บทที่ 27: ไม่สามารถหลีกหนีชะตากรรมไปได้
“ตอบพระสนม เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีน้อยคุกเข่าลงกับพื้นแล้วตอบเสียงดังว่า “ข้าน้อยได้ยินขันทีที่ทำหน้าที่ติดตามอันกงกงพูดเองกับหูพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้คงใกล้ถึงเวลาที่ราชโองการจะไปถึงมือของราชครูแล้ว”
ลี่เฟยเป็นสตรีที่มีใบหน้างดงามและมีเสน่ห์ นางเป็นบุตรสาวของแม่ทัพ ทันทีที่นางถวายตัวเข้าวัง นางก็ได้รับความโปรดปรานจากมู่เทียนฉงซึ่งได้ประทานตำแหน่งลี่เฟย และให้นางคอยดูแลจัดการวังหลัง
ซึ่งพระสนมผู้นี้เดินเข้าสู่วังหลังได้อย่างราบรื่นจนทำให้ผู้คนอิจฉา
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว การมาเยือนที่ตำหนักชิงเหอของฮ่องเต้ก็น้อยลงเรื่อย ๆ
แม้ว่าหญิงสาวจะได้รับประทานรางวัลมากมายตามปกติ แต่มันก็ยังทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ
ลี่เฟยเคยสงสัยว่ามีคนในวังเป่าหูมู่เทียนฉงหรือไม่ ทว่าตั้งแต่เมื่อปีที่แล้วนางก็ไม่เคยได้ยินข่าวที่ว่าฝ่าบาทแต่งใครเข้ามาเพิ่ม
จนเมื่อเวลาผ่านไป นางก็พบว่าตนนั้นคิดมากจนเกินไปและค่อย ๆ ลืมเลือนเรื่องดังกล่าวไป
แต่หญิงสาวไม่คาดคิดเลยว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนจะมีราชโองการจากฮ่องเต้ที่ทำให้นางต้องตกตะลึง และในวันนี้ลูกสาวที่ไร้สมองของซูหว่านก็ถูกส่งไปร่ำเรียนกับองค์รัชทายาท
ความโปรดปรานดังกล่าวไม่เคยปรากฏขึ้นในวังหลังแห่งนี้มาก่อน
“ข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปเถอะ” ลี่เฟยพยายามระงับอารมณ์ของตัวเองและโบกมือส่งสัญญาณให้นางกำนัลส่วนพระองค์ตกรางวัลให้ขันทีหนุ่ม
หลังจากที่ขันทีผู้น้อยชั่งน้ำหนักรางวัลในมือแล้วจึงโค้งคำนับอย่างมีความสุข ก่อนจะเดินออกจากตำหนักไป
“พระสนม หว่านผินคนนั้นเอายาเสน่ห์อะไรให้ฝ่าบาทเสวยกันเพคะถึงได้รับความโปรดปรานขนาดนี้ในชั่วข้ามคืน?” นางกำนัลที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้นมาเบา ๆ
“จู่ ๆ ฝ่าบาทก็มีท่าทีเปลี่ยนไป ไม่เพียงแต่นางจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากกุ้ยเหรินเป็นผินแล้ว หม่อมฉันยังได้ยินมาว่าวันนี้ฝ่าบาทถึงขั้นยอมขัดแย้งกับไทเฮาเพราะนาง”
‘เฟิงหลิง’ เป็นสาวใช้ที่เติบโตมาข้างกายลี่เฟย เมื่อลี่เฟยแต่งงานเข้ามาอยู่ในวัง นางก็ได้ติดตามอีกฝ่ายมาด้วย
“หว่านผินอย่างนั้นหรือ?” ลี่เฟยเหยียดยิ้มเยาะ “ข้าเกรงว่าคงไม่ใช่นางที่เป็นคนวางยาฝ่าบาท แต่เป็นองค์หญิงหกต่างหาก จุดเปลี่ยนทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นเริ่มต้นที่องค์หญิงหกผู้นั้น เจ้าคิดว่ามันไม่แปลกไปหน่อยหรือ?”
“แต่พระสนม องค์หญิงหกเพิ่งอายุเพียง 4 ขวบ เด็กเช่นนี้จะทำอะไรได้เพคะ?” เฟิงหลิงรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังคิดมากไปเอง
“นอกจากนี้ องค์หญิงหกยังเป็นคนที่โง่เขลามากคนหนึ่ง จู่ ๆ พระนางจะฉลาดขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยได้อย่างไรกัน?”
ลี่เฟยเม้มริมฝีปากเข้าหากันก่อนจะพูดว่า “ไม่ว่าจะเป็นเพราะองค์หญิงหกหรือหว่านผิน ข้าก็ไม่สามารถทนนิ่งเฉยรอความตายต่อไปได้อีก ยาตัวใหม่อยู่ที่ไหน ไปเตรียมมันมาให้ข้า”
“เพคะ ของเพิ่งส่งมาไม่นานนี้เองเพคะ” เฟิงหลิงหยิบขวดกระเบื้องสีขาวเล็ก ๆ ออกมาจากแขนเสื้อแล้วกล่าวต่อว่า “ท่านหมอเทวดาได้เขียนเทียบยาใหม่แล้วบอกว่าตราบใดที่กินยานี้จนหมดขวด พระสนมจะสมดั่งใจหวังอย่างแน่นอนเพคะ”
หลังจากลี่เฟยได้ยินนางกำนัลส่วนตัวอธิบาย ท่าทีของนางก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย นางไม่รอช้ารีบเปิดขวดยาแล้วเทยาออกมากินเม็ดหนึ่ง
เวลาผ่านไปไม่นาน ใบหน้าของหญิงสาวก็มีสีแดงจาง ๆ ปรากฏขึ้น และมีเหงื่อบาง ๆ ผุดขึ้นมาบนหน้าผากที่เรียบเนียน
“ไปพาตัวเขามา”
เฟิงหลิงตอบรับก่อนจะหายไป ในไม่ช้าชายหน้าตาหล่อเหลาในชุดองครักษ์ก็ปรากฏตัวในห้องนอนของลี่เฟย ซึ่งชายคนนั้นมีใบหน้าที่คุ้นเคย
พวกเขาทั้ง 2 พุ่งเข้าโรมรันพันตูกันอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็เกิดเสียงน่าอายดังขึ้นจากภายในห้อง
2 เค่อ*ต่อมา ลี่เฟยก็เอนตัวอยู่ในอ้อมแขนของชายผู้นั้นซึ่งมีเหงื่อโทรมกายแล้วพูดว่า “ในไม่ช้า จะมีคำสั่งให้เจ้าไปทำธุระให้องค์รัชทายาท”
*1 เค่อ = 15 นาที
“พระสนมต้องการให้กระหม่อมทำอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?” ชายหนุ่มถามพลางลูบไล้ผิวที่เรียบเนียนของลี่เฟย
หญิงสาวพลิกตัวมานอนบนหน้าอกขององครักษ์หนุ่ม พร้อมกับที่นางยิ้มอย่างมีเสน่ห์ในขณะที่พูดว่า “ข้าอยากให้เจ้าฆ่าใครบางคน”
…
ในเวลาเดียวกัน ภายในตำหนักอิ๋งชุน
มู่ไป๋ไป่นั่งอยู่ข้างเตียงของซูหว่านพลางถอนหายใจด้วยความรู้สึกโศกเศร้า
“ไป๋ไป่ การได้ไปร่วมเรียนกับองค์รัชทายาทนั้นนับได้ว่าเป็นความเมตตาสูงสุดที่ฝ่าบาทประทานให้เจ้า เจ้าจะต้องไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวัง”
ซูหว่านรับรู้ท่าทีของมู่เทียนฉงด้วยตาตัวเอง นางจึงไม่รู้สึกแปลกใจกับพระราชโองการฉบับใหม่เท่าไหร่นัก เพียงแต่นางกังวลว่าลูกสาวของนางที่อายุเพียง 4 ขวบครึ่งนั้นจะไปก่อเรื่องเข้า
“ท่านแม่ ข้าไม่อยากไปเรียนที่ตำหนักฮ่องเต้…” มู่ไป๋ไป่เม้มปากแล้วมองผู้เป็นแม่ด้วยสายตาเว้าวอน
องค์รัชทายาทจะกลายเป็นผู้ที่ได้ครอบครองแคว้นเป่ยหลงในอนาคต และเขาจะต้องถูกเคี่ยวเข็ญให้ร่ำเรียนอย่างหนัก แต่เธอไม่อยากเผชิญหน้ากับสถานการณ์นั้นด้วยตัวเอง
ยิ่งไปกว่านั้น เธอเคยได้ยินมาว่าชั้นเรียนแรกเริ่มก่อนรุ่งสางด้วยซ้ำ
ก่อนหน้านี้มู่ไป๋ไป่เป็นเด็กที่เติบโตขึ้นมาอย่างอัตคัดขัดสน หากเธอต้องตื่นนอนก่อนรุ่งสาง ตัวเธอก็จะไม่สูง
“ไป๋ไป่!” หว่านผินผุดลุกขึ้นนั่งบนเตียงพร้อมกับตวาดเสียงเข้ม
ส่งผลให้นางรู้สึกเจ็บแผลที่หลังของตัวเองจนแทบจะเป็นลม
เมื่อคนเป็นแม่เห็นสีหน้าเป็นกังวลของลูกสาว นางก็กัดฟันเอ่ยขึ้นว่า “แม่ไม่เป็นไร”
หลังจากอาการเจ็บปวดที่บาดแผลทุเลาลง นางก็พูดขึ้นเบา ๆ ว่า “คำพูดพวกนี้เจ้าอย่าได้พูดต่อหน้าคนอื่นเด็ดขาด!”
ในความทรงจำของมู่ไป๋ไป่ ซูหว่านเป็นแม่ที่อ่อนโยนมาโดยตลอด จึงเป็นเรื่องยากที่จะได้เห็นสีหน้าเคร่งขรึมเช่นนี้ของนาง
เมื่อเด็กหญิงรู้ว่านางกำลังกังวลว่าตนจะเกิดปัญหา เธอจึงพยักหน้ารับจริงจังเพื่อเป็นการบอกอีกฝ่ายว่าเธอเข้าใจแล้ว
“แม่รู้ว่าเจ้าเป็นคนฉลาด” พอนางเห็นลูกสาวพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง คราวนี้สีหน้าของนางจึงอ่อนลงอีกครั้ง
ระหว่างที่พูดหว่านผินก็ลูบหัวเด็กน้อยด้วยความรัก “ตลอดหลายปีที่ผ่านมาแม่ไม่อาจทำตามที่ตนคาดหวังได้ แม่จึงทำเพียงได้แค่รออย่างไร้จุดหมายและไม่รู้ว่าจะต่อสู้แย่งชิงความโปรดปรานมาได้อย่างไร ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเจ้าถึงต้องทนทุกข์ทรมานมาหลายปีเช่นนี้”
หลังจากหนีความตายจากตำหนักอวี๋ชิงมาได้ ตัวนางก็เหมือนมีสติขึ้นมาแล้วเช่นกัน
ลึกเข้าไปด้านในวังหลวงแห่งนี้ เราไม่สามารถปกป้องตัวเองด้วยการอดทนรออย่างเชื่อฟังได้
“ต่อจากนี้ไป แม่จะปกป้องเจ้าให้ดีที่สุด” ซูหว่านเหมือนกำลังบอกบุตรสาว แต่ในความเป็นจริงมันเหมือนเป็นการที่นางย้ำเตือนตัวเองด้วย “แม่จะไม่ยอมให้เจ้าต้องกลับไปทุกข์ทรมานและได้รับความอยุติธรรมเช่นเดิมอีก”
มู่ไป๋ไป่รู้สึกสะท้อนใจ “ท่านแม่ ท่านช่วยคิดหาวิธีให้ข้าไม่ต้องไปร่วมเรียนกับองค์รัชทายาทก่อนดีหรือไม่?”
“...” ซูหว่านส่ายหัวพร้อมกับเปลี่ยนสีหน้าเป็นเย็นชาทันที “ไม่ได้”
“...” เด็กหญิงได้แต่มุ่ยปากเบา ๆ
ที่แท้ความรักที่ซูหว่านมีต่อเธอนั้นมันเป็นเพียงลมปากใช่หรือไม่?
แล้วตลอดทั้งคืน มู่ไป๋ไป่ก็รู้สึกกังวลจนนอนไม่หลับ
ในเวลาใกล้รุ่งสางก่อนที่เธอจะทันได้หลับตาลง อย่างไรก็ตาม ภายในเวลาไม่ถึง 1 ก้านธูป เธอก็ถูกนางกำนัลเข้ามาปลุกและบอกว่าถึงเวลาต้องไปเรียนตำหนักฮ่องเต้แล้ว
เด็กหญิงได้แต่โซเซลุกขึ้นจากเตียงแล้วปล่อยให้นางกำนัลช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้
เมื่อเธอเดินออกจากประตูตำหนักอิ๋งชุน เธอก็เห็นว่ายังไม่มีใครตื่นเลยจนกระทั่งเธอเห็นร่างสูงร่างหนึ่งยืนอยู่ที่ทางเดิน
เด็กหนุ่มคนนี้สวมเสื้อคลุมยาวสีคราม เขายืนตัวตรงราวกับต้นไผ่ รูปร่างหน้าตาของเขาคล้ายกับมู่เทียนฉง แต่เขายังคงขาดความเยือกเย็นและความเย่อหยิ่งของบิดา
ขณะเดียวกัน ‘มู่จวินฝาน’ ยืนมองดูเด็กน้อยที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากเขาด้วยสายตาว่างเปล่าปนความอยากรู้ที่แฝงลึกอยู่ในดวงตา
เขาได้ยินเรื่องมากมายเกี่ยวกับองค์หญิงหกคนนี้ และมันยากจริง ๆ สำหรับเขาที่จะจินตนาการว่าเด็กแบบไหนที่ทำให้เสด็จพ่อรักนางมากเช่นนี้
แต่สำหรับตอนนี้ องค์หญิงหกที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่ดูโง่ไปหน่อยหรือ?
“องค์หญิงหก นี่คือองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ”
ในขณะเดียวกัน มีเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งยืนอยู่ข้างกายมู่จวินฝาน ใบหน้าของเขานั้นงดงามราวกับผู้หญิง และชายคนนั้นก็พูดขึ้นมาเสียงดัง
ทันใดนั้นมู่ไป๋ไป่ก็กลับมารู้สึกตัวและตระหนักได้ว่าตนมัวแต่ตกตะลึงกับภาพหนุ่มหล่อจนสิ้นสติ
พอได้สติกลับมาแล้วเธอจึงรีบใช้ขาสั้น ๆ ก้าวไปข้างหน้า “อรุณสวัสดิ์ท่านพี่รัชทายาท”
โชคดีที่เธออายุเพียง 4 ขวบ ทุกคนจึงคิดว่าเธอยังตื่นนอนไม่เต็มที่จึงไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้
องค์รัชทายาทเองก็ทำเป็นเมินไม่สนใจเด็กหญิงมากนัก เขาเพียงแต่บอกว่าเขาได้รับคำสั่งจากมู่เทียนฉงให้มารับนางไปที่ตำหนักฮ่องเต้เท่านั้น
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: ได้เจอพี่คนโตแล้ววว พี่คนนี้จะดีกับน้องรึเปล่านะ