่นจนเหมือนจะร้องไห้ หงจุ้นก็เริ่มตกใจ
“พี่ใหญ่ ถ้ามีอะไรก็พูดมา อย่าร้องไห้เลย”
อายุปูนนี้แล้ว ทำไมถึงมาร้องไห้ได้กันล่ะ
หงจุ้นทำอะไรไม่ถูก แต่ฉือซงนั้นกลั้นไม่ไหวจริง ๆ เขาเป็นหัวหน้าหอผู้คุมกฏมา 1,386 ปีแล้ว แต่ไม่เคยได้รับความอับอายแบบนี้มาก่อน
กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา ฉือซงกัดฟันถามว่า “น้องชาย เจ้ายังจะให้ข้าสบายใจได้หรือไม่?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หงจุ้นที่ยังมึนเมาอยู่บ้างรีบตอบทันที
“พี่ใหญ่ เจ้าพูดอะไรเช่นนี้ เราเป็นพี่น้องกันมานานหลายปี ข้าย่อมหวังให้พี่ดีอยู่แล้ว”
“แล้วเรื่องยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์...”
“ข้าจะดูแลอย่างเข้มงวดแน่นอน”
“เจ้าพูดแล้วนะ”
“ข้าพูดแล้ว พี่ใหญ่ไม่ต้องห่วง”
เมื่อได้รับคำยืนยันจากหงจุ้น ฉือซงจึงยอมกลับไป
ที่ฉือซงทำแบบนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของเขา ไม่มีทางเลือกจริง ๆ ศิษย์ของยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์ก่อปัญหาจนทำให้หอผู้คุมกฏไม่อาจสงบสุขได้
แต่ปัญหาคือพวกเขาไม่ได้ทำผิดกฎของนิกาย เนื่องจากกฎของนิกายไม่ได้ห้ามการรับภารกิจแบบเป็นกลุ่ม
และฉือซงเป็นคนที่ยึดมั่นในกฎมาก เมื่อพวกเขาไม่ทำผิดกฎ หอผู้คุมกฏก็ไม่อาจทำอะไรได้ จนในที่สุดฉือซงจึงต้องไปหาหงจุ้นด้วยตัวเอง
เมื่อได้รับคำมั่นสัญญาจากหงจุ้น ฉือซงก็กลับไปยังยอดเขาหลักและไปพบกับผู้อาวุโสสามผู้ดูแลหอภารกิจ
“น้องชายหงจุ้นยอมตกลงแล้ว หอภารกิจของเจ้าเล่า?”
“พี่ใหญ่ไม่ต้องห่วง ข้าได้สั่งเพิ่มภารกิจใหม่ ๆ ไว้แล้ว ไม่น่าจะมีปัญหา”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉือซงจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
คิดว่าเรื่องราวจะจบลงตรงนี้แล้ว ในอีกไม่กี่วันถัดมา ศิษย์จากยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้มารับภารกิจเป็นกลุ่มอีก
หอภารกิจก็กลับสู่สภาพปกติ ไม่เพียงแต่ผู้ดูแลภารกิจเท่านั้น แม้แต่ศิษย์จากยอดเขาต่าง ๆ ก็รู้สึกโล่งใจ
แต่ทว่าภายในยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์ ศิษย์หลายคนกลับพบปัญหาใหม่ นั่นคือแต้มสะสมของพวกเขาไม่เพียงพอ
ก่อนหน้านี้พวกเขาตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนอย่างเต็มที่ เพื่อเพิ่มพลังให้เร็วที่สุด ไม่ว่าจะเป็นวิชายุทธ์ ยาเม็ดสมุนไพร หรือคัมภีร์ต่าง ๆ พวกเขาก็แลกใช้แต้มสะสมกันอย่างบ้าคลั่ง
ศิษย์เกือบทุกคนใช้แต้มสะสมที่สั่งสมมาหลายปี หรือแม้กระทั่งหลายสิบปีจนหมดเกลี้ยงภายในเวลาเพียงหนึ่งเดือน
และเมื่อไม่มีแต้มสะสม การฝึกฝนก็ย่อมชะลอตัวลงอย่างมาก
พอถึงเวลาอาหาร ศิษย์หลายคนก็เริ่มพูดคุยกันถึงปัญหานี้
"พี่ใหญ่ เจ้ายังมีแต้มสะสมเหลือเท่าไหร่?"
"เฮ้อ ก็เหลือเพียงแค่ร้อยกว่าแต้มเท่านั้น"
"ร้อยกว่าแต้ม? ก็แค่พอแลกวิชาเหลืองขั้นต้นได้วิชาเดียวเอง"
"ใช่ ข้าซื้อยาเม็ดไปหลายอย่าง ใช้แต้มมากจริง ๆ"
"ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ไหวแน่ ไม่มีแต้มสะสมอยู่ในนิกาย จะทำอะไรก็ลำบาก"
"ไม่มีทางเลือก ต้องไปรับภารกิจแล้ว"
"พี่ใหญ่หมายความว่าจะรับภารกิจหลายอันเหมือนครั้งก่อนหรือ?"
"เจ้าบ้าแล้วหรือไง? เจ้านิกายออกคำสั่งชัดเจนแล้วว่าศิษย์ยอดเขาดาบศักดิ์สิทธิ์สามารถรับภารกิจได้ครั้งละไม่เกินสามภารกิจเท่านั้น"
นี่คือคำสั่งของหงจุ้น หลังจากที่ฉือซงมาหาเขาครั้งนั้น ก็ออกข้อห้ามนี้ทันที
"แล้วพี่ใหญ่หมายความว่าอย่างไร?"
"ถึงเราจะทำแบบพี่สาวจินหมิงไม่ได้ แต่ภารกิจของนิกายก็ต้องทำอยู่ดี หากไม่มีแต้มสะสม การฝึกฝนของเราก็จะหยุดชะงัก แล้วเจ้ายังคิดว่าจะยังได้กินข้าวต่อไปหรือ?"
"ถ้าอยากรักษาความเร็วในการฝึกฝนเอาไว้และต้องการให้ได้ที่นั่งในการรับประทานอาหารทุกมื้อ แต้มสะสมก็จำเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเราต้องทำงานหนักขึ้น รับภารกิจให้มากขึ้น"
"นอกจากการฝึกฝนและการกินข้าว เวลาอื่นๆก็ใช้ไปรับภารกิจให้หมดและระหว่างทำภารกิจต้องมั่นใจว่าจะไม่เสียเวลาจนเลยเวลามื้ออาหาร รีบทำภารกิจให้เสร็จ กลับมาที่นิกายให้เร็วที่สุด กินข้าวเสร็จแล้วไปรับภารกิจใหม่ทันที"
ศิษย์พี่ใหญ่คนนี้อธิบายแผนของเขาออกมาและศิษย์หลายคนก็เห็นด้วยทันที
ใช่แล้ว ถ้าอยากกินข้าวต่อทุกมื้อ ก็ต้องพยายามแข็งแกร่งขึ้นและการจะเป็นคนที่แข็งแกร่งต้องมีทรัพยากรในการฝึกฝน
แล้วทรัพยากรมาจากไหน? แน่นอนว่าจากใช้แต้มสะสมของนิกาย
ดังนั้นพวกเขาจำเป็นต้องทำภารกิจให้มากขึ้น พยายามสุดความสามารถเพื่อแลกกับการฝึกฝนของตนเอง
เมื่อพวกเขาไม่มีความมุ่งมั่นและความกล้าหาญแบบศิษย์พี่จินหมิง พวกเขาจึงต้องพึ่งพาความขยันขันแข็ง ไม่ปล่อยเวลาเสียเปล่าเพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น แม้กระทั่งในช่วงเวลาที่ทำภารกิจ
ความขยันขันแข็งสามารถชดเชยความอ่อนแอได้จริง ๆ
เย่ฉางชิงที่นอนอยู่บนเก้าอี้ข้าง ๆ ได้ยินศิษย์พูดคุยกัน เขารู้สึกว่ามีบางอย่างที่คุ้นเคยจากศิษย์เหล่านี้
คิดอยู่หลายครั้งก็ยังไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร จนกระทั่งหลังมื้ออาหาร เมื่อทุกคนทยอยกันออกไป เย่ฉางชิงจึงนึกขึ้นมาได้
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที มุมปากเริ่มกระตุก
“ข้ารู้แล้วว่าทำไมถึงรู้สึกคุ้นเคย นี่มันตัวข้าเองเลยไม่ใช่หรือ!”
นี่คือเย่ฉางชิงในชาติก่อน ในชาติที่แล้วบนโลกมนุษย์เขาเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคใด ๆ
หลังจากที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยล้มเหลว เย่ฉางชิงก็กลายเป็นคนที่พยายามทำทุกอย่างอย่างไม่ย่อท้อ
เพราะผลสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ดี เขาจึงต้องไปเรียนที่โรงเรียนสอนทำอาหาร ตอนนั้นเขารู้สึกเสียใจ แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น เขาจึงต้องพยายามเรียนรู้ทักษะอย่างสุดความสามารถ