บทที่ 28: เจ้าส้มมาหา
ในระหว่างที่เดินทางไปยังตำหนักฮ่องเต้ได้มีฝนตกปรอย ๆ เหล่าคนรับใช้ในวังหลวงจึงกางร่มให้กับมู่จวินฝานและมู่ไป๋ไป่อย่างระมัดระวัง
มู่จวินฝานและสหายร่วมเรียนของเขา ‘เจียงจื่อซิว’ กำลังเดินนำอยู่ข้างหน้า ไม่นานทั้ง 2 ก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
เมื่อมองย้อนกลับไป พวกเขาก็เห็นมู่ไป๋ไป่ที่กำลังเดินตามมาเงียบ ๆ ตลอดทางกำลังยกชายกระโปรงของตัวเองขึ้นสูงขณะพยายามก้าวขาที่ป้อมสั้นข้ามแอ่งน้ำที่พวกเขาเพิ่งก้าวผ่านไปแบบสบาย ๆ
“องค์หญิงหก ข้าสั่งให้คนมาช่วยอุ้มเจ้าไปดีหรือไม่?”
“ไม่เป็นไรเพคะ ข้าเดินเองได้”
“องค์หญิงหก ใกล้จะถึงเวลาต้องเข้าเรียนแล้ว มันคงจะไม่ดีนักหากเสื้อผ้าของเจ้าสกปรก”
“อืม… ถ้าอย่างนั้นท่านก็ช่วยดึงข้าหน่อย ไม่ต้องถึงขั้นอุ้มข้าก็ได้”
เจียงจื่อซิวที่สังเกตเห็นสีหน้าขององค์รัชทายาทและได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้ง 2 จึงหัวเราะเบา ๆ “องค์หญิงหกผู้นี้น่าสนใจยิ่งนัก”
“จริงหรือ?” มู่จวินฝานมองเมินออกไปราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะก้าวเข้าไปในประตูตำหนักฮ่องเต้ “ข้าไม่คิดอย่างนั้น”
เด็กคนนี้โง่เขลาเหมือนกับเจ้าแมวส้มที่เสด็จพ่อเลี้ยงไว้ไม่มีผิด
พอเจียงจื่อซิวได้ยินดังนั้น เขาก็แอบเลิกคิ้วพลางเร่งฝีเท้าเพื่อก้าวตามให้ทันอีกฝ่าย
จากนั้นเขาก็พูดด้วยระดับเสียงที่ได้ยินกัน 2 คนว่า “องค์รัชทายาท องค์หญิงหกกำลังเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท และฝ่าบาทได้มีรับสั่งให้พระองค์ไปรับองค์หญิงหกที่ตำหนักอิ๋งชุนทุกวัน นี่พระองค์ยังไม่เข้าใจความหมายอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“กระหม่อมทราบว่าองค์รัชทายาทไม่ชอบองค์หญิงหก แต่คราวนี้เราควรผูกไมตรีกับพระนางเอาไว้จะดีกว่า…”
“ใครบอกว่าข้าไม่ชอบองค์หญิงหก?” มู่จวินฝานชะงักฝีเท้าชั่วคราว และท่าทีที่เปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อยของเขาทำให้เจียงจื่อซิวสับสน “จื่อซิว ข้าอยากจะเตือนเจ้าเอาไว้หน่อยว่าในเมื่อเจ้าเข้าวังมาในฐานะสหายร่วมเรียน เจ้าย่อมไม่ใช่คนของตระกูลเจียงอีกต่อไป”
เด็กหนุ่มตัวแข็งทื่อเมื่อรู้ว่าตนได้เปิดเผยความคิดของตัวเองออกไปจนหมด แล้วเขาก็ค่อย ๆ ลดสายตาลงด้วยความตื่นตระหนกปนลำบากใจ
เรื่องที่เกิดขึ้นกับองค์หญิงใหญ่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อตระกูลเจียง เจียงเช่อผู้เป็นอาได้มาพบเขาแล้วหวังว่าตัวเขานั้นจะทำให้องค์รัชทายาทไว้วางใจได้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงใช้โอกาสนี้เพื่อทดสอบท่าทีขององค์รัชทายาทที่มีต่อองค์หญิงหก
ท้ายที่สุดแล้ว มันเป็นเพราะองค์หญิงใหญ่จึงทำให้ตระกูลเจียงทั้งหมดเป็นศัตรูกับองค์หญิงหก
“คราวนี้ข้าไม่สนใจหรอกนะว่าจะต้องเปลี่ยนสหายร่วมเรียนหรือไม่”
มู่จวินฝานเป็นคนที่มีนิสัยสง่าผ่าเผย แต่เขากลับเป็นคนที่ทำอะไรเด็ดขาดและโหดเหี้ยมมาก
เพียงคำพูดไม่กี่คำก็ทำให้เจียงจื่อซิวมีเหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นบนหน้าผาก และเขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา
มู่ไป๋ไป่ที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พอเดินเข้ามาใกล้และเห็นสีหน้าซีดเซียวของเด็กหนุ่ม เธอก็รีบถามขึ้นมาว่า “พี่จื่อซิว ท่านรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่? ให้ข้าสั่งคนไปตามหมอหลวงมาให้ดีหรือไม่?”
ถามหน่อยเถอะ ใครจะไปทนเห็นหนุ่มรูปงามยิ่งกว่าผู้หญิงล้มป่วยได้กัน?
“ขอบพระทัยองค์หญิงที่ทรงเป็นกังวล แต่กระหม่อมไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ” เจียงจื่อซิวโค้งคำนับให้มู่ไป๋ไป่ด้วยท่าทีนอบน้อม
ทว่าเด็กหญิงยังคงเป็นกังวล และในขณะเดียวกัน เธอก็อยากจะพูดคุยกับเด็กหนุ่มที่มีใบหน้างดงามสัก 2-3 ประโยค ดังนั้นเธอจึงทำตัวเกาะติดอีกฝ่ายเพื่อถามนั่นถามนี่ไม่หยุด
ระหว่างที่เดินไปพูดคุยไป ทั้ง 3 คนก็เดินมาถึงศาลาหมิงหลี่ซึ่งเป็นสถานที่ที่จัดเป็นห้องเรียนให้แก่องค์รัชทายาท
บัดนี้ท่านราชครูได้รออยู่ด้านในแล้ว เดิมทีมู่ไป๋ไป่คิดว่าราชครูจะต้องเป็นชายแก่ที่มีหนวดเครายาวสีขาว แต่เธอไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะเป็นชายที่มีอายุพอ ๆ กับมู่เทียนฉง
“อาจารย์เสิ่น นี่คือมู่ไป๋ไป่ นางจะมาร่วมเรียนกับศิษย์ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปขอรับ” มู่จวินฝานกล่าวพร้อมกับคำนับราชครู
มู่เทียนฉงได้ออกราชโองการว่า ยามที่อยู่ในศาลาหมิงหลี่ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์หรือขุนนางก็ตาม แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าอาจารย์แล้ว ทุกคนเป็นเพียงลูกศิษย์ที่เท่าเทียมกันเท่านั้น ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้มู่จวินฝานแทนตัวเองว่าศิษย์แทนที่จะเป็นตำแหน่งเวลาอยู่ต่อหน้าราชครู
“คารวะท่านอาจารย์” มู่ไป๋ไป่เดินมาอยู่ข้างกายองค์รัชทายาทพร้อมกับเอ่ยทำความเคารพอย่างอึดอัด
อย่างไรก็ตาม รูปร่างหน้าตาที่น่ารักของเด็กหญิงไม่ได้ทำให้คนอื่นรู้สึกอึดอัดเลย แต่มันทำให้อาจารย์เสิ่นรู้สึกเอ็นดูจนถึงขั้นหัวเราะออกมา
แม้ว่ามู่ไป๋ไป่จะเข้าเรียนตามรับสั่งของฝ่าบาท แต่ก็ไม่มีใครคาดหวังในตัวนางที่เป็นเพียงเด็กอายุ 4 ขวบครึ่งว่าจะเข้าใจอะไรได้ นี่ยังไม่ได้นับรวมถึงชื่อเสียงที่ร่ำลือกันว่านางเป็นคนโง่เขลาอีก
ดังนั้นอาจารย์เสิ่นจึงมอบตำราภาพให้กับมู่ไป๋ไป่และบอกให้นางไปนั่งลงข้าง ๆ เพื่อดูมันก่อน จากนั้นเขาจะมาสอนนางหลังจากที่เขาสอนมู่จวินฝานเสร็จแล้ว
คนตัวเล็กที่รู้สึกผ่อนคลายลงก็นั่งลงตรงมุมด้านข้างอย่างเชื่อฟังโดยไม่ส่งเสียงอะไรออกมา
ปัจจุบันทั้งเสียงสายฝนประกอบกับเสียงบรรยายของอาจารย์เสิ่นนั้นเป็นเหมือนยานอนหลับชั้นดีที่สุดในโลก
หลังจากนั้นไม่นาน มู่ไป๋ไป่ก็เริ่มผงกหัวอยู่หลายครั้ง
ขณะที่เธอกำลังจะไปเฝ้าพระอินทร์ได้สำเร็จ ทันใดนั้นก็มีวัตถุสีส้มเล็ดลอดผ่านช่องว่างของหน้าต่างที่ซ่อนอยู่อย่างว่องไวและมุ่งตรงไปหาเด็กหญิงด้วยความคุ้นเคย
“ฝนตกหนักขนาดนี้ หนาวชะมัดยาด”
เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น ก่อนที่มู่ไป๋ไป่จะเห็นว่าเป็นใคร เธอก็ถูกน้ำฝนกระเด็นใส่หน้า
และผู้กระทำก็คือแมวตัวอ้วนสีส้ม มันกำลังนั่งลงอย่างเกียจคร้านเพื่อเลียอุ้งเท้าและใช้อุ้งเท้านั้นทำความสะอาดหน้าของตัวเอง
“...” มู่ไป๋ไป่ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับมันดี
“นี่ ไม่เจอกันนานเลยนะ ข้าคิดถึงเจ้ามาก”
เจ้าส้มโบกอุ้งเท้าให้คนตัวเล็กพลางถามว่า “มีอะไรกินบ้างหรือไม่? ข้าไม่ได้กินอะไรมาทั้งเช้าแล้ว ดูสิผอมหมดแล้วเนี่ย!”
“ผอมอย่างนั้นหรือ?” มู่ไป๋ไป่เหลือบมองท้องที่ขยายใหญ่ขึ้นกว่าครั้งก่อนของมัน
นั่นทำให้มุมปากของเธอกระตุก และเธอก็ลดเสียงพูดว่า “ข้าเกรงว่าเจ้าจะเข้าใจเกี่ยวกับรูปร่างของตัวเองผิดไปมหันต์”
ขณะนี้แมวส้มตัวใหญ่กำลังเลียทำความสะอาดขนโดยการยกขาหลังขึ้น แต่ไขมันบนท้องของมันก็ได้ขัดขวางการเคลื่อนไหวนั้น “...”
“ฮ่า ๆๆ” มู่ไป๋ไป่รู้สึกขบขันกับท่าทีของเจ้าส้มมาก
เธอเอื้อมมือไปบีบไขมันบนท้องมัน พอปล่อยมือไขมันนั้นก็เหมือนจะเด้งไปมาก่อนที่จะสงบนิ่งดังเดิม
“ถึงเวลาที่เจ้าต้องลดน้ำหนักแล้ว”
“ลดน้ำหนักอย่างนั้นรึ เจ้าพูดอะไรเนี่ย!” แมวส้มตัวใหญ่กลับมามีท่าทีเย่อหยิ่งอีกครั้ง “ฮึ่ม เจ้ารู้อะไรหรือไม่ ตัวข้านั้นไม่ได้เรียกว่าอ้วน แต่เรียกว่าร่างกายอุดมสมบูรณ์ต่างหาก”
“ถ้าเจ้าไม่มีอะไรให้กิน เช่นนั้นข้าไปดีกว่า เดิมทีข้ามีเรื่องจะมาเล่าให้เจ้าฟัง…”
มู่ไป๋ไป่ตาลุกวาวขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำว่า ‘มีเรื่องจะมาเล่า’ อะไรที่ทำให้มีความสุขที่สุดในระหว่างชั้นเรียนนี้กัน? แน่นอนว่าต้องเป็นการเม้าท์มอยเรื่องคนอื่นอยู่แล้ว!
“เด็กดี เจ้าอยากกินอะไรหรือ? ข้าจะได้รีบเตรียมให้เจ้า”
ดวงตาของเด็กหญิงจับจ้องไปยังเจ้าส้มที่กำลังตั้งท่าจะเดินจากไปพร้อมกับที่มือทั้ง 2 ข้างเอื้อมออกไปรวบตัวมันมาไว้ในอ้อมแขน “ข้างนอกฝนตกหนักมาก เจ้าจะออกไปทั้ง ๆ แบบนี้ให้ตัวเปียกทำไม”
แมวส้มแค่นเสียงเยาะเย้ยในลำคอ “เฮอะ! มันเป็นเพราะว่าเจ้าขอให้ข้าอยู่หรอกนะ ข้าไม่ได้สนใจของกินอะไรนั่นเลย”
“ใช่ ๆ เจ้าพูดถูกแล้ว”
มู่ไป๋ไป่พยักหน้ารัว ๆ พลางลูบขนมันวาวของเจ้าส้มเป็นการปลอบโยน ขณะที่ในใจของเธอรู้สึกสงสัยว่ามู่เทียนฉงเลี้ยงดูมันอย่างดีแค่ไหนกัน
และเรื่องที่แมวตัวอวบอ้วนอยากจะเล่านั้นไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์เลย “มู่เทียนฉงเพิ่งได้สุนัขตัวใหม่มา เจ้านั่นซื่อบื้อมากจริง ๆ ซื่อบื้อสุด ๆ ไปเลย แต่เสนาบดีพวกนั้นกลับคอยนอบน้อมชื่นชมมันอยู่ตลอดเวลา”
“ส่วนเจ้าเสือโง่ที่ถูกขังอยู่ในกรงชื่นชมความสามารถของข้า มันขอให้ข้าสอนมันปีนต้นไม้ แต่ข้าปฏิเสธไปแล้ว”
“ก็เห็นกันอยู่ชัด ๆ ว่าในกรงเสือนั้นไม่มีต้นไม้อยู่สักต้น ดังนั้นมันจึงดูไม่ฉลาดนักที่จะเรียนรู้ว่าต้องทำอย่างไร”
แมวส้มยังคงนอนอยู่บนตักของเด็กหญิง มันพูดไม่หยุดเกี่ยวกับเรื่องแปลกประหลาดและน่าสนใจเกี่ยวกับสัตว์ในวังหลวง
แต่มู่ไป๋ไป่ก็ยังตั้งใจฟังจึงไม่ทันสังเกตเห็นว่าอาจารย์เสิ่นได้หยุดพูดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ อีกทั้งมีคนมายืนอยู่ข้างเธอแล้ว
“แล้วอย่างไรต่อ?” เมื่อเด็กหญิงเห็นว่าจู่ ๆ เจ้าส้มก็เงียบไป เธอจึงอดไม่ได้ที่จะถามออกมา “ใครเป็นฝ่ายชนะ เจ้าหรือแมวเสือดาวตัวนั้น?”
แมวส้มทำเหมือนแกล้งตาย มู่ไป๋ไป่ตั้งท่าจะถามคำถามเพิ่มเติม แต่เธอก็บังเอิญเหลือบไปเห็นมือเรียวยาวและสะอาดตาพุ่งผ่านหน้าไป
แล้วมือนั้นก็จับเข้าที่หลังคออวบอ้วนของเจ้าส้ม ก่อนจะยกมันขึ้นมา
“ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?”
“ท่านพ่อ!” มู่ไป๋ไป่เงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจและเห็นมู่เทียนฉงยืนอยู่ด้านข้างซึ่งสวมชุดสีขาวปักด้วยลายสีทองที่ช่วยขับให้เขาดูหล่อเหลามากยิ่งขึ้น