บทที่ 508: ไม่ลองก่อตั้งรางวัลเองดูล่ะ
รัตตัสจะไปไม่เป็นอย่างแรง ตอนนี้เจ้าพ่อนายทุนคนนี้เห็นว่าตัวเองไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าได้เลยจริง ๆ
วิธีการต่าง ๆ ที่ตัวเองมีอยู่นั้นมันเกิดจากสถานะทางสังคมอันพิเศษที่ตัวเองเป็นอยู่ในประเทศทุนนิยมของตนเท่านั้น
หากเป็นในประเทศทุนนิยมของตนล่ะก็ตนคือมีเงินทุนชนิดที่ว่าคนส่วนใหญ่ในประเทศไม่มีวันได้เห็น มีสิทธิ์มีเสียงทุกประการในการทำอะไร ๆ ได้หลาย ๆ อย่างที่คนธรรมดาทำไม่ได้
ตัวอย่างเช่นเมียน้อยคนหนึ่งของตนเคยฆ่าเด็กไป 2 คนตอนเมาแล้วขับ ครั้งนั้นเป็นข่าวดังมาก แต่ตนก็ยังสามารถหาทีมทนายความชื่อดังที่สุดในประเทศมาช่วยพร้อมกับใช้เงินติดสินบนบุคลากรที่เกี่ยวข้องได้อีก
ผลลัพธ์ที่ได้คือ ‘ผู้ปกครองของเด็กทั้ง 2 คนนั้นละเลยและไม่ได้ดูแลให้ดี และด้วยความซนของเด็กที่ยังอ่อนต่อโลกจึงได้วิ่งลงถนนและชนเข้ากับรถที่ขับผ่านมา’ ไป
ทำให้ในท้ายที่สุดแล้วเมียน้อยของตนก็ไม่ผิดและไม่ต้องรับผิดชอบอะไรใด ๆ
แม้ว่าผู้ปกครองของอีกฝ่ายจะไม่ยอมแพ้ก็ตาม แต่ตนก็แค่เติมเงินเข้าไปอีกก้อนหนึ่งเพื่อจัดการให้ผู้ปกครองของอีกฝ่ายหายตัวไปอย่างเงียบ ๆ
แต่... วิธีการที่ตัวเองถนัดเหล่านี้กลับไม่มีประโยชน์เมื่อต้องเอาไปใช้ในประเทศตงฟางนั่น
แล้วจู่ ๆ มือถือก็ดัง
เมื่อรัตตัสเห็นเบอร์ก็กดรับสายหน้าเครียด จากนั้นก็วางสายด้วยสีหน้าหงุดหงิดไม่พอใจสุด ๆ
เป็นตัวแทนของเจ้าพ่อนายทุนพวกนั้นโทรมาบอกให้รัตตัสจัดการกับผงฉางเต้ากุ้ยหยวนอีก
ทันใดนั้นรัตตัสก็เสียใจ ทำไมถึงใจโลภอยากได้เทคโนโลยีของหญ้าบริสุทธิ์กับชายามว่างชิงหลินนักวะ
ดูซิว่าตอนนี้เป็นไง เสียเงินก้อนโตไปเปล่า ๆ โดยที่ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันกลับมาเลยไม่เห็นเหรอ
แล้วถ้ายังต้องไปเอายาฉางเต้ากุ้ยหยวนอีกล่ะก็ราคาคือ X2 เลยนะนั่น
............................................................................................
ทันทีที่ข่าวเรื่องผงฉางเต้ากุ้ยหยวนออกมา คนในประเทศก็เห็นกันเพียบแน่นอนอยู่แล้ว
เอาตรง ๆ คนที่ได้ดูข่าวต่างก็ตกตะลึงกันไม่น้อย เพียงแต่สาเหตุกลับไม่ใช่เพราะว่าประสิทธิภาพของผงฉางเต้ากุ้ยหยวนนั้นน่าตกใจ
แต่เป็นเรื่องที่เสี่ยวฉินเป็นคนคิดค้นมันขึ้นมา
ก่อนหน้านี้แค่การขยายพันธุ์ข้าวหลวงเสียงสุ่ยเพียงอย่างเดียวก็ได้รับความนิยมอย่างมากแล้ว ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าเสี่ยวฉินได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน
ต่อมาก็คิดค้นยาแก้โรคเลือดแข็งตัวที่อุณหภูมิสูงซึ่งเป็นโรคระบาดในสัตว์ทั้งประเทศ
ทุกคนรู้ดีว่าไอ้โรคนี้มันน่ากลัวมากขนาดไหน
ตอนที่รู้ว่าเสี่ยวฉินคิดค้นยารักษามันได้สำเร็จทุกคนต่างก็แซ่ซ้องว่าเขานั้นโคตรเก่ง แถมยังมีข่าวเพิ่มเติมอีกว่ายานี้เป็นยาสารพัดโรคเหมือนกับยาในเกม คือโรคระบาดในสัตว์ทุกโรคเมื่อเจอยานี้คือเอาอยู่ทั้งหมดไม่มีละเว้น
ไอ้แค่โรคเดียวนี่ก็ว่าเจ๋งแล้ว แต่ข่าวข้างต้นออกมาปุ๊บคือยังเจ๋งได้อีก
แต่ใครจะไปนึกล่ะว่าหลังจากเรื่องโคตรเซอร์ไพรส์ข้างต้นผ่านไปได้ยังไม่ทันไรก็ดันมีข่าวเรื่องผงฉางเต้ากุ้ยหยวนออกมาอีก แถมยังบอกว่าต้นเหตุคือเสี่ยวฉินอีกแล้ว
แค่ฟังฤทธิ์ยาของมันก็รู้แล้วว่ายานี่สุดยอดขนาดไหน
มีกี่คนกันล่ะที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคเหล่านี้ แล้วมีอีกกี่คนกันล่ะที่อาการสาหัสมากจนหมดหวังแถมยังถึงขั้นล้มละลายบ้านแตกสาแหรกขาด
ตอนนี้เมื่อเห็นว่าจู่ ๆ ก็มียาวิเศษที่สามารถช่วยชีวิตได้ปรากฏตัวขึ้นมาก คนเหล่านั้นย่อมอดที่จะร้องให้ด้วยความดีใจกันออกมาไม่ได้
ทำให้ตอนนี้ในอินเทอร์เน็ตมีแต่คนพูดถึงกันมากมาย
ในเวลานี้ทุกคนถึงพึ่งจะจำได้ว่าเสี่ยวฉินเป็นเพียงนักวิจัยที่จบเอกการท่องเที่ยวมา ซึ่งเป็นนักวิจัยประเภทออกบวชกลางทางซะด้วย (คือพึ่งมาเป็นเอาช่วงหลัง ๆ)
แต่ผลงานวิจัยของเขาที่ค่อย ๆ เผยแพร่ออกมาทีละอย่างนั้นกลับน่าตกใจมาก เพราะล้วนเป็นความสำเร็จที่นักวิจัยทางวิทยาศาสตร์จำนวนนับไม่ถ้วนแม้ต้องใช้เวลาทั้งชาติก็ไม่อาจบรรลุถึง
ดังนั้นชาวเน็ตหลาย ๆ คนจึงเริ่มตั้งคำถามแล้วว่าในอนาคตเสี่ยวฉินจะยิ่งใหญ่ได้ขนาดไหนอีก
เอาแค่เทคโนโลยีข้างตนพวกนั้น ต่อให้เขาตายไปแล้วก็ตาม แต่ชื่อของเขาก็จะยังคงอยู่ในหนังสือหลาย ๆ เล่มที่เยาวชนคนรุ่นหลังต้องศึกษา
............................................................................................
ในห้องทำงานของคฤหาสน์ชิงหลิน
ฉินหลินชงชาที่โต๊ะน้ำชา จากนั้นรินชาให้รัฐมนตรีหลู่ที่อยู่ตรงข้าม
ตอนนี้รัฐมนตรีหลู่รู้สึกโล่งใจแล้ว
เพราะทีมจากโนเบ็วได้เดินทางออกนอกประเทศไปแล้ว และเถ้าแก่ฉินก็ประกาศปฏิเสธที่จะไปรับรางวัลนี้ด้วย
หลังจากจิบชาแล้วจู่ ๆ รัฐมนตรีหลู่ก็ถามฉินหลินว่า “เสี่ยวฉิน คุณคิดว่าถ้าเกิดมีการมอบรางวัลที่เป็นระดับโลกเหมือนกับวัลโนเบ็วในประเทศเราจะเป็นยังไง ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ในอนาคตเราก็ไม่ต้องถูกคนอื่นควบคุมแล้ว”
จริง ๆ แล้วในประเด็นนี้ก็มีหลาย ๆ คนพูดถึงเหมือนกันว่า ‘ทำไมเราไม่ก่อตั้งรางวัลขึ้นมาเองซะเลยล่ะ’ อะไรประมาณนั้นอยู่ด้วย
มีคนไม่น้อยที่บอกว่า ‘ถ้าเกิดบริษัทเพนกวิ้น หมาจิ้งจอก ตอตอ หรือหลาย ๆ บริษัทช่วยกันบริจาคสนับสนุนกันซักเล็กน้อยล่ะก็ยังไงเงินรางวัลก็สูงกว่า แค่นี้ก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้วไม่ใช่เหรอ’ อีกด้วย
แต่ก็นะ คนไม่มีความรู้ก็จะออกความคิดเห็นไปทั่วทีปทั่วแดนแบบนี้แหละ
รางวัลใหญ่ระดับโลกอย่างรางวัลโนเบ็วนั้นมันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเงินรางวัลเลย เอาจริง ๆ มีใครบ้างในบรรดาผู้ที่ได้รับรางวัลมีปัญหาเรื่องการเงิน
เป็นไปได้เหรอที่แค่เพิ่มเงินรางวัลแค่หลังร้อยล้านแล้วทุกคนที่ได้รางวัลจะถูกล่อลวงจนไม่สามารถปฏิเสธได้
ถ้าเป็นงั้นจริงแล้วการตัดสินรางวัลมันจะเป็นยังไงล่ะ
มอบรางวัลให้ผู้คนงั้นเหรอ แล้วถ้าเกิดเรื่องแบบที่ฉินหลินทำล่ะจะเป็นยังไง มอบรางวัลให้เขาแล้วเขาไม่เอาหรือไม่ไปรับน่ะจะทำยังไง แล้วถ้าเกิดว่ามีคนที่ปฏิเสธเป็นจำนวนมากล่ะจะเกิดอะไรขึ้น
ก็คือเหมือนยื่นหน้าไปให้คนเค้าตบเล่นไม่ใช่เหรอ
สุดท้ายแล้วเดี๋ยวก็ต้องปิดประตูเล่นเองอยู่คนเดียว
อย่าได้ริอาจไปล้อเลียนคนอื่น ไม่งั้นจะโดนคนอื่นเอาเรื่องที่ตนล้อเลียนนั้นย้อนรอยกลับมาตบหน้าทีหลังเอาได้
ฉินหลินได้ยินดังนั้นก็หัวเราะร่วน “ถ้ามีใครอยากเป็นเจ้าภาพงานนี้ก็บอกนะครับ ผมจะช่วยบริจาคด้วย!”
รัฐมนตรีหลู่ถอนหายใจ “เฮ่อ~ รางวัลแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องเงิน ความนิยมของรางวัลโนเบ็วในปัจจุบันมันก็เกิดมาจากการสั่งสมมานานหลายสิบปี ตลอดจนความสำเร็จของมันทำให้มีสถานะที่มั่นคงและมีความน่าเชื่อในตัวมันเอง”
“ในช่วงชีวิตของโนเบ็วมีสิ่งประดิษฐ์ที่ได้รับการจดสิทธิบัตรถึงสามร้อยห้าสิบห้าอย่าง แม้ว่าระเบิดที่เจ้าตัวประดิษฐ์ขึ้นจะไม่ได้กลายเป็นอาวุธในการสร้างสันติภาพอย่างที่ตั้งใจไว้ แถมยังกลายเป็นกล่องแพนโดร่าที่เปิดมาก็ก่อให้เกิดสงครามเลยก็ตาม แต่มันกลับกลายเป็นเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อโครงสร้างความเป็นไปของโลกใบนี้อย่างแท้จริง”
“เพราะงั้นมันเลยยากเกินไปสำหรับเราที่จะก่อตั้งรางวัลที่เหมือนกับรางวัลโนเบ็วของเราเองในประเทศเราเอง เว้นเสียแต่ว่าจะมีใครที่สามารถพัฒนาเทคโนโลยีที่ส่งผลกระทบต่อโลกได้เหมือนกับที่โนเบ็วทำ จุดแข็งด้านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของเราต้องโน้มน้าวใจประเทศอื่น ๆ ได้ด้วย”
“ตอนนี้ประเทศเรามีความมั่นใจในด้านเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นชายามว่างชิงหลิน หญ้าบริสุทธิ์ ยารักษาโรคระบาด หรือแม้แต่ผงฉางเต้ากุ้ยหยวน ไปจนถึงเทคโนโลยีจรวดในการสำรวจดีปสเปซของพวกฉู่หยวนชื่อที่ตอนนี้นำหน้าทุกคนในโลกไปแล้ว”
“สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องยากที่ประเทศตะวันตกที่จะบรรลุได้ ถึงขนาดต้องการความช่วยเหลือจากเราด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายแล้วก็ยังยากที่จะหาคนแบบโนเบ็ว”
“เถ้าแก่ฉิน ถ้าคุณมุ่งความสนใจไปที่การวิจัยล่ะก็บางทีผลลัพธ์ที่ตามมาอาจเพียงพอให้คุณก่อตั้งรางวัลชิงหลินในอีกสิบปีได้ก็เป็นได้นะ”
“อย่างยาของคุณตอนนี้ก็ยังติดข้อจำกัดอยู่ คือมันใช้ได้ผลแค่กับสัตว์เท่านั้น มันเลยไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างโลก”
รัฐมนตรีหลู่พูดโดยหวังอย่างยิ่งว่าฉินหลินจะหยุดละเลยหน้าที่ที่ควรทำได้แล้ว
แต่ก็แน่นอนว่าแม้ใจจะคิดแบบนั้นแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา จริง ๆ แล้วเถ้าแก่ฉินนั้นมีคุณสมบัติครบถ้วนอยู่แล้วล่ะ เพราะว่าน้ำยาเสริมสร้างร่างกายที่เอาออกมานั้นก็เป็นสิ่งที่ใช้เพิ่มศักยภาพด้านร่างกายของมนุษย์ได้จริง
ในตอนนี้มีทั้งนักกีฬาและทหารที่ถูกเรียกตัวเข้ารับการฝึกอบรมพิเศษข้างต้น และด้วยความร่วมมือของชายามว่างชิงหลินคนเหล่านั้นมีความก้าวหน้าไปได้อย่างคาดไม่ถึง
ในโอลิมปิกครั้งหน้านักกีฬาเหล่านั้นจะทำให้โลกต้องตะลึง
และหากทหารเหล่านั้นได้เข้าร่วมมหกรรมกีฬาทหารโลกล่ะก็ทุกคนที่เห็นจะต้องช็อกอย่างแน่นอน จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากทหารแต่ละนายมีสมรรถภาพทางร่างกาย ความแข็งแกร่ง และความอดทนเที่ยบเท่ากับราชาทหารแห่งหน่วยรบพิเศษ...
เพียงแต่ว่าสิ่งนี้เป็นความลับสุดยอดและเป็นไปไม่ได้ที่จะเผยแพร่ออกไปในที่ไหน ๆ อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่กลุ่มคนเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ดูเหมือนว่าจะต้องส่งบางส่วนมาที่เถ้าแก่ฉิน
เพราะท้ายที่สุดแล้วเถ้าแก่ฉินก็ยังเด็กมาก ใครจะรู้ว่าในอนาคตเขาจะคิดอะไรออกมาได้อีก และผลที่ได้จะไปเหยียบตีนใครเข้าอีกบ้าง
เมื่อฉินหลินได้ยินสิ่งที่รัฐมนตรีหลู่พูดเขาก็รีบบอกว่า “แล้วพี่หลี่ล่ะครับเป็นยังไง ให้พี่แกออกหน้าเป็นผู้ก็ตั้งก็ได้หนิ”
ล้อเล่นเหรอ ถ้าจะก่อตั้งรางวัลจริง ๆ ล่ะก็จะขอให้บริจาคเงินหรือใช้ชื่อชิงหลินมันก็ได้อยู่หรอก แต่จะให้ไปออกหน้าสื่อล่ะก็กูไม่เอาโว่ย
มันมีอะไรหลาย ๆ อย่างที่ต้องทำและมีไอ้ที่เป็นปัญหาอยู่มากเกินไป
ซึ่งสิ่งที่เขากลัวที่สุดก็คือต้องทำอะไรหลาย ๆ อย่างและปัญหาเยอะแยะนี่แหละ
“ศาสตราจารย์หลี่ไข่เหรอ”
รัฐมนตรีหลู่อึ้ง ๆ ไป จากนั้นก็ส่ายหัว “ศาสตราจารย์หลี่ไข่เก่งมากก็จริง มีผลงานด้านวัตถุดิบในการทำยารักษาโรคเอสเอ็มเอ มีผลงานการทดลองเรื่องยีนที่อุณหภูมิต่ำ แล้วก็ผลโคล่า... แต่ก็ยังไม่พอ!”
ทันใดนั้นฉินหลินก็หัวเราะ “ลืมเรื่องข้าวพันธุ์ใหม่แล้วเหรอครับ”
เรื่องนี้คือไม่ต้องสงสัย ข้าวที่โบ้ยให้พี่หลี่นั้นแน่นอนว่าต้องสามารถบรรลุถึงการนั่งเพลิดเพลินใต้ต้นข้าวเหมือนในฝันได้ชัวร์
ต้นข้าวที่สูงพอ ๆ กับต้นข้าวฟ่าง เมล็ดข้าวที่ใหญ่พอ ๆ กับถั่วลิสง ผลผลิตที่มากมายมหาศาลนั้นสามารถเปลี่ยนโครงสร้างทางด้านธัญญาหารของโลกได้เลย
ยิ่งไปกว่านั้นคือเมล็ดพันธุ์ของข้าวชนิดนี้ยังผ่านการแปรรูปด้วยเครื่องแปรรูปเมล็ดพันธุ์ทำให้ปลูกแล้วให้ผลผลิต X2 อีกต่างหาก
เท่ากับมันจะเป็นมากกว่าการเปลี่ยนโครงสร้างในด้านธัญญาหารของมนุษย์ด้วยซ้ำ
และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างด้านธัญญาหารของมนุษย์นี้ก็เท่ากับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของโลก เพราะอย่างน้อย ๆ ก็ยังมีอีกหลาย ๆ ประเทศที่อาหารมีไม่เพียงพอ และบางประเทศยังต้องพึ่งพาอาหารนำเข้าโดยสมบูรณ์อีกต่างหาก
รัฐมนตรีหลู่เมื่อได้ยินดังนั้นก็เหมือนจะพึ่งต่อมเอ๊ะกระดิก จากนั้นก็แสดงความดีใจ “คุณกำลังบอกว่าข้าวสายพันธุ์ใหม่ของศาสตราจารย์หลี่ไข่ได้ผลแล้วงั้นเหรอ!”
“ไปดูเดี๋ยวก็รู้ครับ”
ฉินหลินนั้นรู้ผลลัพธ์ตั้งแต่แรกอยู่แล้วแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป รอให้รัฐมนตรีหลู่เซอร์ไพรส์ดีกว่า
แน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของรัฐมนตรีหลู่ เขาได้ตามฉินหลินออกจากห้องทำงานและไปที่ห้องทดลองชิงหลินทันที
ไม่นานหลังจากนั้นทั้งคู่ก็ได้เข้าไปในแล็บ
ไซต์ทดลองภายในกับภายนอกนั้นมีความแตกต่างกันอยู่
โดยภายนอกจะเป็นแปลงทดลองปลูกพืชจำพวกที่มีการเผยแพร่ออกไปแล้วเช่นแปลงปลูกข้าวหลวงเสียงสุ่ยที่เช่าในแต่ละอำเภอ และพื้นที่เพาะปลูกของบ้านไร่ชิงหลิน
ส่วนไซต์ทดลองปลูกภายในนั้นจะอยู่ในเขตของห้องทดลองซึ่งปิดสนิทและมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ตัวอย่างเช่นข้าวสายพันธุ์ใหม่นี้เองก็ปลูกอยู่ในไซต์ทดลองปลูกภายในซึ่งมีการป้องกันแน่นหนาเช่นกัน
หลังจากที่ฉินหลินกับรัฐมนตรีหลู่ผ่านการตรวจสอบหลายครั้งในที่สุดก็เข้าไปในไซต์ทดลองภายในและไปถึงแปลงปลูกข้าวสายพันธุ์ใหม่
บังเอิญที่ตอนนี้หลี่ไข่ไม่ได้ยุ่งอยู่กับสารประกอบ 7 ชนิดในยาแก้โรคระบาดและได้พาคนมาทำวิจัยที่ข้าวสายพันธุ์ใหม่แทนพอดี
เนื่องจากเขาได้รับรายงานมาว่าข้าวสายพันธุ์ใหม่นี้มันสูงขึ้นและมีการแตกกอแตกใบเพิ่มมากขึ้นก็เลยพาคนมาดู
นอกจากนี้ยังมีรวงข้าวที่ออกดอกใหม่ ๆ ขึ้นหนาแน่นตามใบที่พึ่งแตกใหม่ดังกล่าวด้วย
อีกนัยหนึ่งก็คือข้าวสายพันธุ์ใหม่นี้ไม่ได้เก็บเกี่ยวครั้งเดียวทิ้ง แถมถ้าสามารถเก็บเกี่ยวได้ตามปกติล่ะก็ผลผลิตที่ได้มันจะเกินจินตนาการไปมาก
มากจนตัวหลี่ไข่เองยังต้องกลัว
เนื่องจากตัวเขาเองยังไม่ทันได้ศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วนเลยว่าข้าวพันธุ์ใหม่นี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร แถมจู่ ๆ มันก็กลายพันธุ์ขึ้นมาเองโดยไม่ทราบสาเหตุ... ไม่สิ... ไอ้สาเหตุน่ะทราบ คือจากดินพิเศษนั่นแหละ แต่มันไม่มีกฎตายตัวก็เลยไม่รู้ว่าจะยังไง
ที่ปวดหลังหนัก ๆ เลยคือครั้งนี้สิ่งที่ต้องแบกมันหนักเกินไป
เขาหวังแค่ว่าข้าวเมื่อข้าวโตเต็มที่แล้วมันจะกินไม่ได้ ซึ่งถ้าได้แบบนั้นก็คงดี
แต่ที่เดาไว้คือความเป็นไปได้นั้น 50/50
แต่การรอไอ้ผล 50/50 นี้มันก็ช่างทรมานจริง ๆ
และตอนนี้ฉินหลินกับรัฐมนตรีหลู่ก็ได้มาหาซึ่งเขาก็ไปทักทาย “น้องฉิน ท่านรัฐมนตรี ทำไมถึงมาที่นี่กันล่ะครับ”
รัฐมนตรีหลู่รู้สึกสนใจต้นข้าวที่สูงพอ ๆ กับต้นข้าวฟ่างทันที โดยเฉพาะรวงข้าวที่อยู่เหนือหัวนั่น
ถึงจะยังไม่เต็มรวงก็ตาม แต่ก็บอกได้เลยว่านั่นคือรวงข้างชัวร์ ๆ
เรื่องนี้มันทำให้เขานึกถึงประโยคหนึ่งขึ้นทันที
ถ้านั่นมันเป็นจริงขึ้นมาจะเป็นยังไง เป็นไปไม่ได้ใช่มั้ย
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้รัฐมนตรีหลู่ก็พูดกับหลี่ไข่อย่างจริงจัง “น่าทึ่งจริง ๆ ศาสตราจารย์หลี่ไข่! ถ้าข้าวพันธุ์ใหม่ของคุณประสบความสำเร็จล่ะก็โลกต้องตะลึงแน่ ๆ เดี๋ยวขอคุยด้วยหน่อยได้มั้ย ผมมีเรื่องจะคุยด้วยพอดีเลย”
“คุย... คุยอะไรเหรอครับ” หลี่ไข่รู้สึกสับสนอย่างอธิบายไม่ถูกเมื่อเห็นดวงตาที่ลุกเป็นไฟของรัฐมนตรีหลู่ที่ใช้มองข้าวพันธุ์ใหม่
ทำไมถึงรู้สึกเหมือนมีอะไรแหม่ง ๆ
...............................................................................................